ไต่สวนยุบ ปชป.ยก 2 เดือด! ห้ำหั่นกันมันระหว่าง 2 พรรค

ไต่สวนยุบ ปชป.นัด 2 เข้มข้น


นิพิฏฐ์ ซัก บก.ตรังแนวหน้า รับเงิน ทรท.ลงข่าว จนพยานปากเอกสุดยัวะขู่ฟ้องกลับ ด้าน ทวี สุระบาลรับเหตุแปรพักตร์ซบ ทรท. เพราะแม้วยื่นเงื่อนไขนั่งตำแหน่งบริหาร อ้างเทปหลักฐานมัด ปชป.จ้างคนลงสมัครใส่ร้าย ทรท. เจ้าหน้าที่ กกต.แอบบันทึกเอง

ขณะที่ หน.พรรคชีวิตที่ดีกว่า ให้การเหตุย้ายที่เจรจากับ ไทกรใส่ร้ายไทยรักไทย เพื่อสะดวกต่อการล่อซื้อ รอง ผู้การฯ ชัยภูมิ อ้างแฝงตัวอัดเทปบทสนทนาไทกร ทำตามนายสั่ง ปฏิเสธรู้จัก เนวิน

วันนี้ ( 25 ม.ค.)


คณะตุลาการรัฐธรรมนูญได้ออกบัลลังก์ไต่สวนครั้งที่ 2 ในคดีที่อัยการสูงสุดร้องให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์และพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า โดยเป็นการสืบพยานฝ่ายผู้ร้องคืออัยการสูงสุดในประเด็น ว่าจ้างพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าส่งผู้ที่ไม่มีสิทธิลงรับสมัครเลือกตั้งแล้วใส่ร้ายพรรคไทยรักไทย และว่าจ้างให้พรรคชีวิตที่ดีกว่าใส่ร้ายพรรคไทยรักไทย รวม 4 ปาก จากทั้งหมด 6 ปาก

อย่างไรก็ตาม

เนื่องจาก น.ส.อิสรา ยวงประเสริฐ หัวหน้าพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า และ พล.ต.ต.ประสิทธิ์ ทำดี ผู้บังคับการตำรวจภูธรชัยภูมิ คณะตุลาการเห็นว่าคำให้การและคำคัดค้านเป็นเอกสารสมบูรณ์แล้ว คณะตุลาการฯจึงให้ตัดพยานดังกล่าวออก

การไต่สวนครั้งนี้คณะตุลาการฯ แทบไม่ได้ซักถามพยานเพิ่มเติม


ส่วนใหญ่จะเปิดโอกาสให้คู่กรณีซักค้าน ซึ่งพยานปากแรกคือ นางบุษยมาศ กลิ่นเพชร เจ้าของและบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ตรังแนวหน้า นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ผู้รับมอบอำนาจจากพรรคประชาธิปัตย์ สอบถามถึงการเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย

รวมถึงการได้พบเห็นเหตุการณ์และได้ยินการว่าจ้างผู้สมัครประชาธิปไตยก้าวหน้าให้ใส่ร้ายพรรคไทยรักไทย ที่เกิดขึ้นในสถานที่รับสมัครของ จ.ตรัง จนเป็นที่มาของการนำเสนอบทความและพาดหัวข่าวในหนังสือพิมพ์ตรังแนวหน้าว่า วิชามารโผล่ โยนบาปไทยรักไทย

เพื่อต้องการชี้ให้เห็นว่า

คำให้การของนางบุษยมาศไม่ตรงความเป็นจริง เช่น ถามว่าโต๊ะรับสมัคร กับโต๊ะที่สื่อมวลชนนั่งในสถานที่รับสมัครอยู่ห่างกัน 5-7 เมตรทำไมจึงมีเพียงนางบุษยมาศได้ยิน แต่สื่อมวลชนคนอื่นไม่ได้ยิน และเคยได้รับการว่าจ้างจากนายทวี สุระบาล สมาชิกพรรคไทยรักไทยให้ลงข่าวดังกล่าวใช่หรือไม่

รวมทั้งรายได้หลักของหนังสือพิมพ์ตรังแนวหน้าได้รับการสนับสนุนจากผู้สมัครพรรคไทยรักไทยกี่ครั้ง ซึ่งคำถามของนายนิพิฏฐ์ สร้างความไม่พอใจให้กับนางบุษยมาศอย่างมาก และแสดงอาการหงุดหงิด จ้องหน้านายนิพิฏฐ์ ตลอดเวลาที่ตอบคำถาม รวมทั้งร้องเรียนต่อคณะตุลาการว่าต้องการที่จะฟ้องกลับ

หนูเคยสมัครเป็นสมาชิกพรรคความหวังใหม่


แต่มาทราบทีหลังว่ามีชื่อเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย เข้าใจว่าเกิดการยุบรวมพรรค และที่ไปสำนักงานของนายไกรสิน โตทับเที่ยง สมาชิกไทยรักไทยในจ.ตรังก็เพื่อเก็บค่าโฆษณา ไม่ได้ไปสมัครเป็นสมาชิก

ส่วนที่ได้ยินการจ้างลงสมัครและให้ใส่ร้ายพรรคไทยรักไทยนั้น

เพราะบรรยากาศวันนั้นเงียบมาก โต๊ะรับสมัครกับโต๊ะสื่อมวลชนก็อยู่ใกล้กัน รวมถึงไม่ได้มีหนูคนเดียวที่ได้ยิน แต่มีสื่อทีวีที่มาทราบภายหลังว่าได้ยินเช่นกัน และที่ถามเรื่องคุณทวีว่าจ้างให้ลงข่าวนั้น ดิฉันก็มีศักดิ์ศรีและหนังสือพิมพ์ของดิฉันก็ไม่เคยรับการเงินสนับสนุนจากนายไกรสินเลย

เมื่อนาย นิพิฏฐ์ ถามว่า


ที่พาดหัวโยนบาปนั้นหมายถึง ใครเป็นผู้โยนบาป

นางบุษยมาศ กล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า จริง ๆ การพาดหัวข่าวเป็นการขายข่าวไม่ต้องมีเนื้อข่าว หนูเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์จะเขียนถึงความรู้สึกอย่างไรก็ได้ และเนื้อความของพาดหัวข่าวเรื่องนี้ก็อยู่ในหน้าวาไรตี้

นายนิพิฏฐ์ แย้งว่าถ้าอย่างนั้นก็ไม่ใช่ความจริง นางบุษยมาศ ก็โต้ว่า หนูขอร้องเรียน จะขอฟ้องกลับ ทำให้นายนายวิชัย ชื่นชมพูนุท ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ แจ้งว่า ที่นี่ไม่ได้รับฟ้องกลับและเตือนนายนิพิฏฐ์ว่าอย่าไปยึดติดกับระบบกล่าวหาให้มากเพราะไม่ใช่คดีอาญา

จะถามก็ถาม อย่าขี่ม้าเลียบค่าย จากนั้นนายนิพิฏฐ์ ก็สรุปว่าทั้งหมดเป็นการใช้ บก.หนังสือพิมพ์ตรังแนวหน้าเป็นเครื่องมือในการร้องพรรคประชาธิปัตย์

ส่วนพยานปากที่สอง


คือ นายทวี สุระบาล อดีต ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ พรรคไทยรักไทย และเคยเป็น ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ นายนิพิฏฐ์ได้ขอเวลาคณะตุลาการสอบพยานปากนี้หลายประเด็นเพื่อชี้เห็นถึงการเป็นปฏิปักษ์ต่อพรรคประชาธิปัตย์ และเพราะการร้องยุบพรรคก็เริ่มมาจากพยานปากนี้

ซึ่งนายนิพิฏฐ์ได้สอบถามถึงการมาสมัครเป็นสมาชิกพรรคในนามพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อแสดงให้เห็นว่านายทวีต้องการอาศัยชื่อเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ให้ตนได้รับเลือกตั้ง แต่นายทวีก็พยายามยืนยันว่ามาเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์เพราะการทาบทามและที่ได้รับเลือกตั้งก็มาจากผลงานในพื้นที่

ยอมรับว่า


ตอนที่ลงสมัครในนามพรรคชาติไทยในปี 29 สอบตก และเมื่อย้ายมาอยู่พรรคประชาธิปัตย์ในปี 31 ก็ไม่เคยสอบตกเลย จนในปี 44 ก็สร้างชื่อเสียงให้กับพรรค โดยเป็นผู้ได้คะแนนเลือกตั้งมากที่สุดในภาคใต้และในประเทศ ซึ่งเกิดจากผลงานที่ทำไว้กับชาวบ้าน นายทวีกล่าว และทันทีที่ชี้แจงจบ นายนิพิฏฐ์ ก็พูดสวนว่า ถ้าเป็นเพราะผลงานทำไมเมื่อการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เม.ย. 49 ที่ลงในนามพรรคไทยรักไทยจึงได้คะแนนไม่ถึงร้อยละ 20 ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง


จากนั้นนายนิพิฏฐ์ก็ถามว่า


การย้ายไปสังกัดพรรคไทยรักไทยมีสาเหตุโกรธเคืองกับใครในพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่

ซึ่งนายทวีก็ชี้แจงว่าไม่มี แต่ที่มาสังกัดพรรคไทยรักไทยขณะนั้นมีเงื่อนไขสั้น ๆ คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทยจะให้ตนอยู่ในบัญชีรายชื่อไม่เกินอันดับ 50 ซึ่งก็จัดให้อยู่ในลำดับที่ 46 ต่อมาในการเลือกตั้งปี 49 พ.ต.ท.ทักษิณก็บอกว่า คุณทวี คุณทำได้หรือไม่ ให้จ.ตรังได้ ส.ส.ไทยรักไทยสักหนึ่งคน คุณจะได้รางวัลที่ถูกใจที่สุดในชีวิตของคุณจากผม

ซึ่งขณะนั้นกระแสพรรคไทยรักไทยและพ.ต.ท.ทักษิณ

ในภาคใต้ไม่ใช่ศูนย์ แต่ติดลบ และมีกระบวนการจากพรรคประชาธิปัตย์ไปบอกกับชาวบ้านว่าผมรับมาแล้ว 32.5 ล้าน ทำให้ 6 สัปดาห์ผมไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้ชาวบ้านได้ แต่เงินดังกล่าวไม่ใช่รางวัลที่คุยกันน่าจะหมายถึงตำแหน่งบริหาร

นายนิพิฏฐ์ ได้ถามต่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ พูดด้วยว่า ถ้าชนะที่ จ.ตรังจะภูมิใจมากที่สุดในชีวิตใช่หรือไม่

นายทวีกล่าวว่า แน่นอนถ้าพรรคมีสมาชิกสักคนในภาคใต้ก็ต้องภูมิใจ

นอกจากนี้นายนพิฎฐ์ยังถามเพื่อชี้ให้เห็นว่า


พรรคไทยรักไทยพยายามใช้วิธีการที่ไม่ถูกดึง ส.ส.ของพรรค โดยให้นายทวีดึงนายสมชาย โล่สถาพรพิพิธ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ มาสังกัดพรรคแลกกับการช่วยให้พ้นคดีการพนัน ซึ่งนายทวียอมรับว่าได้พานายสมชายไปพบกับนายพิเชษฐ สถิรชวาล แกนนำพรรคไทยรักไทย ที่ขณะนั้นเป็นผู้ดูแลการเลือกตั้งในภาคใต้จริง เพื่อขอให้ช่วยเรื่องคดี

แต่ไม่ยอมรับว่าเป็นการไปวิ่งกับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขย พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เป็นปลัดกระทรวงยุติธรรมในขณะนั้น ตามที่นายนิพิฎฐ์อ้าง เพราะไม่รู้ว่าไปวิ่งกับใคร แต่ที่สุดนายสมชายก็ไม่ได้มาสังกัดไทยรักไทย

จากนั้นได้มีการไต่สวนพยานปากที่ 3 คือ


นายวรรธวริทธิ์ ตันติภิรมย์ หัวหน้าพรรคชีวิตที่ดีกว่า ซึ่งเป็นพยานในประเด็นที่นายไทกร พลสุวรรณ ผู้ประสานงานขบวนการอีสานกู้ชาติ ไปเจรจาให้นายวรรธวริทธิ์ ใส่ร้ายพรรคไทยรักไทย โดยอัยการสูงสุดได้ซักค้านว่า พ.ต.ท.รุทธพล เนาวรัตน์ ที่ปลอมตัวเข้าไปอัดเทปนั้น ไปในฐานะอะไร นายวรรธวริทธิ์ ชี้แจงว่า ไปฟังในฐานะคนรู้จักกัน และได้ขอให้ พ.ต.ท.รุทธพล ช่วยโดยถามว่า เรื่องอัดเทปเพราะกำลังจะไปคุยกับนายไทกร

เนื่องจากทราบมาจากนายบุญทวีศักดิ์ อมรสินธุ์ หัวหน้าพรรคพัฒนาชาติไทย ว่าแกนนำประชาธิปัตย์ไปที่บ้านนายบุญทวีศักดิ์ ก็เกรงว่าถ้าคุยกับนายไทกรแล้วไม่มีหลักฐานจะเป็นปัญหาจึงได้มีการบันทึกทั้งเทปเสียงและวีดิโอเทป

ขณะที่นายทวีศักดิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง


ผู้รับมอบอำนาจจากพรรคประชาธิปัตย์ ได้ถามว่า ที่ให้การไว้กับอนุฯสอบสวน กกต..ว่านายไทกรไปที่บ้านมีการข่มขู่หรือไม่ และทำไมเปลี่ยนที่นัดหมายกับนายไทกรจากโรงแรมเซ็นทรัล เป็นโรงแรมแกรนด์ เพราะสะดวกต่อการบันทึกเสียงใช่หรือไม่ รวมทั้งที่พูดคุยกัน 2 ชั่วโมงทำไมเทปเสียงจึงมีความยาวแค่ 40 นาทีใครตัดต่อ

นายวรรธวริทธิ์ ชี้แจงว่า


วันที่นายไทกรไปพบที่บ้านนั้นตนอยู่ที่ จ.ชัยภูมิ จึงแจ้งความที่นั่นเพราะรู้จักพล.ต.ต.ประสิทธิ์ ทำดี ผบก.ภ.จว.ชัยภูมิ เพราะภรรยาโทรศัพท์มาเล่าว่า นายไทกรพร้อมกับบุคคลที่อ้างเป็นตำรวจ มาบอกว่าพรรคประชาธิปัตย์จะฟ้องและดำเนินคดีตนฐานส่งผู้ไม่มีสิทธิสมัครลงสมัครรับเลือกตั้ง และทิ้งจดหมายไว้มีข้อความทำนองถ้าไม่ติดต่อในวันเวลาที่กำหนด จะฟ้องร้องดำเนินคดีกับตน แต่ถ้ายอมรับใส่ร้ายอีกพรรคหนึ่งจะหาทนายดังๆ มาช่วย ถือว่าเป็นการข่มขู่

และยอมรับว่า

ที่เปลี่ยนสถานที่นัดส่วนหนึ่งเพื่อสะดวกต่อการบันทึกเสียง แต่ที่เนื้อเทปมีเพียง 40 กว่านาที นั้นไม่ทราบใครตัดต่อ เพราะพูดคุยเสร็จก็ให้พ.ต.ท.รุทธพล ไปถอดเทป และนำมาให้ ตนจึงนำไปร้องเรียนกับ กกต. โดยนายบุญทวีศักดิ์ทราบในเวลาต่อมาจึงมาขอสำเนาและนำไปเผยแพร่ ซึ่งตนก็นำไปให้นายวิชิต ปลั่งศรีสกุล คณะทำงานด้านกฎหมายของพรรคไทยรักไทยด้วย

อย่างไรก็ตาม นายวรรธวริทธิ์ แสดงความไม่พอใจ


เมื่อนายทวีศักดิ์พยายามที่จะสอบถามว่า นายวรรธวิทธิ์ เกี่ยวข้องและรับเงินจากนายบุญทวีศักดิ์ รวมทั้งมีถ้อยคำของนายไทกรถ้อยทำใดที่ระบุว่าจะให้เงิน หากใส่ร้ายพรรคไทยรักไทย ซึ่งนายวรรธวริทธิ์ กล่าวว่า คุณจะมาเมกได้อย่างไร ผมกับนายบุญทวีศักดิ์ไม่มีอะไรกัน ที่ไปคุยกับนายไทกร เขาก็บอกเพียงว่าให้ผมตกลง โดยพูดทำนองว่าจะเรียกเงินเท่าไหร่ แต่ในชีวิตผมไม่เคยรับจ้าง ชื่อเดิมผมคือวัฒนา เป็นอดีตผู้นำแรงงาน คุณชวนก็รู้จักผมดี

ส่วนพยานปากสุดท้ายคือ


พ.ต.ท.รุทธพล เนาวรัตน์ รองผกก.ตำรวจภูธร จว.ชัยภูมิ ซึ่งเป็นผู้แฝงตัวไปกับนายวรรธวริทธิ์และบันทึกเทปการสนทนากับนายไทกร

คณะตุลาการฯ ได้ถามว่าการเข้าไปเกี่ยวข้องเรื่องนี้ทำตามหน้าที่หรือช่วยส่วนตัว และทราบหรือไม่ว่าอำนาจหน้าที่ในตำแหน่งมีเท่าใด

โดย พ.ต.ท.รุทธพล กล่าวว่า ที่เข้าไปเกี่ยวข้องเพราะ พล.ต.ต.ประสิทธิ์ มอบหมาย ถือเป็นการทำหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 17 และทราบดีว่ามีอำนาจหน้าที่สืบสวนคดีในท้องที่รับผิดชอบเท่านั้น แต่หากมีคดีเกี่ยวเนื่องและผู้บังคับบัญชาสั่งก็สืบสวนสอบสวนได้ทั่วราชอาณาจักร


ส่วนอัยการสูงสุดถามถึงสาเหตุที่ พล.ต.ต.ประสิทธิ์สั่งให้เข้ามาทำคดีนี้และขั้นตอนการสอบสวน

โดยพ.ต.ท.รุทธพล กล่าวว่า เคยรับราชการในพื้นที่ จ.นครราชสีมา มีบ้านใกล้กับบ้านของนายวรรธวริทธิ์ อีกทั้งมีการอ้างว่าตำรวจชัยภูมิกับนครราชสีมาไปข่มขู่ พล.ต.ต.ประสิทธิ์จึงมอบหมายให้สืบ ซึ่งก็ได้โทรศัพท์ไปหาชายที่อ้างเป็นตำรวจตามนามบัตรที่ทิ้งไว้และนัดพบที่รร.เดอะแกรนด์ และทำการบันทึกภาพและเสียงสนทนา แล้วนำมาถอดเทปมอบให้นายวรรธวริทธิ์ และทำหนังสือชี้แจงไปยังผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น

ด้านนายทวีศักดิ์


ผู้รับมอบอำนาจจากพรรคประชาธิปัตย์ ซักค้านว่าเคยเป็นลูกน้อง พล.ต.ต.ประสิทธิ์ ที่จ.บุรีรัมย์และรู้จักนายเนวิน ชิดชอบ หรือไม่ และอุปกรณ์ดักฟังและเครื่องบันทึกเสียงเป็นของราชการทำไมเมื่อเป็นหลักฐานแล้วจึงมอบให้นายวรรธวิริทธิ์ เพราะเป็นความผิด และทำไมคำถอดเทปจึงมี 2 ฉบับไม่เหมือนกัน

พ.ต.ท.รุทธพล รับว่าเคยเป็นลูกน้อง พล.ต.ต.ประสิทธิ์ที่ จ.บุรีรัมย์

และไม่รู้จักนายเนวิน รวมถึงที่ผู้บังคับบัญชาเรียกมาสอบเรื่องนี้ก็ไม่ได้ถือเป็นเรื่องผิดปกติ ส่วนเครื่องมือบันทึกเสียงเป็นของตน ไม่คิดว่าผิดกฎหมายเพราะเป็นข้อเท็จจริงคดี และที่มอบให้นายวรรธวริทธิ์เพราะเห็นว่าการสนทนาไม่เกี่ยวกับการข่มขู่คุกคามตามที่ได้แจ้งความไว้ แต่เป็นเรื่องการเมือง

ส่วนเทปเสียงที่ไทยรักไทยมีนั้น ตนไม่ได้มอบ แต่ยอมรับว่านายวรรธวิรทธิ์ ฝากซองสีน้ำตาลให้ตนไปมอบไว้ที่ไทยรักไทย ก็ให้ผู้ใต้บังคับบัญชานำไป ซึ่งไม่รู้เป็นซองอะไร ส่วนเนื้อหาถอดเทปนั้นมี 2 ฉบับได้อย่างไรไม่ทราบ


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: ผู้จัดการออนไลน์

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์