โฆษกทบ.ยันผบ.ทบ.จะหยุดการใช้อำนาจรัฐแค่อุปมาอุปไมย

โฆษกทบ.ชี้"อนุพงษ์"พูดเมื่อวานแค่"อุปมา" ยันไม่มีปฏิวัติ ผบ.ทบ.ชี้กระแสเกลียดสถาบัน "ตร.-แพทย์" ลุกลาม จี้ "สมชาย" ลาออก รับผิดชอบปชช.ล้มตาย ยอมรับ "เสียใจ" ถ้ารู้ว่าจะรุนแรงห้ามตั้งแต่แรกแล้ว ชี้คนไทยทะเลาะกันชาติจะล่มจม ผบ.ตร.เผยคำสั่งสลายมาจากนายกฯและครม. "อนุพงษ์"ลั่นไม่เคยรับเงิน"แม้ว"

โฆษกทบ.ชี้"อนุพงษ์"พูดเมื่อวานแค่"อุปมา" ยันไม่มีปฏิวัติ

พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก กล่าวเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ภายหลังที่ผบ.สส.และผบ.เหล่าทัพแสดงความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์บ้านเมืองผ่านรายการเรื่องเด่นเย็นนี้ ทางโทรทัศน์ช่อง 3 เมื่อวันที่ 16 ต.ค.ว่า กองทัพไม่ได้จัดกำลังเพื่อเตรียมเคลื่อนไหวใดๆ และจะไม่มีรัฐประหารเกิดขึ้นแน่นอน ทั้งนี้ การที่พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ระบุว่าหากบ้านเมืองถึงขั้นกลียุค มีการนองเลือดเกิดขึ้น ก็อาจต้องหยุดการใช้อำนาจนั้น เป็นเพียงการอุปมาอุปไมย ส่วนสถานการณ์บ้านเมืองจะรุนแรงหรือไม่นั้น ตนไม่สามารถตอบได้ แต่บรรยากาศโดยทั่วไปของบ้านเมืองขณะนี้ ค่อนข้างอึมครึมและไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต และพล.อ.อนุพงษ์ไม่ได้สั่งการใดๆ ลงมา


พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า ระหว่างผบ.เหล่าทัพออกรายการโทรทัศน์อยู่นั้น นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้โทรศัพท์มาสอบถามคณะทำงานว่า บุคคลใดเป็นคนประสานให้ออกรายการ

 
----------------------------------------
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 17.10 น. วันที่ 16 ต.ค.  พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด(ผบ.สส.) พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ ผู้บัญชาการทหารเรือ(ผบ.ทร.) พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ(ผบ.ทอ.) และพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ "เรื่องเด่นเย็นนี้" ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสี ช่อง 3 ถึงเหตุการณ์สลายการชุมนุม เมื่อวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา
 
@ กองทัพประเมินสถานการณ์การเมืองในบ้านเมืองเป็นอย่างไร
 
พล.อ.ทรงกิตติ :ความคิดเห็นแตกต่างกันสามารถทำได้ แต่ต้องอยู่ลักษณะที่ประนีประนอม มีรากฐานเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ ความคิดเห็นต่างนำสู่การพัฒนาตามหลักประชาธิปไตย เรายืนยันว่าจะปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สถานการณ์ที่ความคิดเห็นแตกต่างนี้เริ่มมาตั้งแต่ปี 2548 เราจะเป็นอย่างนี้ไปอีกกี่เจอเนอเรชั่น
 
สถานการณ์เรายังประนีประนอมได้ และในที่สุดคนไทยจะกลับมาสู่การปรองดองและสมานฉันท์ เราบอกว่าคนไทย รักประเทศชาติ ยึดถือองค์พระมหากษัตริย์เหนือสิ่งอื่นใด เรามีหน้าที่ปกป้อง เราต้องทำอย่างนั้น กลับมาทำหน้าที่คนไทย ลองหันกลับมาประนีประนอมกัน คิดว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในสถานการณ์ขณะนี้ เพื่อต้องการให้ประเทศเจริญก้าวหน้า ในภาวะเศรษฐกิจและปัญหาขณะนี้เราต้องสามัคคีกัน
 
@บทบาทกองทัพต่อสถานการณ์การเมืองเป็นอย่างไร
 
พล.อ.ทรงกิตติ :รัฐธรรมนูญปัจจุบันให้กองทัพมีหน้าที่เตรียมกำลัง เพื่อปกป้องอธิปไตยและรักษาไว้ซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และช่วยพัฒนาประเทศ รวมทั้งงานที่รัฐบาลมอบหมาย 
 
@สถานการณ์ปัจจุบันกองทัพถูกเรียกร้องให้เลือกข้าง
 
พล.อ.ทรงกิตติ : ทั้งสองข้างคือประชาชนใช่หรือไม่ เราก็อยู่ข้างประชาชน แต่เราต้องทำหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด
 
@หากการเมืองไม่ยุติ ผบ.สส.จะเป็นหัวคณะปฏิวัติหรือไม่
 
พล.อ.ทรงกิตติ : ไม่มีในความคิดของผมแต่เป็นความคิดของคนที่พูด และไม่ใช่ความคิดของกองทัพไทย เรายืนยันว่ากองทัพรักษาบทบาทหน้าที่ตามกฎหมาย และพร้อมที่จะปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์  ส่วนเรื่องความแตกแยกทางการเมือง ไม่อยากให้เป็นความแตกต่างของสังคมไทย ขอให้กลับสู่สังคมไทยที่อยู่ร่วมกัน
 
พล.อ.อนุพงษ์ : การที่จะพูดเรื่องเลือกข้าง ซึ่งมีการแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย อยากเสนอสังคมว่า หากเรายังมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ก็จะเกิดวิกฤติไม่มีทางจบลงได้ จะเรียกได้ว่าประเทศชาติน่าจะล่มจ่ม หากเป็นเช่นนั้นทางออกของชาติคนไทยต้องอยู่ร่วมกัน ความคิดเห็นแตกต่างได้ แต่ทั้งสองฝ่ายต้องอยู่ร่วมกันได้ หากเอาตัวตนอัตตามาตั้งไว้ ก็ต้องเป็นอย่างนั้น หากมีฝักมีฝ่ายวิกฤตินี้ผ่านไม่ได้ ยืนยันว่าการผ่านวิกฤตินี้คนไทยต้องยอมรับความคิดเห็นแตกต่าง โดยไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่ายและหาทางอยู่ร่วมกัน 
 
@มีเสียงให้ทหารออกมายุติเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
 
 พล.อ.อนุพงษ์: หากการแก้ปัญหาด้วยการปฏิวัติ แล้วทำให้ปัญหาจบก็น่าจะพิจารณาร่วมกันทุกภาคส่วน ไม่ใช่กองทัพอย่างเดียว แต่ปัจจุบันผมติดต่อสื่อหลายส่วน ซึ่งสื่อที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่บอกว่าไม่เห็นด้วย นักวิชาการก็ไม่เห็นด้วย ทำแล้วประเทศชาติเสียหายไม่สามารถแก้ปัญหาได้
 
ดังนั้น การแก้ปัญหาคือทั้งสองฝ่ายต้องพูดคุยและหาจุดร่วมกันให้ได้ ส่วนจุดยืนกองทัพอยู่ที่ใด กองทัพคงเลือกฝ่ายไม่ได้ โดยเฉพาะขณะนี้มีการเรียกร้องต้องอยู่ฝ่ายนั้นฝ่ายนี้ ประเทศเราคงแบ่งเป็นฝ่ายไม่ได้ หากประชาชนแยกเป็น 2 ฝ่าย แล้วผู้ถืออาวุธยังแยกฝ่ายอีก ประเทศชาติจะวิบัติ คิดว่าไม่มีความเป็นไปได้
 
@ท่านบอกให้รัฐบาลต้องรับผิดชอบการสลายม็อบวันที่ 7 ตุลาคม
 
พล.อ.อนุพงษ์ : ความรับผิดชอบที่เกิดความเสียหายมีผลกระทบ สิ่งที่ตามมาคนในสังคมรับไม่ได้ จึงเกิดเป็นกระแสขึ้นลุกลามไปถึงสถาบันตำรวจ หมอ จึงทำให้ยิ่งไปกันใหญ่ หากจะไปแก้ว่าแล้วยังไงคงไม่ได้ คงต้องไปทำให้มันจบ ต้องมีคนออกมารับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นความรับผิดชอบเรื่องนโยบายการสั่งหรือการปฏิบัติต้องสอบสวนกันไป ดูตามเหตุผล กฎหมาย และหลักการที่จะทำได้ น่าจะสร้างความพึงพอใจให้กับคนในชาติได้ มิเช่นนั้นคงไม่ได้   
 
@คาดหวังว่าจะให้รัฐบาลลาออกหรือไม่
 
พล.อ.อนุพงษ์ : ผมคิด เพราะตอนนี้ไม่มีทาง หากรัฐบาลสั่งการเองคงต้องรับผิดชอบ กระแสคนในชาติคงไม่ยอม เมื่อไม่ยอมจะเกิดความปั่นป่วน และไม่จบ แต่ไม่ใช่จะไปบีบคั้นให้รัฐบาลลาออก แต่ว่า อยู่บนกองเลือดไม่ได้ ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ทำ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลใด หากอยู่บนความเสียหายของชาติ ประชาชนล้มตายก็รับไม่ได้จะอยู่อย่างไร ก็อยู่ไมได้ ไม่ใช่รัฐบาลนี้รัฐบาลเดียว แต่ต้องเป็นรัฐบาลที่สังคมรับได้ ผม พูดไม่ได้จงเกลียดจงชัง ไม่เกี่ยวกับชอบหรือไม่ชอบ พูดกันได้ด้วยเหตุผลบนพื้นฐานที่เกิดขึ้น และสิ่งที่ควรจะเป็นไป
 
@หากเป็นนายกฯจะทำอย่างไร
 
 พล.อ.อนุพงษ์(หัวเราะ):  ผมก็คงออก จะอยู่ไปทำไม บ้านเมืองเสียหาย ผมไม่อยู่แล้ว เพราะไม่รู้จะอยู่ไปทำไม ถ้าถามผม ผมไม่อยู่ ถ้าท่านทำจริง ท่านต้องไม่อยู่
 
@ท่านจะกดดันหรือไม่
 
พล.อ.อนุพงษ์ : กดดันคงไม่ใช่ ผลสอบสวนออกมา สังคมจะทำในส่วนนี้เอง ไม่ทราบว่าเรียกว่ากดดันหรือไม่ แต่เรียกร้องว่าสังคมรับไม่ได้  มีทางจะจบลงได้ ดังนั้นต้องมีคนรับผิดชอบ ผมเรียกร้องไม่ได้กดดันรัฐบาล สังคมคงเรียกร้องอย่างนั้น ไม่ด้ เพราะไม่มีทางจบลงได้
 
@หมายถึงท่านเรียกร้องให้นายกฯลาออกใช่หรือไม่
 
พล.อ.อนุพงษ์:ครับ
 
@บทบาทของกองทัพในการปกป้องสถาบันเป็นอย่างไร
 
พล.อ.อนุพงษ์: ไม่ว่าจะเป็นกองทัพหรือคนไทยทั้งชาติ ทุกคนเทิดทูนเคารพสถานบันกษัตริย์ เป็นสิ่งที่ทำให้ประเทศไทยอยู่ได้โดยพื้นฐาน ผมเป็นทหารราชองครักษ์จะปกป้องและเทิดทูนสถาบันไม่มีทางเป็นอื่นได้ คนจะถวายความจงรักภักดีต้องไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวหรือมาอ้าง โดยเฉพาะเงื่อนไขความขัดแย้งหรือทางการเมือง ต้องไม่ดึงพระองค์ท่านลงมา เพราะพระองค์ท่านต้องอยู่เหนือ พระองค์ท่านมีพสกนิกร 63 ล้านคน ไม่สามารถที่จะไปอยู่ในซีกใดจะต้องไม่แบ่งแยก การที่จะไปเอาแต่กลุ่มเดียว ผมมองว่าเหมือนแยกข้างให้ไม่เหลือ 63 ล้านคน และต้องไม่ดึงพระองค์ท่านลงมาอย่างเด็ดขาด
 
@มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทำนอง กองทัพไม่ดูแลและไม่ปกป้องสถาบัน
 
พล.อ.อนุพงษ์ : การดำเนินการของกลุ่มใดในปัจจุบัน ถ้ามีการจาบจ้วงหรือหมิ่นเหม่พระบรมเดชานุภาพกองทัพจะไม่ปล่อย ไม่ว่าจะเป็นวิธีใดขอให้รับรู้ไว้ด้วย
 
@ทุกเหล่าทัพไม่มีการคิดเรื่องการปฏิวัติยังยืนยันอยู่หรือไม่
 
พล.อ.อนุพงษ์ : ไม่มีในขณะนี้ ซึ่งทาง ผบ.เหล่าทัพ ก็ไม่เห็นด้วย และสั้งคมไม่เห็นด้วย
 
@นพ.ประเวศ วะสี ราษฏรอาวุโส บอกว่า ถ้าจำเป็นถึงขั้นนองเลือดกองทัพจะทำการปฏิวัติ
 
พล.อ.อนุพงษ์: ถ้าเกิดนองเลือดหรือกลียุคก็อาจจะมี แต่คงไม่ได้ปฏิวัติ คงจะเป็นการหยุดการใช้อำนาจ ไม่ว่าวินาทีนี้หรือวินาทีไหนไม่ควรจะเรียกอย่างนั้น น่าจะเรียกว่าการหยุดใช้อำนาจ
 
@(พีธีกรหันถามถามถึงสิ่งที่พล.อ.อนุพงษ์พูด)
 
พล.อ.ทรงกิตติ: สิ่งที่ผบ.ทบ.พูดคือสิ่งที่กองทัพพูด
 
@มีกระแสข่าว พ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้มอบเงินให้ 50 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือในงานศพนางบุญเรือน เผ่าจินดา มารดา

พล.อ.อนุพงษ์: โดยพื้นฐานผมไม่เคยทำอะไรแบบนั้น ผมไม่รับเงินหรือรับทรัพย์สมบัติจากใคร ไม่มีแน่นอน ในส่วนของงานศพผมและครอบครัวได้รับพระมหากรุณาธิคุณอยู่ในพระบรมราชานุเคราะห์ตลอด
 
ดังนั้น ค่าใช้จ่ายจึงไม่มีอะไรมาก เงินที่ได้จากการทำบุญของผู้ที่มาร่วมงานมีประมาณ 5.7 ล้านบาท คนที่ดำเนินการเรื่องนี้คือพี่สาวผม ได้มอบเงินจำนวนนี้ให้กับโรงพยาบาลพระมงกุฎฯที่ครอบครัวผมได้พึ่งพาอาศัยมาโดยตลอด ส่วนในวันเผาได้รับประมาณ 1 ล้านบาทเศษ ซึ่งได้บริจาคให้วัดที่จัดพิธีศพให้และวัดที่จัดเก็บกระดูก
 
"ผมรับรองด้วยเกียรติของผมและวงศ์ตระกูลว่า ไม่มีการรับเงินทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ขอเรียนกับสังคมว่า ผมกับตระกูลชินวัตรมีบุคคลเดียวที่รู้จักคือ ผมกับนายกฯทักษิณ ผมไม่เคยคุยกับคุณหญิงพจมาน แม้แต่ทักก็ไม่เคย ส่วนภรรยาผมก็ไม่รู้จัก ไม่ใช่ว่า ท่านถูกคดีแล้วไม่มีที่อยู่ ผมจะไปตัดรอนเพื่อน  ท่านยังเป็นเพื่อน นั่นคือความเป็นจริงที่เคยมี ยิ่งลูกสาวและลูกชายผมก็ไม่เคยรู้จักตระกูลชินวัตรแม้แต่คนเดียว ไม่มีแน่นอน เสียใจที่ สังคมเราใช้การโจมตีด้วยความไม่บริสุทธิ์ แล้วไปทำให้ใครเสียเกียรติ สังคมคงจะเป็นไปในทางที่ควรจะเป็นได้ยาก "


@ผบ.ทบ.กับบทบาทในการปกป้องสถาบันฯ เป็นอย่างไร
 
พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ไม่ว่ากองทัพหรือคนไทยทุกคน ชาติไทยเราเทิดทูนและเคารพสถาบันฯ เป็นสิ่งที่ทำให้เราอยู่ได้ ส่วนตัวผมนอกจากจะเป็นทหารในพระมหากษัตริย์แล้ว ยังเคยเป็นราชองครักษ์ ตั้งแต่ปี 2525 โดยไม่เคยออกมาจากการปฏิบัติหน้าที่ราชองครักษ์เลย เกือบ 30 ปีแล้ว  และเพื่อให้สังคมได้เข้าใจและเห็นภาพของตนบ้างว่าได้เคยถวายงานใกล้ชิดในหลายเรื่องด้วยกัน ไม่ว่าในเรื่องการถวายอารักขา การปฏิบัติงานในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

"อยากจะเรียนว่าผมด้วยชีวิตเลยว่าผมจะปกป้องและเทิดทูนสถาบันยิ่งชีวิต ไม่มีทางที่ผมจะเป็นอื่นได้ และผมยืนยันว่าตัวทหารทั้งหมดและครอบครัวก็จะรู้สึกเช่นเดียวกัน เหมือนกับประชาชนคนไทยทุกคน"

 
ผบ.ทบ.กล่าวต่อว่า กลับมาในเรื่องของการปกป้องและการเทิดทูนสถาบัน แนวทางในการดำเนินการขณะนี้มีการอ้างอิงสถาบัน อยากจะเรียนให้พ่อแม่พี่น้องทุกคนได้ทราบว่า แนวทางที่คนที่จะถวายความจงรักภักดี จะต้องไม่ดึงพระองค์ท่านเข้ามายุ่งเกี่ยว มาอ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงื่อนไขความขัดแย้ง เงื่อนไขของทางการเมือง เป็นสิ่งที่ทุกคนจะต้องกระทำ พระองค์ท่านจะต้องทรงอยู่เหนือ
 
"พระองค์ท่านทรงมีพสกนิกร 63 ล้านคน ไม่สามารถจะไปอยู่ในซีก 30 ใด 20 ใด หรือ 10 ใดได้ พระองค์ท่านทรงมีพสกนิกรที่ทรงห่วงใยดูแลมา จะต้องไม่แบ่งแยกท่าน การที่จะเอามาอยู่กับกลุ่มเดียว มองในอีกมุมเหมือนกับไปแยกท่านไม่ให้เหลือ 63 ล้านคน และจะต้องไม่ดึงพระองค์ท่านลงมาเด็ดขาด" ผบ.ทบ.กล่าว และว่า ในส่วนหนึ่งที่อยากจะเรียนว่ามีเสียงว่ากองทัพไม่ดูแลไม่ปกป้อง เรียนเลยว่าการดำเนินการใดของกลุ่มใด ในปัจจุบันนี้ถ้ามีการจาบจ้วงหรือหมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกองทัพจะไม่ปล่อย ไม่ว่าด้วยวิธีใด
 
 
@หากมีการเผชิญหน้ากันของกลุ่มผู้ชุมนุม 2 กลุ่มอยากจะขอให้หลักประกันว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์รุนแรงอีก
 
ผบ.ตร. กล่าวว่า ทางศาลปกครองได้มีคำสั่งมาแล้วว่าการปฏิบัติต่อผู้ชุมนุม จะต้องมีขั้นตอนอย่างไร อะไร ตรงนี้ตนดีใจมาก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เห็นคุณประโยชน์ของศาลปกครองมาก มันจะมีขั้นตอนการปฏิบัติที่ชัดเจน และก่อนจะใช้ก็ต้องประกาศก่อน ในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเองก็เห็นว่าเป็นเรื่องที่ดี ประกอบกับว่าโอกาสที่จะเกิดในอนาคตก็ยังมีอยู่ ยังเห็นว่า 2 ฝ่ายก็อาจจะมีการปะทะกันอยู่ได้ ตรงนี้เป็นประเด็นสำคัญ จึงได้ตั้งคณะกรรมการหารือเรื่องการรักษาความปลอดภัยในการชุมนุม ก็อยากจะให้สื่อเข้าไปร่วมด้วย ตรงนี้ตนเห็นว่ามีความจำเป็น จะได้มีมุมมองหลายมุม

"เราจะมองอย่างเดียวว่าการรักษาความสงบจะต้องปฏิบัติตามแผน กรกฏ48 หรือแผนอื่นๆ อย่างเดียวไม่ได้ มันจะแข็งเกินไป ถ้าสื่อหรือคณะกรรมการชุดนี้เข้ามาให้ความเห็นเราได้ ก็จะมีความหลากหลายมากขึ้น คือให้มีคนนอกเข้ามาให้ความเห็นไม่ใช่ปล่อยตำรวจเข้ามาทำแต่เพียงฝ่ายเดียว"

@ เมื่อวันศุกร์ (10 ต.ค.) ผบ.ทบ.ยืนยันว่า จะไม่มีการปฏิวัติ แล้วจนถึงตอนนี้เปลี่ยนไปหรือไม่
 
พล.อ.อนุพงษ์ กล่าสวว่า จนถึงตอนนี้ก็ไม่มี ยิ่งคุยกันไป เหล่าทัพก็ยิ่งไม่เห็นด้วย และสังคม ไม่ว่าจะเป็นสื่อ นักวิชาการ และแม้จะเกิดเหตุการณ์นองเลือด หรือกลียุค ก็จะมีแต่คงไม่ใช่การปฏิวัติ แต่ก็อาจจะเป็นการหยุดการใช้อำนาจ แต่ไม่น่าจะเรียกว่าปฏิวัติ

@ผบ.สส.ว่าถูกบางฝ่ายมองว่าจะเป็นหัวหน้าปฏิวัติ
 
พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า ไม่เคยมีในความคิด การเป็นหัวหน้าปฏิวัติคงเป็นความคิดของคนพูดเท่านั้น ไม่ใช่ความคิดของกองทัพไทย  เรายืนยันว่ากองทัพรักษาบทบาทอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย อยู่กับประชาชน ทำงานให้กับประชาชนไม่มีฝักฝ่าย พันธกิจที่สำคัญคือรักษาอธิปไตยเหนือดินแดน และอยากให้ประชาชนมั่นใจว่ากองทัพมีความพร้อม และติดตามดำเนินการทุกวิธีทาง
 
"การปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์เราดำเนินการอยู่แล้ว แต่มิจำเป็นที่จะต้องประกาศว่าทำอะไรบ้าง เมื่อไหร่บ้าง และในส่วนของความแตกแยกทางการเมือง หรือความแตกต่างทางความคิด อย่าให้เป็นการแตกต่างของสังคมไทยเลย ขอให้กลับสู่ความเป็นสังคมไทยของเรา ให้เรามีความสุขอยู่ร่วมกัน แบ่งกันเอื้ออำนวยต่อกัน ช่วยกันทำให้ประเทศไทยวัฒนาถาวร"

@ถึงรัฐบาลแห่งชาติไม่ใช่บทบาทของกองทัพ
 
ผบ.สส. กล่าวว่า คือการมีอำนาจมีทั้งฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ ตุลาการ สภาก็มี และก็มีกลุ่มชน ไม่ใช่บทบาทของกองทัพ

ผบ.สส.ถามกลับผู้ดำเนินรายการบ้างว่า "อยากจะให้มีปฏิวัติหรือเห็นถามบ่อยมาก" นายสรยุทธ์ กล่าวว่า ไม่อยากครับ 

เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์