อ้วกเมนูเปิบหนู-ภัตตาคารอ้างปีหนูทอง

แฉอาหารปรุงจาก"หนู" กำลังเป็นเมนูยอดฮิตของคนไต้หวัน รับเทศกาลตรุษจีนปีหนู

ภัตตาคารดังเผยปีนี้ ลูกค้าแห่มากินหนูมื้อเที่ยงกับมื้อค่ำจนแน่นขนัดทุกโต๊ะ นำเสนอเมนูเด็ด เช่น ซุปหนู หนูผัดพริกไทยดำ หนูผัดเม็ดมะม่วง เผยกลยุทธ์ของภัตตาคาร ต้องห้อยซากหนูที่ถลกหนังแล้วแขวนโชว์สดๆหน้าครัวด้วย ยันไม่ใช่หนูท่อหนูสกปรก แต่เป็นหนูนาจากชนบท ทางด้านเมืองไทยไม่น้อยหน้า ซ้ำอาจโหดกว่า เมื่อด่านตรวจสัตว์สกัดจับยึดซากเสือถูกฆ่าชำแหละสุดโหด 11 ตัวรวด พร้อมตัวนิ่มอีก 300 ตัว กำลังจะถูกลำเลียงข้ามโขงไปฝั่งลาว

เมื่อวันที่ 29 ม.ค. สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เมนูหนูสารพัดชนิดกำลังเป็นอาหารยอดนิยมของชาวไต้หวันในเขตเจียยี่ ต้อนรับเทศกาลตรุษจีนปีหนู

รายงานข่าวแจ้งว่า เมืองหลู่เซา เขตเจียยี่ เกาะไต้หวัน มีภัตตาคารขายอาหารเนื้อหนูโดยเฉพาะชื่อดังอยู่ 2 แห่ง คือ โฮลาไดเนอร์และเจียงชิง เรสเตอรอง เปิดให้บริการมาเกือบ 60 ปี ขายเนื้อหนูได้ประมาณ 18 กิโลกรัมต่อวัน ที่ผ่านมาเมนูหนูได้รับความนิยมจากลูกค้าพอสมควร แต่ปีนี้ยิ่งกลายเป็นเมนูฮิตกว่าเดิม เจ้าของร้านทั้งสองแห่งเชื่อว่า เป็นเพราะปีนี้เป็นปีหนู โดยช่วงมื้อเที่ยงและมื้อค่ำจะมีลูกค้ามานั่งรับประทานอาหารแน่นขนัดเต็มทุกโต๊ะ

ภัตตาคารโฮลาไดเนอร์ มีเมนูหนูจานเด็ด 10 เมนูด้วยกัน

อาทิ ต้มซุปหนู หนูผัดพริกไทยดำ หนูทอด หนูผัดโหระพาซีอิ๊วดำ ส่วนภัตตาคารเจียงชิงมีเมนูคล้ายคลึงกัน แต่ที่แตกต่างออกไป คือ มีเมนูเนื้อหนูผัดเม็ดมะม่วงเป็นตัวชูโรง นอกจากนั้น ทั้งสองร้านยังนำเอาซากหนูมาถลกหนังแขวนโชว์สดๆ ตรงหน้าห้องครัวด้วย ได้กลิ่นสาบหนูคลุ้งไปทั้งร้าน สำหรับวิธีปรุงเมนูต่างๆ จะนำหนูที่ถลกหนังแล้วมาล้างให้สะอาด สับหัวออก ก่อนแล่เนื้อและตัดหางไปทำอาหาร

นายหลิน หมิง ชิก วัย 54 ปี ผู้สืบทอดกิจการร้านโฮลาต่อจากบิดา กล่าวว่า

ลูกค้าที่มาชิมเมนูหนูครั้งแรกจะกล้าๆ กลัวๆ เพราะติดภาพหนูสกปรกตามท่อน้ำ แต่หนูที่ทางร้านใช้ปรุงอาหารเป็นหนูเลี้ยงตามท้องไร่ท้องนานอกตัวเมือง จึงเป็นหนูสะอาด ลูกค้าที่ลองแล้วส่วนใหญ่จะติดใจ กลับมากินอีก ด้านนายเฉิน ฟู วัย 38 ปี เจ้าของร้านเจียงชิงรุ่นที่ 3 กล่าวว่า ช่วง 5 ปีก่อนมีร้านขายเนื้อหนูปิดตัวไปหลายร้าน แต่ร้านของตนยังไปได้ดีและอาศัยลูกค้ากลุ่มนักท่องเที่ยวเป็นหลัก

ส่วนนายแดน บลูม ชาวอเมริกันที่เป็นครูสอนภาษาอังกฤษในไต้หวัน ให้สัมภาษณ์หลังจากรับประทานเมนูหนูว่า เหมือนเนื้อไก่ แต่บางคนอาจต้องทำใจอยู่นานกว่าจะกล้ากิน

เจ้าของภัตตาคารทั้งสองแห่งให้ข้อมูลด้วยว่า

ชาวไต้หวันเริ่มบริโภคเนื้อหนูตั้งแต่ช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1940 หรือประมาณ 60 กว่าปีก่อน โดยคนกลุ่มแรกที่จับหนูมากินคือกลุ่มคนยากจน อาศัยอยู่แถบชนบท ไม่มีเงินซื้อเนื้อไก่หรือเนื้อหมูมาปรุงอาหาร


นอกจากข่าวการกินเนื้อหนูที่ประเทศไต้หวันแล้ว ประเทศไทยก็มีเรื่องของเปิบสัตว์ป่าด้วย

โดยเมื่อเวลา 03.30 น. วันที่ 29 ม.ค. น.อ.สมหมาย สุกกอ ผบ.นรข.เขตนครพนม และน.ต.ธีรนันท์ แดงพันธ์ หน.สถานีเรือธาตุพนม พร้อมเจ้าหน้าที่ด่านตรวจสัตว์ป่า สกัดจับสัตว์ป่าหวงห้ามล็อตใหญ่ได้จำนวน 11 ตัว เป็นเสือโคร่ง 6 ตัว เสือดาว 4 ตัว เสือลายเมฆ 1 ตัว และตัวนิ่มอีก 300 ตัว โดยสกัดยึดได้ที่ป่าละเมาะริมฝั่งแม่น้ำโขงบ้านคับพวง ต.น้ำก่ำ อ.ธาตุพนม จ.นครพนม ขณะลำเลียงข้ามโขงไปฝั่งสปป.ลาว เขตบ้านศรีวิลัย เมืองหนองบก แขวงสะหวันเขต โดยตัวนิ่มบรรจุในถุงตาข่ายสีฟ้า 55 ถุง จำนวน 300 ตัว บรรทุกในรถกระบะโตโยต้าสีเลือดหมู ทะเบียน บจ.69 นครพนม ส่วนเสือจำนวน 11 ตัว อยู่บนรถนิสสันสีทอง ทะเบียน บจ.6577 นครพนม สภาพเสือถูกชำแหละเรียบร้อยแล้ว ตัดเป็นท่อนครึ่งตัว

น.ต.ธีรนันท์ เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้ได้มีการยึดตัวนิ่มจำนวน 30 ตัว

จึงขยายผลจนกระทั่งทราบว่าจะมีการลักลอบขนสัตว์ป่าข้ามโขงครั้งใหญ่ ในเขตบ้านคับพ่วง จึงได้ส่งเจ้าหน้าที่ออกติดตามหาข่าวมาตลอด กระทั่งเมื่อคืนนี้จะมีการลำเลียงบริเวณดังกล่าว จึงนำกำลังไปดักซุ่ม จนพบความเคลื่อนไหวผิดสังเกตมีคนเดินตรวจสอบพื้นที่ และมีเรือลาวข้ามโขงมาจอด 2 ลำ ต่อมามีการรีบขนกระสอบลงเรือ ทางเจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตัวขอตรวจสอบ แต่กลุ่มบุคคลดังกล่าวได้วิ่งลงเรือที่สตาร์ตรอวิ่งข้ามโขงไป เจ้าหน้าที่จึงได้ตรวจสอบทั่วบริเวณ จึงได้พบของกลางดังกล่าว

น.ต.ธีรนันท์กล่าวว่า คาดว่าเสือและตัวนิ่มเหล่านี้ จะถูกลำเลียงข้ามไปลาว

และต่อไปยังเวียดนาม เพื่อทำเมนูเปิบนรก เป็นยาชูกำลัง สำหรับตัวนิ่ม ราคาจำหน่ายอยู่ที่กิโลกรัมละ 3,000-4,000 บาท ส่วนเสือจะตกตัวละ 1-2 แสนบาท หากเล็ดลอดไปเวียดนาม และข้ามต่อไปจีนได้ จะมีมูลค่าสูงถึง 3 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าเสือและตัวนิ่มดังกล่าว ถูกขนลำเลียงมาจากภาคใต้

ด้านนายปรีชา คำมุงคุณ เจ้าหน้าที่ประจำด่านตรวจสัตว์ป่านครพนม กล่าวว่า ตัวนิ่มและของกลางทั้งหมดจะนำส่งกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช และศูนย์เพาะเลี้ยงที่ภูเขียวต่อไป

เครดิต :
เครดิต : เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์ข่าวสด


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์