ไฟยังคงปะทุที่สนามบินเคนยา

ไฟยังคงปะทุที่สนามบินเคนยา

สถานการณ์เพลิงไหม้สนามบินเคนยายังไม่น่าไว้วางใจ เนื่องจากยังคงมีกลุ่มควันและเปลวเพลิงปะทุขึ้นบริเวณอาคารผู้โดยสารขาเข้า

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงไนโรบี ประเทศเคนยา เมื่อวันที่ 8 ส.ค. ถึงความคืบหน้าของเหตุเพลิงไหม้สนามบินนานาชาติเคนยา ว่าแม้เจ้าหน้าที่จะควบคุมการลุมลามของเพลิงได้เกือบทั้งหมดแล้ว แต่โชคร้ายกลับเกิดเพลิงปะทุขึ้นอีกบริเวณอาคารผู้โดยสารขาเข้า สร้างความปั่นป่วนและกำลังกลายเป็นวิกฤตการเดินทางที่สร้างปัญหาไปทั่วทั้งแอฟริกาตะวันออก

แม้จะไม่มีรายงานการพบผู้เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บ

แต่เพลิงที่โหมกระหน่ำลุกไหม้อาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศของสนามบินนานาชาติ "โจโม เคนยัตตา" เมื่อวันพุธ สร้างความเสียหายอย่างหนักให้แก่ตัวอาคาร หลังจากควบคุมเพลิงได้ในเวลา 4 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่ประกาศกลับมาให้บริการเฉพาะเที่ยวบินในประเทศและเที่ยวบินขนส่งสินค้า ยังไม่รายงานยืนยันว่า เที่ยวบินระหว่างประเทศสามารถเดินทางเข้า-ออกสนามบินแห่งนี้ได้แล้วหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวและประชาชนจำนวนหนึ่งที่ยังปักหลักเฝ้าสังเกตการณ์

กลับเห็นเปลวเพลิงและกลุ่มควันปะทุขึ้นมาอีกบริเวณอาคารผู้โดยสารขาเข้า และมีแนวโน้มลุกลามขยายวงกว้างมากขึ้น แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่ยืนยันอย่างเป็นทางการ ว่าเกิดเพลิงปะทุขึ้นมาอีกที่จุดนั้นจริงหรือไม่ เพียงแต่ประกาศห้ามผู้ไม่เกี่ยวข้องเดินทางเข้าใกล้สนามบินโดยเด็ดขาด

ด้านประธานาธิบดีอูฮููรู เคนยัตตา เดินทางลงพื้นที่เกิดเหตุเพื่อควบคุมการทำงานของเจ้าหน้าที่

พร้อมกับแถลงแสดงความขออภัยผู้ที่ได้รับผลกระทบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และยืนยันว่า จะเร่งคลี่คลายสถานการณ์เพื่อระบายผู้โดยสารตกค้างให้ได้เร็วที่สุด
เหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ที่สนามบินนานาชาติเคนยา เกิดขึ้นในวันเดียวกับที่มีการจัดพิธีรำลึกครบรอบ 15 ปีความสูญเสียจากการที่กลุ่มก่อการร้ายก่อเหตุโจมตีสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐในเคนยาและแทนซาเนีย ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 224 ศพ และบาดเจ็บอีกกว่า 4,500 คน

นอกจากนี้ เหตุการณ์ยังเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับที่รัฐบาลสหรัฐประกาศขยายเวลาปิดทำการสถานทูตและสถานกงสุลของตน 19 แห่ง

ในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ หลังพบสัญญาณความเคลื่อนไหวของกลุ่มก่อการร้ายอัล-กออิดะห์ ที่เตรียมก่อเหตุรุนแรงครั้งใหญ่ แต่เคนยาไม่ได้รวมอยู่ในประเทศที่วอชิงตันสั่งปิดสำนักงานแต่อย่างใด


เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์