‘บิ๊กตู่’ ไม่ยืนยันไม่ปฏิวัติ เตือนทุกฝ่ายอย่าใช้ความรุนแรง

กำลังพลและยุทโธปกรณ์จำนวนมากเข้าพื้นที่กรุงเทพมหานครเพื่อทำการปฏิวัติรัฐประหารว่า

การเคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์ทั้งหมดในช่วงนี้ก็เพื่อมาสวนสนามวันกองทัพไทยและจัดแสดงให้ประชาชนเห็นว่าอาวุธยุทโธปกรณ์ที่กองทัพจัดซื้อมามีศักยภาพมีความทันสมัยอย่างไรคุ้มค่ากับงบประมาณหรือไม่และเพื่อต้องการให้เกิดความโปร่งใส อย่ามองไปคนละประเด็น

 “ข่าวลือก็คือข่าวลือ อย่าไปกลัวในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง หรือมองไม่เห็น แต่ทุกอย่างต้องมีสาเหตุที่ต้องหาให้เจอ ถ้าไม่มีเหตุ ก็ไม่มีเรื่อง เปรียบเสมือนวัวมีแผลที่หลัง อีกาก็คงไม่มาเกาะจิก” ผบ.ทบ. กล่าว

 เมื่อถามถึงความจำเป็นในการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ควบคุมสถานการณ์ กปปส.ประกาศปิดกรุงเทพฯ วันที่ 13 ม.ค. ผบ.ทบ. กล่าวว่า

สถานการณ์การเมืองในปี 56 จนถึงขณะนี้ มี 3 กลุ่มที่ออกมาชัดเจน นั่นคือ รัฐบาล กปปส. และกลุ่มมือที่ 3 ขณะที่ปี 53 มีเพียง รัฐบาล และกลุ่ม นปช. ซึ่งตนชี้แจงให้รัฐบาลและนายกรัฐมนตรีเข้าใจถึงความจำเป็นและเหตุผลในการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้ว เพราะปี 53 มีการใช้อาวุธสงคราม ก่อเหตุรุนแรงถึง 96 ครั้ง และสถานการณ์มีการพัฒนาตามลำดับ จึงจำเป็นต้องใช้กฎหมายดังกล่าว และได้แจ้ง ศอ.รส. แล้วว่า ไม่ควรทำให้สถานการณ์ตอนนี้พัฒนาไปเหมือนปี 53

 “ผมพยายามหยุดให้ได้ และไม่สนับสนุนให้ทุกฝ่ายใช้ความรุนแรง จนมีคนบาดเจ็บ สูญเสีย แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นทหารก็ต้องดูแลประชาชนทุกคนในชาติ ทุกสี ทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีสีก็ตาม” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

 เมื่อถามว่า สามารถประกาศยืนยันได้หรือไม่ว่าทหารจะไม่แก้ปัญหาด้วยการปฏิวัติ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า

ตนไม่ประกาศ ทุกเหตุการณ์ล้วนมีเหตุผลและที่มา ปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศขณะนี้ไม่เกี่ยวกับทหาร อย่ามาเชื่อมโยงกัน ทุกฝ่ายต้องใช้ธรรมะ ใช้สติ เข้าข่ม และยึดตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว "รู้คิด รู้ทำ" กองทัพไม่ใช่องค์กรที่จะแก้ปัญหาใด ๆ ได้ และรัฐบาลไม่ควรใช้ยาแรง เพราะจะอันตราย

 เมื่อถามถึงการปิดกรุงเทพฯ ของ กปปส. ในวันที่ 13 ม.ค.นี้

ผบ.ทบ. กล่าวว่า ก็รอดูเหมือนกันว่าจะเป็นอย่างไร แต่หวังว่าจะไม่มีความรุนแรง ความขัดแย้งจะคลี่คลาย ใครทำให้เกิดความรุนแรงต้องรับผิดชอบ โดยเฉพาะรัฐบาลซึ่งต้องรับผิดชอบตามหลักการ และทุกรัฐบาลก็ต้องรับผิดชอบเหมือนกัน