“โภคิน”ชี้ 3 ปมทำปัญหาบ้านเมืองวุ่นวาย

                  โดย นายโภคิน พลกุล ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีและประธานคณะทำงานพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อศึกษาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา291 กล่าวปาฐกถาเรื่อง “รัฐธรรมนูญไทย : ทางออกของสังคม?” ตอนหนึ่งว่า ปัญหาความขัดแย้งของสังคมไทยที่เป็นอยู่ขณะนี้ มีหลายประเด็นที่เป็นบ่อเกิดของปัญหา แต่สรุปได้ 3 ประเด็นที่สำคัญคือ 1.เราไม่ยึดมั่นในกติกาสูงสุด 2.ไม่ยึดหลักนิติธรรม 3.ไม่มีหลักเมตตาธรรม และการให้อภัย

นายโภคิน กล่าวต่อว่า รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด แทนที่จะยึดรัฐธรรมนูญเป็นกติกา แก้ปัญหาภายใต้กติกา หากล้าหลังก็แก้ไขกันไป ซึ่งหากทำเช่นนี้ประเทศไทยไม่ต้องเจอปัญหาแบบนี้

              โดยรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ยืนยันว่ามีที่มาไม่ชอบธรรม เพราะคนทำรัฐประหารให้ร่างขึ้น แม้จะผ่านการทำประชามติจากประชาชน 14 ล้านเสียง หากรักษาไว้ก็จะเป็นการรักษาบ่อเกิดความขัดแย้งต่อไปไม่จบสิ้น ซึ่งเชื่อว่า หากมีการบัญญัติว่าการทำรัฐประหารเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้ที่กระทำนั้นถือว่าเป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ก็เชื่อว่าคนที่ทำรัฐประหารแม้แต่เพียงหนึ่งวันก็มีความผิด จะไม่สามารถล้างความผิดได้เหมือนกับการบัญญัติไว้ใน มาตรา 309 รัฐธรรมนูญปี2550

             นายโภคิน กล่าวอีกว่า นอกจากนี้จะต้องบัญญัติไว้ว่า หากมีการยึดอำนาจจะนิรโทษกรรมผู้กระทำไม่ได้ และจะขอให้บัญญัติอีกด้วยว่า ข้าราชการและหน่วยงานของรัฐ ทุกคนจะต้องถวายสัตย์ และต้องทำตามคำถวายสัตย์ หากละเมิดก็จะถือว่าผิดจริยธรรม และผิดวินัยอย่างร้ายแรง อย่างไรก็ตามการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะต้องร่างเนื้อหาให้เกิดความชอบธรรม ซึ่งตนขอเสนอว่า เมื่อมีเนื้อหาที่เป็นธรรม ก็ขอร้องอยากให้ศาลทั้งหลายให้อยู่ในหลักของกฎกติกาที่เป็นธรรม เชื่อว่าจะไม่ทำให้เกิดความรุนแรงอย่างแน่นอน ทั้งนี้หากยึด 3 หลักคือยึดกติกาสูงสุด คือรัฐธรรมนูญ ยึดหลักนิติธรรม มีหลักเมตตาธรรม ทุกอย่างก็จะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

            จากนั้นนายธีรยุทธ์ บุญมี กล่าวปาฐกถาเรื่อง“ทิศทางการเมืองไทยในอนาคต”ตอนหนึ่งว่า ที่ผ่านมามีการถกเถียงเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือการร่างรัฐธรรมนูญ ผิดเป้าทั้งหมด เพราะตนเห็นว่าที่ผ่านมารัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเขียนอย่างไร หรือโดยใคร จะจบการศึกษาจาก คุณวุฒิ มีชื่อเสียงอย่างไร ก็ไม่เกิดผลมากนัก อีกทั้งรัฐธรรมนูญกับประชาธิปไตยไม่วิ่งขนานกัน แต่เป็นเกมอำนาจของผู้มีอำนาจในประเทศไทยทุกยุคสมัย ซึ่งตนขอเตือนเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า โดยทฤษฎีและหลักการ คิดว่ารัฐสภาที่มาจากประชาชน จะมีสิทธิและอำนาจเต็มที่ที่จะแก้ไขหรือยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ทุกประเด็น ทั้งนี้หากตีความเพื่อแก้ไขปัญหา ฝ่ายตุลาการจะทำแล้วได้รับการยอมรับ ซึ่งการที่คนส่วนหนึ่งมองว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทำเพื่อพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ จะทำให้เกิดโอกาสที่มีปัญหาสูง และยังไม่เห็นว่าพรรคเพื่อไทยพูดว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อสิทธิเสรีภาพ และผลประโยชน์ของประชาชนอย่างไร

           นายธีรยุทธ์ กล่าวต่อด้วยว่า วิกฤติเหลือง-แดง ที่เป็นความขัดแย้งทางการเมืองนั้น ตนเห็นว่าความขัดแย้งเหลือง-แดง ไม่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทิศทางการเมืองของประเทศไทย เพราะทั้ง 2 สีเป็นแค่กลุ่มตื่นตัวทางการเมือง ขณะที่อุดมการณ์ต่อต้านอำมาตย์ก็เป็นเพียงภาพลวงตา ทั้งนี้หากตัวละครหลัก คือ รัฐสภา พรรคการเมือง กองทัพ ศาล ไม่ล้ำเส้นกัน เช่นกองทัพไม่คล้อยตามคำยุยงให้รัฐประหาร รัฐบาลไม่โกงกินอย่างหน้าด้านและเปิดเผย หรือรัฐสภาไม่แก้ไขกฎหมายเพื่อนิรโทษกรรมพ.ต.ท.ทักษิณนั้น หากมีความรุนแรงเกิดขึ้นก็จะเป็นเพียงความรุนแรงย่อย ๆ แต่หากผู้เล่นขาดสติหรือล้ำเส้นก็จะเกิดรัฐประหารอีกและเสื่อมลงไปเอง

          ต่อมา นายโภคิน กล่าวถึงกรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราแทนการเดินหน้าโหวตแก้รัฐธรรมนูญ วาระ 3 เพื่อตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร.)มายกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า เป็นเรื่องของพรรคร่วมรัฐบาลต้องไปตัดสินใจว่า จะใช้แนวทางใดในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การบอกว่า ถ้าแก้เป็นรายมาตราจะช่วยลดความเสี่ยงเรื่องความขัดแย้งรอบใหม่นั้น เป็นเรื่องที่ตอบลำบาก แต่หากจะแก้เป็นรายมาตราคงแก้ไขได้เพียงไม่กี่มาตราเท่านั้น อาทิ มาตรา 190 และมาตรา 237 เรื่องการยุบพรรค ขณะที่เรื่องอื่นๆอีกหลายเรื่องที่ขัดหลักนิติธรรม และมีที่มาไม่เป็นธรรม ไม่รู้จะได้รับการแก้ไขหรือไม่ เพราะถ้าไปแตะก็อาจถูกกล่าวหาได้ ดูแล้วคงแตะได้เฉพาะเนื้อหาที่ไม่ใช่สาระ หากจะแก้เป็นรายมาตราจริงต้องบอกให้ชัดเจนก่อนว่า จะแก้มาตราใดบ้าง