โพลล์ระบุคนกรุงหวั่นสังคมวุ่นวายหากยุบพรรคการเมืองใหญ่

กรุงเทพธุรกิจ

29 มิถุนายน 2549 12:47 น.
โพลล์ระบุคนกรุงหวั่นสังคมวุ่นวายเศรษฐกิจดิ่งเหว บ้านเมืองแตกแยกหากยุบพรรคการเมืองใหญ่ แนะ"ทักษิณ"เว้นวรรค

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลสำรวจภาคสนามเรื่อง ผลดีผลเสียของการยุบพรรคการเมืองใหญ่ในสายตาสาธารณชน โดยเก็บข้อมูลจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลรวมทั้งสิ้น 1,156 ตัวอย่างระหว่างวันที่ 27-28 มิถุนายนที่ผ่านมา

ผลสำรวจพบประชาชนส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 80 ติดตามข่าวการเมืองเป็นประจำ และเมื่อสอบถามถึง กรณีข่าวมติอัยการสูงสุดชี้มูลคดีให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคไทยรักไทยว่าจะมีผลดีอะไรบ้าง ผลสำรวจพบว่า ร้อยละ 31.4 ระบุเปิดโอกาสให้คนใหม่ๆ พรรคการเมืองใหม่เข้ามาทำงาน ร้อยละ 26.9 คิดว่านักการเมืองจะไม่กล้าทำผิดกฎหมายเสียเอง ร้อยละ 15.9 คิดว่าการทุจริตคอรัปชั่นจะลดลง ร้อยละ 12.3 คิดว่าปัญหาการเมืองจะหมดไป ร้อยละ 10.2 คิดว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น ร้อยละ 5.4 คิดว่าปัญหาความรุนแรงภาคใต้จะลดลง

ในขณะที่ผลเสียถ้ามีการยุบพรรคไทยรักไทย พบว่า ร้อยละ 37.0 เศรษฐกิจจะแย่ลง ร้อยละ 19.6 นโยบายรัฐบาลจะขาดความต่อเนื่อง ร้อยละ 15.8 สถานการณ์การเมืองจะวุ่นวาย ร้อยละ 12.8 คิดว่ายาเสพติดจะระบาดเพิ่มขึ้น ร้อยละ 8.3 คิดว่าปัญหาคนจนจะเพิ่มขึ้น ร้อยละ 8.1 ขาดคนเก่งบริหารประเทศ ร้อยละ 6.6 เสียเวลาและงบประมาณเลือกตั้งใหม่ และร้อยละ 4.7 คิดว่าต่างชาติจะไม่เชื่อมั่นต่อประเทศไทย และเมื่อสอบถามถึงผลดีผลเสียจะเกิดขึ้นถ้ายุบพรรคไทยรักไทย พบว่า ร้อยละ 53.2 คิดว่าผลเสียจะมากกว่า ร้อยละ 22.6 คิดว่าผลดีจะมากกว่า และที่เหลือร้อยละ 24.2 ไม่มีความเห็น

เมื่อสอบถามถึงกรณีข่าวมติอัยการสูงสุดชี้มูลคดีให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคประชาธิปัตย์ว่าจะมีผลดีอะไรบ้าง พบว่า ร้อยละ 35.0 คิดว่าสถานการณ์สงบลง ร้อยละ 31.0 คิดว่าจะเกิดการพัฒนาบุคลากรทางการเมืองที่ดีขึ้น ร้อยละ 16.4 คิดว่าจะไม่มีการก่อกวนทางการเมือง ร้อยละ 11.9 คิดว่าพรรคไทยรักไทยจะหมดคู่แข่ง ร้อยละ 6.2 คิดว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น เป็นต้น

ในขณะที่ผลเสียถ้ายุบพรรคประชาธิปัตย์ พบว่า ร้อยละ 35.0 คิดว่าจะขาดฝ่ายค้านที่ดี ขาดการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลที่เข้มข้น ร้อยละ 13.2 คิดว่าการเมืองจะไม่มีเสถียรภาพ ร้อยละ 12.6 คิดว่าสถานการณ์การเมืองจะวุ่นวาย ร้อยละ 10.5 คิดว่าไม่มีพรรคใหญ่ให้ประชาชนเลือก ร้อยละ 9.7 ปัญหาภาคใต้จะรุนแรงมากขึ้น ร้อยละ 9.2 คิดว่าปัญหาคอรัปชั่นจะสูงขึ้น ร้อยละ 8.1 คิดว่าสังคมจะแตกแยกและร้อยละ 8.1 เช่นกันคิดว่าคะแนนโนโหวตจะสูงขึ้น

เมื่อสอบถามถึงผลดีผลเสียถ้ายุบพรรคประชาธิปัตย์ พบว่า ร้อยละ 35.5 จะเกิดผลเสียมากกว่า ร้อยละ 27.0 คิดว่าจะเกิดผลดีมากกว่า และร้อยละ 37.5 ไม่มีความเห็น

ดร.นพดล กล่าวต่อว่า ประเด็นที่น่าพิจารณาคือ เมื่อถามถึงผลดีถ้ามีการยุบทั้งไทยรักไทยและประชาธิปัตย์ พบว่า ร้อยละ 58.4 คิดว่าจะเกิดพรรคการเมืองใหม่ๆ ขึ้น ร้อยละ 29.8 คิดว่านักการเมืองจะไม่กล้าทำผิดกฎหมายเสียเอง ร้อยละ12.6 คิดว่าคุณธรรมจริยธรรมของนักการเมืองจะสูงขึ้น ร้อยละ 8.6 คิดว่าจะทำให้การเมืองมีความชัดเจนขึ้น ร้อยละ 6.3 คิดว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น ร้อยละ 5.0 คิดว่าปัญหาคอรัปชั่นจะลดลง ตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม เมื่อสอบถามถึงผลเสียถ้ายุบทั้งสองพรรค พบว่า ร้อยละ 27.0 คิดว่าสังคมจะวุ่นวายแตกแยก ร้อยละ 25.2 คิดว่าเศรษฐกิจจะหยุดชะงัก ร้อยละ 18.4 คิดว่าคะแนนโนโหวตไม่เลือกใครจะสูงขึ้น ร้อยละ 15.1 นโยบายรัฐบาลจะขาดความต่อเนื่อง ร้อยละ 12.4 คิดว่าจะเสียเวลาและงบประมาณ ร้อยละ 8.2 คิดว่าการเมืองจะไม่มีเสถียรภาพ ร้อยละ 3.9 พรรคการเมืองใหญ่จะหายไป และร้อยละ 6.2 ปัญหาอื่นๆจะตามมาเช่น ยาเสพติด ความยากจน กลุ่มผู้มีอิทธิพลและปัญหาชายแดนภาคใต้

เมื่อสอบถามถึงผลดีผลเสียถ้ายุบทั้งสองพรรค พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 57.3 คิดว่าผลเสียจะมากกว่า ร้อยละ 14.9 คิดว่าผลดีมากกว่า และที่เหลือร้อยละ 27.8 ไม่มีความเห็น

ดร.นพดล กล่าวต่อว่า ที่น่าพิจารณาคือ เมื่อถามว่าใครมีความเหมาะสมเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป พบว่า ร้อยละ 41.0 ระบุเป็น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ร้อยละ 23.5 ระบุเป็น ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ร้อยละ 17.3 ระบุเป็นนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ร้อยละ 15.2 ระบุเป็นนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ร้อยละ 13.1 ระบุเป็นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ร้อยละ 4.9 ระบุนายบรรหาร ศิลปอาชา ร้อยละ 4.4 ระบุนายชวน หลีกภัย ร้อยละ 2.9 ระบุนายศุภชัย พานิชภักดิ์ ร้อยละ 5.3 ระบุอื่นๆ เช่น นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่นับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พบข้อมูลที่น่าพิจารณาคือ ร้อยละ 38.4 ระบุเป็น ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ร้อยละ 32.9 ระบุเป็นนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ร้อยละ 25.3 ระบุเป็น นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ร้อยละ 19.5 ระบุเป็นนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย ร้อยละ15.4 ระบุเป็นนายศุภชัย พานิชภักดิ์ ตามลำดับ

ผลสำรวจครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า สาธารณชนที่ถูกศึกษาหวั่นเกรงความวุ่นวายแตกแยกทางสังคมที่อาจเกิดขึ้นตามมาหลังจากการยุบพรรคไทยรักไทยและพรรคประชาธิปัตย์ไปพร้อมๆ กัน เพราะที่ผ่านมาสังคมการเมืองได้แบ่งประชาชนออกเป็นฝักเป็นฝ่ายอย่างชัดเจน ประชาชนที่สนับสนุนแต่ละฝ่ายต่างคาดหวังและมีอุดมการณ์ที่แรงกล้าคนละขั้ว การยุบพรรคการเมืองที่ประชาชนแต่ละกลุ่มให้ความหวังไว้อาจไม่ใช่ทางออกของวิกฤตการณ์ทางการเมืองขณะนี้ ดร.นพดล กล่าว

ดร.นพดล วิเคราะห์ว่า ดูจากผลวิจัยหลายโครงการที่ผ่านมาและความเป็นไปได้ในอนาคต พบว่า ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ ถอนตัวออกจากระบบการเมือง โดยบอกให้ประชาชนที่สนับสนุนเข้าใจไม่เคลื่อนไหวรุนแรง การทำงานทางการเมืองของคนใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ อาจได้รับการสนับสนุนทั้งฝ่ายที่นิยมศรัทธา พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่แล้วและฝ่ายที่เคยต่อต้านอาจหันมาสนับสนุนพรรคได้ ซึ่งจากการสำรวจล่าสุดพบว่า ถ้าไม่มี พ.ต.ท.ทักษิณ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีให้กับประชาชนทั่วไป และน่าจะเป็นผลดีต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ เพียงแต่คนในพรรคไทยรักไทยทั่วประเทศต้องสนับสนุน เพราะการทำโพลล์หลายครั้งที่ผ่านมานโยบายต่างๆ ของรัฐบาลได้รับการตอบรับจากประชาชนส่วนใหญ่อยู่ในระดับที่ดีหลายโครงการ เช่น หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ แก้ปัญหายาเสพติด โครงการสามสิบบาทรักษาทุกโรค และการปราบปรากลุ่มผู้มีอิทธิพล เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ผลวิจัยหลายครั้งที่ผ่านมาชี้ให้เห็นเช่นกันว่า ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ (ถ้าสนใจลงแข่งขันทางการเมือง) กำลังได้รับความสนใจจากประชาชนจำนวนมากเช่นกัน ยิ่งถ้าไม่มี พ.ต.ท.ทักษิณ แล้ว คนในเขตกรุงเทพมหานครและหัวเมืองใหญ่จำนวนมากอาจเทคะแนนให้กับ ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ได้ แต่เชื่อว่าความนิยมต่อ ร.ต.อ.ปุระชัย ยังไม่แผ่กว้างไปยังประชาชนนอกเขตเทศบาล การแข่งขันทางการเมืองในอนาคต ถ้าสถานการณ์การเมืองกลับมาปกติและไม่มี พ.ต.ท.ทักษิณ และนายอภิสิทธิ์ หัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่ทั้งสอง รัฐบาลไทยที่จะเกิดขึ้นน่าจะยังคงเป็นรัฐบาลพรรคไทยรักไทยแต่จะไม่ใช่รัฐบาลเสียงข้างมากเหมือนเดิม การทำงานของรัฐบาลไทยคงจะอยู่บนฐานของการทุ่มเทแก้ปัญหาเดือดร้อนของประชาชนอย่างแท้จริง และจะถูกตรวจสอบคุณธรรมจริยธรรมทางการเมืองอย่างเข้มข้น ถ้าพรรคเล็กพรรคน้อยไม่ไปยุบรวมกับพรรคใหญ่เหมือนในอดีตที่ผ่านมา ดร.นพดล กล่าว

ดร.นพดล วิเคราะห์ต่อว่า สังคมไทยจะสงบเรียบร้อยอย่างแน่นอน ถ้า สาธารณชนไม่มีความเคลือบแคลงสงสัยต่อคนใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ ในเรื่องการแสวงหาผลประโยชน์จากนโยบายของรัฐบาล ดังนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ จึงควรประกาศชี้แจงลดข้อสงสัยของสาธารณชนในทุกๆ เรื่อง ถ้าไม่ทำก็ไม่ควรทำงานการเมืองต่อเพราะสังคมจะวุ่นวายไม่จบสิ้น แต่ถ้าชี้แจงแก้ข้อสงสัยได้ทุกๆ ข้อจนเป็นที่ยอมรับ พ.ต.ท.ทักษิณ และคนใกล้ชิดพรรคไทยรักไทยทุกคนควรกล้าประกาศจะประพฤติปฏิบัติตนตามหลักคุณธรรม 10 ประการสำหรับผู้นำประเทศ โดยเฉพาะความซื่อสัตย์สุจริต ยึดแนวพระราชดำรัส หล่อหลอมโครงการพระราชดำริ สู่นโยบายสาธารณะแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนต่อไป

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์