“โชเฟอร์นายกฯ”เล่านาทีชีวิตที่มท.บอกแดงสุดโหด

คมชัดลึก : “โชเฟอร์นายกฯ” เล่า นาทีชีวิตที่มหาดไทย บอกแดงสุดโหด ต้องชนประตู “หนีตาย” บอก “อภิสิทธิ์” สุดใจถึง ขอลงไปเคลียร์ม็อบ แต่ “สุเทพ” ห้ามไว้ ตอกกลับข้อมูล “สุรพงศ์” เห็นคนเปิดรถ ระบุรถกันกระสุนประตูปิดตาย เปิดไม่ได้เด็ดขาด “รปภ.นายกฯ” ลั่น ไม่เปลี่ยนรถ ส่วน “สุภรณ์”เริ่มโบ้ยที่พาม็อบไปเพราะเชื่อบริสุทธิ์ใจว่าตาย 2 ศพ แต่หาแล้วไม่เจอ ยังปักใจเชื่อรัฐบาลจัดฉากปราบแดง


ที่รัฐสภา เวลา 10.00 น.วันที่ 29 พ.ค. มีการประชุมคณะอนุกรรมการรวบรวมเหตุการณ์ที่กระทรวงมหาดไทย โดยมีนางนฤมล ศิริวัฒน์ เป็นประธาน ซึ่งที่ประชุมได้เชิญ พ.ต.ท.ดำรงศักดิ์ สว่างงาม รองผู้กำกับการ กองกำกับการ 2 กองบังคับการปรามปราม ในฐานะหัวหน้าทีมบังคับรถนำขบวน พ.ต.อ.สมาน รอดกำเนิด ผู้กำกับสถานีตำรวจนครบาลสำราญราษฎร์

 พ.ต.ท.ดำรงศักดิ์ ได้ลำดับเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นที่กระทรวงมหาดไทย ว่าตนเป็นผู้ส่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ขึ้นรถประจำตำแหน่ง ก่อนที่จะวิ่งตามรถเพื่อเตรียมขึ้นรถนำขบวนออกจากกระทรวงแต่ไม่สามารถออกไปได้สะดวก เนื่องจากติดกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงจนต้องมีการวนรถภายในกระทรวง 1-2 รอบก่อนที่รถนายกรัฐมนตรีจะวิ่งฝ่ากลุ่มผู้ชุมนุมออกไปได้เพียงคันเดียว ทั้งนี้ตนขอยืนยันในรถคันดังกล่าวมีคนนั่งอยู่ 4 คน คือ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ พ.ต.ต.สมชาย แจ้งธรรมมา รปภ.นายกรัฐมนตรี และนายไพทูรย์ รักษ์บ้านเกิด คนขับรถ

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อนุกรรมการฯยังถามย้ำว่า เหตุการณ์ในช่วงนั้น นายกรัฐมนตรียังอยู่ในรถหรือไม่ พ.ต.ท.ดำรงค์ศักดิ์ ยืนยันว่าไม่เห็นนายกรัฐมนตรีออกจากรถ เพราะหลังเหตุการณ์ชุลมนที่พัทยา เมื่อวันที่ 7 เม.ย. ทำให้ทีมรักษาความปลอดภัยตกลงร่วมกันว่า ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดๆ จะไม่ให้นายกรัฐมนตรีเปลี่ยนรถโดยเด็ดขาด รวมทั้งเล็งเห็นว่ารถที่นายกรัฐมนตรีนั่งในวันนั้นเป็นรถกันกระสุน จึงถือเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับผู้นำ

 พ.ต.ท.ดำรงศักดิ์ กล่าวอีกว่า ขณะที่ตนยืนอยู่ข้างรถนายกรัฐมนตรีได้ยินเสียงปืนพกดังขึ้นใกล้รถนายกรัฐมนตรี และคาดว่าเป็นการยิงขู่เพื่อควบคุมสถานการณ์ที่ตึงเครียด ซึ่งทราบภายหลังว่าผู้ยิงคือ รปภ.ของผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง แต่ไม่ใช่เสียงปืนจากทีม รปภ.ของนายกรัฐมนตรี เพราะได้ตกลงกันแล้วว่าจะไม่มีการชักปืนยิงใส่กลุ่มผู้ชุมนุม เนื่องจากเกรงว่าจะถูกดำเนินคดีอาญา และอาจจะทำให้สถานการณ์บานปลายขึ้น อย่างไรก็ตามตนเองได้หนีออกจากกระทรวงภายหลังที่รถนายกรัฐมนตรีออกจากระทรวงแล้ว เนื่องจากได้ยินเสียงประกาศจากแกนนำปลุกระดมให้กลุ่มผู้ชุมนุมบุกเข้าไปภายในกระทรวงโดยแกนนำอ้างว่าทหารฆ่าผู้ชุมนุมแล้วเก็บศพไว้ในกระทรวง

 ขณะที่ พ.ต.อ.สมาน รอดกำเนิด ผู้กำกับสถานีตำรวจนครบาลสำราญราษฎร์ กล่าวว่า วันเกิดเหตุได้สังเกตการณ์อยู่รอบกระทรวงโดยภายหลังเกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้น และได้เข้าไปตรวจสอบหลังจากเหตุการณ์สงบแต่ไม่พบผู้เสียชีวิตอยู่ในกระทรวง ทั้งนี้ มีผู้มาแจ้งความและลงบันทึกประจำวันในวันที่ 5 พ.ค.ไว้ที่ สน.ไว้เพียง 1 รายเท่านั้นคือนายมณี แสงทอง ชาวบ้านจังหวัดลพบุรี ซึ่งให้การว่าได้รับบาดเจ็บจากการถูกยิงเข้าที่ข้อเท้าด้านขวา ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้เรียกตัวเพื่อให้ปากคำ แต่นายมณีก็ไม่เข้ามาชี้แจงรายละเอียดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่อย่างใด

 จากนั้น ในการประชุมคณะอนุกรรมการรวบรวมเหตุการณ์ ที่กระทรวงมหาดไทย ช่วงบ่าย ได้เชิญนายไพฑูรย์ รักษ์บ้านเกิด คนขับรถนายกรัฐมนตรี พ.ต.ต.สมชาย แจ้งธรรมา ตำรวจติดตามนายกรัฐมนตรี พ.ต.ปกรณ์ สมพานต์ หัวหน้าทีมรักษาความปลอดภัย ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ(ศรภ.) ที่ถูกกลุ่มเสื้อแดงจับตัวในวันที่ 12 เม.ย. เข้าชี้แจง
 
 นายไพฑูรย์ ชี้แจงว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี อยู่ในรถประจำตำแหน่งคันที่ถูกกลุ่มผู้ชุมนุมบุกทุบทำลายจริง และไม่มีใครลงก่อนที่จะรถจะแล่นออกจากกระทรวง รวมทั้งไม่มีการเปลี่ยนรถให้นายกรัฐมนตรีเหมือนเช่นที่เมืองพัทยาตามที่มีการตั้งข้อสังเกต เพราะได้หารือกันล่วงหน้าแล้วว่ารถประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมีความปลอดภัยสูงสุด ระหว่างที่กลุ่มคนเสื้อแดงรุมทุบรถจนร้าวนายกรัฐมนตรีได้พูดว่า “จะให้ผมลงไปนอกรถ เพื่อหยุดปัญหานี้หรือไม่” แต่ถูกนายสุเทพ ห้ามไว้ ตนพยายามถอยรถไปหาทหาร แต่ทหารเหล่านั้น ถอยหนี ทราบภายหลังว่าได้รับคำสั่งเพียงมาดูแลกระทรวงมหาดไทยเท่านั้น

 “ผมคิดอยู่ในใจว่า หากออกไปไม่ได้คงต้องตายแน่ๆ จึงตัดสินใจพุ่งชนประตูกระทรวงมหาดไทย ตอนนั้นต้องทำทุกอย่างเพื่อพานายกฯ รองสุเทพ ออกมาให้ได้ เพราะถ้าออกมาไม่ได้ก็คงตายอยู่ในนั้นแน่ๆ เพราะดูจากสีหน้ากลุ่มคนเสื้อแดงน่ากลัวมาก และได้ทุบรถนายกฯ ในลักษณะที่โกรธแค้น ดังนั้นจึงต้องตัดสินใจชน” นายไพฑูรย์ กล่าวและว่า หลังจากที่ขับรถออกจากวงล้อมได้แล้วนายกรัฐมนตรี ได้โทรศัพท์บอกกับคนในครอบครัวว่าปลอดภัยแล้ว ส่วนนายสุเทพโทรศัพท์หานายทหารชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งทันที

 จากนั้นคณะอนุกรรมการฯ ในซีกของพรรคเพื่อไทย อาทิ นายสุรพงษ์ได้ซักถามว่า จากการที่ตนได้ดูภาพเหตุการณ์ เห็นว่ารถของนายกฯ ได้ถอยชนกลุ่มคนเสื้อแดง ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมโกรธแค้นจึงได้เข้าทุบตีรถนายกรัฐมนตรี รวมทั้งกรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. ระบุว่ามีคนติดตามได้โยนหนังสือเข้าไปในรถของนายกรัฐมนตรี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่มีคนนั่งอยู่ในรถ ซึ่งนายไพฑูรย์ ได้ชี้แจงว่า กลุ่มคนเสื้อแดงเข้ามาทุบทำร้ายรถก่อนที่รถของนายกรัฐมนตรีจะถอยหลัง และได้พยายามทุบทำร้ายมาตั้งแต่เข้ามาที่ประตูราชบพิตรแล้ว ส่วนการที่รถจะชนกลุ่มผู้ชุมนุมหรือไม่นั้น ตนไม่ทราบ และไม่รู้สึกว่าได้ชนอะไร

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายไพฑูรย์ ได้พยายามถามกลับนายสุรพงษ์ถึงกรณีที่ระบุว่ามีคนโยนหนังสือเข้ามาภายในรถนั้น ได้โยนเข้ามาทางประตูหรือกระจกรถด้านไหน ซึ่งนายสุรพงษ์กล่าวว่า ไม่ทราบ เพราะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ และสอบถามเนื่องจากนายจตุพร ได้ชี้แจงไว้ในคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ซึ่งทำให้นายไพฑูรย์ กล่าวว่า ตามปกติรถกันกระสุนนั้นหากปิดประตูรถแล้ว เมื่อรถวิ่งจะล็อคประตูทันที ไม่มีทางเปิดประตูหรือเปิดกระจกจากภายนอกได้ ยกเว้นกระจกรถด้านคนขับด้านเดียวที่เปิดได้ครึ่งบาน

 ด้าน พ.ต.ต.สมชาย แจ้งธรรมา ตำรวจติดตามนายกรัฐมนตรี ที่นั่งคู่กับคนขับรถ กล่าวว่า มั่นใจว่ากลุ่มผู้ชุมนุมมีเจตนามุ่งทำร้ายบุคคลที่อยู่ในรถมากกว่าการทำลายรถเท่านั้น และตนก็อยู่กับนายกรัฐมนตรีตลอดเวลาและเป็นคนเปิดประตูให้นายกรัฐมนตรีและนายสุเทพขึ้นรถ หากมีการเปลี่ยนรถจริงตนก็ต้องติดตามไปด้วย ดังนั้นจึงยืนยันได้ 100% ว่านายกฯ อยู่ในรถคันดังกล่าว

 จากนั้น พ.ต.ปกรณ์ กล่าวยืนยันว่า นายกรัฐมนตรีอยู่ในรถ เพราะเป็นหัวหน้าทีมและเดินตามรถตลอด ซึ่งชุดรักษาความปลอดภัยนายกรัฐมนตรี 5 คน ไม่มีการยิงปืน และเสียงปืนมาจากด้านหลังมุมตึกกระทรวงมหาดไทย โดยไม่ทราบว่าใครเป็นคนยิง ทั้งนี้ภายหลังที่นายกรัฐมนตรีออกจากกระทรวงมหาดไทย ได้แล้ว ตนพยายามจะกลับมาขึ้นรถติดตาม แต่กลับถูกคนเสื้อแดงจับตัวไว้ โดยถูกกล่าวหาว่าเป็นคนยิงปืน จนถูกคนเสื้อแดงทำร้าย และพาตัวไปที่เวทีของกลุ่ม นปช. ที่ทำเนียบรัฐบาล

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่ซักถามผู้ที่เข้ามาชี้แจงนั้น นายสรุพงษ์ โตวิจักรชัยกลุ ส.ส. เชียงใหม่ ได้ต่อว่านายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ที่ให้สัมภาษณ์ว่าจะดำเนินการฟ้องร้องข้อหาหมิ่นประมาทกับนายจตุพร พรหมพันธ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทยที่ระบุว่านายกรัฐมนตรีไม่อยู่บนรถขณะที่เสื้อแดงบุกทุบรถในกระทรวงมหาดไทยว่า เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม เพราะคณะอนุกรรมการรวบรวมเหตุการณ์ที่กระทรวงมหาดไทย ยังไม่ได้มีการสรุปออกมาว่าใครผิด ใครถูก ซึ่งนายศิริโชค ก็กล่าวโต้ตอบว่า ตนมีสิทธิโดยชอบธรรมที่จะให้สัมภาษณ์กับใครก็ได้ ซึ่งนายพร้อมพงษ์เองก็ทำหน้าที่ในคณะอนุกรรมการฯเหตุการณ์ที่ดินแดงเช่นกัน ยังออกมาสัมภาษณ์ได้ รวมทั้งตนเห็นว่าสิ่งที่นายสุรพงษ์นำมาซักถามผู้เข้าชี้แจงนั้น ล้วนเป็นจินตนาการแทบทั้งสิ้น ทำให้นายสุรพงษ์และนายศิริโชคถกเถียงกันอยู่ครู่ใหญ่ แต่ประธานในที่ประธานได้ไกล่เกลี่ยเพื่อให้เหตุการณ์สงบลง

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นได้เชิญ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ แกนนำนปช. ได้เล่าเหตุการณ์ในวันชุมนุมที่กระทรวงมหาดไทยว่า จุดประสงค์ที่กลุ่มเสื้อแดงไปคือต้องการไปทวงถามนายกรัฐมนตรีว่าจับตัวนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง และนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย แกนนำนปช.ไปไว้ที่ไหน โดยตนตามหลังกลุ่มผู้ชุมเพื่อไปควบคุมสถานการณ์แต่ก็อยู่ด้านอกกระทรวง ไม่เห็นเหตุการณ์การทุบรถนายกฯ แต่ได้ยินเสียงปืนดังหลายนัด และมีคนเสื้อแดงมาบอกว่ามีการยิงประชาชนตายไป 2 ศพ ทำให้การ์ดส่วนตัวเห็นว่าไม่ปลอดภัยจึงได้นำตนกลับไปที่ทำเนียบรัฐบาล และได้ขึ้นประกาศบนเวทีด้วยความเชื่อโดยบริสุทธิ์ว่ารัฐบาลยิงประชาชนตายไป 2 ศพ จากนั้นจึงได้นำมวลชนกลับไปที่กระทรวงมหาดไทยอีกรอบเพื่อค้นหาศพแต่ก็ไม่พบ มีเพียงคนเสื้อแดงยืนยันว่ามีรอยลากศพ และรอยเลือดอยู่บนพื้นถนน

 นายสุภรณ์ ยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการจัดฉากจากรัฐบาลหรือไม่ เพราะมีเหตุการณ์เชื่อมโยงกันตั้งแต่นายอิภสิทธิ์ประกาศว่าจะจัดการกับกลุ่มคนเสื้อแดงภายใน 3-4 วัน พร้อมกันนั้นก็มีทหารเคลื่อนพล และรถถังเข้ากทม.อย่างต่อเนื่อง ขณะที่นายกรัฐมนตรีประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ โดยไม่มีเหตุการณ์รุนแรง และเลือกมาประกาศที่กระทรวงมหาดไทยซึ่งเป็นพื้นที่รักษาความปลอดภัยได้ยาก น่าสงสัยว่าทำไมจึงไม่เลือกสถานที่ที่เป็นพื้นที่ของทหาร ที่ปลอดภัยกว่า รวมทั้งการรักษาความปลอดภัยนายกฯไม่เข้มงวดผิดปกติ มีท่าทีที่สบาย บ้างคุยโทรศัพท์ บ้างก็โยนเอกสารเข้าไปในรถ ดังนั้นจึงสรุปว่าเหตุการณ์ที่กระทรวงมหาดไทย ดินแดง นางเลิ้ง ยึดรถแก๊สเชื่อมโยงกันหมด เป็นการจัดฉากเพื่อให้ทหารเข้ามาปราบปรามกลุ่มเสื้อแดง

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสุภรณ์ ยังได้นำซีดีรวบรวมภาพเหตุการณ์การชุมนุมโดยอ้างว่ามีภาพยืนยันที่นายกฯไม่ได้อยู่ในรถ ซึ่งทำให้เกิดการถกเถียงกันพักใหญ่ระหว่างอนุกรรมการจากพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ ควรรอให้อนุกรรมการเข้าประชุมเต็มคณะและน่าจะมีการตรวจสอบภาพซีดีก่อน เพราะเกรงว่าสื่อมวลนำออกไปเผยแพร่จะเกิดความเสียหายได้ อย่างไรก็ตามนายขจิต ชัยนิคม อนุกรรมการจากพรรคเพื่อไทยยังยืนยันที่จะให้เปิด ซึ่งในที่สุดนางนฤมล ประธานอนุกรรมการฯ อนุญาตให้เปิดโดยขอให้สื่อมวลชนออกนอกห้องประชุม

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับซีดีที่นายสุภรณ์นำมาเปิดให้กับคณะอนุกรรมการฯได้ดูกันนั้นเป็นภาพที่รปภ.นายกรัฐมนตรี นำซองเอกสาร โยนเข้าไปในประตูรถด้านที่นายกรัฐมนตรีนั่ง ซึ่งนายสุภรณ์ระบุว่าหากนายกฯอยู่ในนั้นรปภ.นายกฯจะเปิดประตูโยนของใส่ไม่ได้ แต่อนุกรรมการฯบางส่วนแย้งว่าภาพดังกล่าวไม่มีกลุ่มเสื้อแดงล้อมอยู่จึงเป็นไปได้ว่าภาพนั้นถูกบันทึกไว้ก่อนที่นายกฯจะเข้าไปภายในรถ นอกจากนี้ในซีดียังมีภาพที่ถ่ายจากด้านหน้ารถนายกฯปรากฏว่าเห็นภาพว่าเบาะหลังเป็นสีขาวแสดงว่าไม่มีคนอยู่ในนั้น แต่อนุกรรมการฯก็ได้ตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะเป็นเพราะแสงที่สะท้อนกระจกรถทำให้ภาพที่ถ่ายออกมามีสีขาวได้


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์