แฉนายกฯกลัวถูกยึดทรัพย์ วิ่งขอผู้ใหญ่ช่วยเคลียร์

แฉนายกฯกลัวถูกยึดทรัพย์ วิ่งขอ"ผู้ใหญ่"ช่วยเคลียร์

"อัมมาร" ชี้ "ทักษิณ"ไม่ออกง่ายๆ คงถูไถไปอีกระยะสั้นๆ เพราะแรงหนุนจากคนระดับล่างที่ยังชื่นชอบนโยบายประชานิยม ด้าน "ผาสุก" เผย ล้มนายกฯยากหากกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ไม่ร่วม เชื่อ สู้หัวชนฝาเพื่อปกป้องครอบครัว "เอนก" ชี้ "ทักษิณ"ไม่ออกเพราะกลัวถูกยึดทรัพย์ "แฉ" ดอดพบผู้ใหญ่ให้ช่วยแต่ถูกปฏิเสธ

วันที่ 6 มีนาคม ที่ห้องประชุมชั้น 5 อาคารเนชั่น ได้มีการจัดเสวนาในหัวข้อ "ฝ่าทางตัน วิกฤติการเมือง " มีผู้เข้าร่วมเสวนา ได้แก่ ดร.อัมมาร สยามวาลา นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย,นายโคทม อารียา ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล , นายชัยวัฒน์ สถาอานันท์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ,ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร ศาสตราจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, นายทองใบ ทองเปาด์ สมาชิกวุฒิสภาจังหวัดมหาสารคาม , ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ และอดีตหัวหน้าพรรคมหาชน

ดร.ผาสุก กล่าวว่า การที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี สามารถนำคนนับแสนมาฟังการปราศรัยเมื่อวันที่ 3 มีนาคม ที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเกิดจากผู้คนชื่นชมนโยบายประชานิยม หรือระบบทักษิณ และอีกส่วนหนึ่งเกิดจากอำนาจรัฐ ที่มีส่วนช่วยทำให้คนมาฟังการปราศรัยจำนวนมาก แต่ในท้ายที่สุดนโยบายประชาชานิยมของพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่ของจริง เพราะไม่ใช่นโยบายเพื่อคนจนที่แท้จริง แต่เป็นนโยบายปกป้องสถานะเพื่อพวกมหาเศรษฐี ซึ่งระบบป้องพวกมหาเศรษฐีสร้างความสุ่มเสี่ยงต่อระบบการเมืองประชาธิปไตย และเศรษฐกิจ แต่ผู้น้อยในสังคมไทยจะมองว่าระบบประชาธิปไตยจะให้อะไรกับเขาได้บ้าง ซึ่งที่ผ่านมากลุ่มคนเหล่านี้ไม่เคยได้รับสิ่งเหล่านี้จากการเมืองไทยในอดีตมาก่อน

ดร.ผาสุก กล่าวต่อว่า แต่ต่อไปผู้น้อยเหล่านี้จะประจักษ์ว่านโยบายประชาชานิยมปกป้องเศรษฐีเป็นอันดับแรก ไม่ใช่กลุ่มผู้น้อยในสังคม ซึ่งระบบทักษิณจะไม่ยั่งยืน และในที่สุดกลุ่มผู้น้อยก็จะตั้งพรรคขึ้นมาเอง โดยไม่พึ่งพาผู้นำแบบอัศวินม้าขาว แบบทักษิณอีกต่อไป ไม่ต้องการผู้นำที่ปล้นเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองไทย

ดร.ผาสุก กล่าวว่า สำหรับความยากในการล้มระบบทักษิณ มีปัจจัยสำคัญประกอบด้วย ภาคเศรษฐกิจนอกระบบ ได้แก่พวก เกษตรกรรายย่อย คนหาเช้ากินค่ำ แรงงานอพยพ สลัม คนทำงานโรงงาน ซึ่งคนเหล่านี้ไม่เงินประจำ โดยมีอัตราส่วน 70-75% และอัตราส่วนดังกล่าวใกล้เคียงกับอัตราส่วนของผู้ที่ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งสนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณ

"ก่อนหน้าที่พ.ต.ท.ทักษิณ จะเข้ามาเป็นนายกฯ กลุ่มคนเหล่านี้ไม่เคยได้ประโยชน์อะไรจากรัฐบาลที่ผ่านมา ให้เพียงคำสัญญา แต่พ.ต.ท.ทักษิณ ดูเหมือนจะสามารถเข้าใจ และจัดการกับคนเหล่านี้ได้ จะเห็นได้จากกลุ่มสมัชชาคนจนไม่ได้ร่วมเคลื่อนไหวกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แต่ขอเจรจาแยกส่วนออกมาต่างหาก ขณะที่กลุ่มชนชั้นกลางคิดว่าจะผลัก พ.ต.ท.ทักษิณออกไปได้เหมือนอดีตที่เคยผลักผู้นำเผด็จการทหาร แต่ผู้นำเผด็จการทหารเหล่านั้นไม่ได้รับแรงสนับสนุนจากมวลชนเหมือนที่พ.ต.ท.ทักษิณมี " ดร.ผาสุก กล่าว

ดร.ผาสุก กล่าวต่อว่า สำหรับวิกฤติความชอบธรรมที่กำลังเกิดขึ้นของรัฐบาลทักษิณ โดยเน้นไปที่เรื่องจริยธรรม จะเห็นว่าการที่คนจำนวนมาก ในปี 2544 เคยยอมรับและคาดหวังว่าพ.ต.ท.ทักษิณ จะมาช่วยปกป้องจากทุนนิยมสุดขั้วที่ทำลายสังคมไทย แต่บัดนี้กลุ่มคนเหล่านี้ออกมาปฎิเสธพ.ต.ท.ทักษิณ เพราะไม่ยอมรับค่านิยมธุรกิจขนาดใหญ่ เพราะกลายเป็นทุนนิยมผูกขาด ที่ให้ต่างชาติเข้าครอบงำเศรษฐกิจไทย

"การขายหุ้นชินคอร์ปฯ ทำให้เห็นชัดเจนว่าคุณทักษิณเป็นายทุนใหญ่ที่สนับสนุนระบบโลกาภิวัฒน์ ยังไม่รวมถึงกรณีการขาดจริยธรรม พร้อมทำผิดกฎหมายโดยคุณทักษิณคิดว่าอำนาจของตัวเองทำให้ตนหลุดจากการค้นพบว่าตนทำผิดกฎหมาย" ดร.ผาสุก กล่าว

ดร.ผาสุก กล่าวว่า การที่กลุ่มคนที่เคยลงคะแนนให้พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ยอมรับธุรกิจขนาดใหญ่ ซึ่งเอื้อให้ต่างชาติเข้ามาครอบงำหรือโครงการเมกกะโปรเจกของรัฐบาลที่ทำประเทศในเอเชียสนใจที่จะมาลงทุนในประเทศไทยก็จะรู้สึกเสียดายหากไม่มีพ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกฯ เพราะจะทำให้ประเทศเหล่านั้นพลาดโอกาสในการลงทุนเมกกะโปรเจกในไทย ตรงนี้จึงเป็นแรงหนุนให้พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ต่อ

ดร.ผาสุก กล่าวต่อว่า การเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นครั้งนี้ไม่ใช่การเลือกตั้งธรรมดา จะเป็นการลงประชามติเกี่ยวกับพ.ต.ท.ทักษิณ เพราะพ.ต.ท.ทักษิณ ได้ประกาศต่อประชาชนที่ท้องสนามหลวงว่าถ้าพรรคไทยรักไทยได้คะแนนไม่ถึง 50% จะไม่เป็นนายกฯ และบอกว่าจะปฎิรูปรัฐธรรมนูญภายใน 9-15 เดือน และขอให้คนไปเลือกตั้งและที่พ.ต.ท.ทักษิณไม่ยอมลาออกอย่างแน่นอน เพราะมันเกี่ยวข้องกับพ.ต.ท.ทักษิณ และคนในครอบครัว รวมทั้งข้าราชการที่หาช่องไม่ให้พ.ต.ท.ทักษิณ ผิดกฎหมาย ต้องพากันล้มระเนระนาดไปด้วย ทำให้พ.ต.ท.ทักษิณสู้หัวชนฝา และต้องการควบคุมการปฎิรูปการเมือง เพราะพ.ต.ท.ทักษิณ เชื่อว่าเงินซื้อทุกอย่างได้ อย่างที่เคยซื้อ ส.ส.,ส.ว.และผู้พิพากษาบางคนมาแล้วด้วย ดังนั้น จะมีอะไรมารับประกันว่าการปฎิรูปการเมืองจะไม่ถูกพ.ต.ท.ทักษิณซื้อไปด้วย

"ประเด็นจริยธรรมที่กำลังหยิบยกมาพูดกันในขณะนี้แรงไม่พอ เท่ากับการพิสูจน์การทำผิดกฎหมายซึ่งพิสูจน์ไม่ได้ตราบใดที่พ.ต.ท.ทักษิณ ยังอยู่ในอำนาจ เนื่องจากพ.ต.ท.ทักษิณ ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ว่าทำผิดกฎหมายและมีมวลชนหนุนอยู่มาก ทำให้สามารถใช้วิธีประชาธิปไตยแก้ปัญหาต่อไปได้ แม้ว่ากลุ่มเศรษฐีจะไม่ได้ซาบซึ้งกับกระบวนการประชาธิปไตยเลย แต่สามารถนำกระบวนการประชาธิปไตยมาใช้ประโยชน์ เพื่อเข้าสู่อำนาจ" ดร.ผาสุก กล่าว

ดร.ผาสุก กล่าวว่า ที่กล่าวมาทั้งหมดไม่อยากให้เข้าใจว่าสนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ให้ออกจากตำแหน่ง แต่วิธีการทำให้ออกเป็นอย่างไรเป็นอีกเรื่อง แต่ในขณะนี้พ.ต.ท.ทักษิณ ยังสามารถถูไถต่อไปได้ในกรอบเวลาหนึ่ง แต่การจะให้พ.ต.ท.ทักษิณ ออกต้องมีกลุ่มนักธุรกิจขนาดใหญ่ที่เป็นตัวจริงร่วมมาขับไล่พ.ต.ท.ทักษิณด้วย เมื่อถึงเวลานั้นแม้จะถูไถไปได้ก็อาจอยู่ไม่รอด แม้จะไม่เกิดอุบัติเหตุใดๆ ก็ตาม

ดร.อัมมาร กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ คงถูไถต่อไปได้ตามกรอบของรัฐธรรมนูญ ในระยะเวลา 6 เดือนถึง 1 ปี พ.ต.ท.ทักษิณยังสามารถฝ่าไปได้ เพราะคนจนได้รับการดูแล โดยการออกนโยบายเน้นให้ประโยชน์กับคนทั่วประเทศ เช่น การพักชำระหนี้ 30 บาทรักษาทุกโรค ทำให้พรรคไทยรักไทยได้รับความนิยม ซึ่งทำให้กลุ่มคนระดับปัญญาชนที่ไม่ต้องการพ.ต.ท.ทักษิณ รู้สึกกระอักกระอ่วนในการสู้กับมหาชน เพราะประเด็นจริยธรรมมันขายไม่ออก แต่ปัจจุบันพ.ต.ท.ทักษิณ กำลังทำการเมืองเหมือนสมัยก่อน สัญญามั่วไปหมด เพราะตอนนี้รัฐบาลไม่มีเงิน เห็นได้จากหลายโครงการเริ่มถอย แต่กว่าจะรู้ก็กินเวลานาน เวลานี้เศรษฐกิจเริ่มหนืด

นอกจากนี้ ดร.อัมมาร กล่าวว่า ภาคธุรกิจถ้าจะโดดลงมาร่วมวงกับกลุ่มพันธมิตรฯ ก็ต้องแน่ใจว่าพ.ต.ท.ทักษิณมีแนวโน้มจะออกแน่นอน แต่ที่ผ่านมาภาคธุรกิจไม่ออกมาต้านพ.ต.ท.ทักษิณเลย เพราะถ้าพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ล้มกลุ่มธุรกิจก็จะถูกเล่นงานกลับ ดังนั้น ต้องมีพลังมากพอจึงจะทำให้พ.ต.ท.ทักษิณ ลาออก

"ลองคิดทางเลือกสำหรับพ.ต.ท.ทักษิณ คิดว่ายุบสภาเป็นไม้ตายแรก จากนั้นต้องคิดว่าหลังเลือกตั้งคุณทักษิณจะทำอะไรอะไรบ้าง หากมีกลุ่มพันธมิตรฯ ยังออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านเขาอยู่ ซึ่งดูจากนิสัยคุณทักษิณคงไม่หงอ เพราะซีอีโอก็คือซีอีโอ เพื่อให้งานเดินต่อไปได้ และมั่นใจว่าคุณทักษิณไม่ออกอย่างเชื่องๆ ดันต่อไปเพราะเครื่องมือรัฐบาลมีมาก นอกจากนี้ ยังเชื่อว่าหากจะมีทหารออกมาล้มคุณทักษิณก็คงไม่มีใครออกมาต่อต้านการกระทำของทหาร" ดร.อัมมาร กล่าว

ดร.เอนก กล่าวว่า ไม่คิดว่าทฤษฏี 2 นคราประชาธิปไตยจะมาถึงเร็ว ตอนนี้คนเมืองชุมนุมให้พ.ต.ท.ทักษิณลาออกทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ที่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้รับการยอมรับจากคนชนบทนั้น แต่ตนเห็นว่าคนชนบทไม่ได้มีบทบาทกับการเมืองแบบนี้ในช่วงนี้ เพราะคนชนบทจะมีบทบาทเฉพาะช่วงเลือกตั้งเท่านั้น จึงมองว่าอนาคตรัฐบาลถึงทางตัน เพราะในสภามีเพียงพรรคเดียวทำให้รัฐบาลถูกต่อต้านตั้งแต่แรก ขณะนี้ยังพอวิ่งได้บ้างแต่ทางตัน ดังนั้นเดี๋ยวก็ตันอยู่ดี เพราะถนนที่พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังวิ่งมันตัน สิ่งที่พ.ต.ท.ทักษิณกลัว คือ การไม่ได้รักษาการนายกฯ กลัวคนภายนอกซึ่งไม่ใช่คนในคณะรัฐมนตรีขึ้นมารักษาการแทน กลัวถูกยึดทรัพย์

"คุณทักษิณ จึงไปหา"ผู้ใหญ่"เพื่อหาหลักประกันว่า ถ้ายอมลาออกจะไม่ถูกยึดทรัพย์ แต่ผู้ใหญ่คนดังกล่าวบอกว่าไม่สามารถให้หลักประกันอะไรได้คุณทักษิณ จึงหมดทางเลือก และเชื่อกลุ่มจงรักภักดีที่อยู่กับตน แต่เงินไม่สามารถซื้อได้ทุกอย่าง บางครั้งเงินก็มาผิดเวลา ในอดีตผมไม่เคยเห็นราชสกุลนับ 10 คน ลงชื่อในฎีกาเพื่อขอนายกฯพระราชทาน อย่างที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้มาก่อน ดังนั้นถ้าจะสู้กับคุณทักษิณต้องสู้ด้วยความดีงาม ความถูกต้อง จะเห็นว่าขณะนี้การต่อสู้สันติวิธีมากขึ้น มวลชนแปลกไปจากการเคลื่อนไหวในอดีต มีการระมัดระวังมากขึ้น ตำรวจยกระดับหลบกลุ่มมวลชน ทหารอยู่ในกรมกองมากขึ้น ดังนั้น จึงเชื่อว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์อย่าง"พฤษภาทมิฬ "ซึ่งในทางยุทธศาสตร์ รัฐบาลระบอบทักษิณหมดไปนานแล้ว แต่ตัวทักษิณยังอยู่ หลังสังคมตื่นต้องทำอะไรให้มากขึ้น และเชื่อมั่นว่าคุณทักษิณอยู่ได้ไม่นาน" ดร.เอนก กล่าว

ดร.เอนก กล่าวว่า ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณต้องการให้ประชาชนยอมรับ เมื่อผ่านการเลือกตั้งครั้งนี้ไปแล้วจะต้องรีบแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วยุบสภา เพื่อให้ฝ่ายค้านเข้ามาร่วมลงเลือกตั้ง ถ้าไม่ทำเช่นนี้กลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งชุมนุมโดยสงบก็จะมีปฎิกิริยารุนแรงขึ้น เช่นปิดล้อมทำเนียบฯ

ต่อข้อถามที่ว่าหากจะล้มพ.ต.ท.ทักษิณ จะเกิดคนระดับรากหญ้าออกมาปกป้องพ.ต.ท.ทักษิณและต่อต้านกลุ่มคนที่ออกมาขับไล่พ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่ ดร.เอนก กล่าวว่า ตนไม่เชื่อว่าคนระดับรากหญ้าจะออกมาต่อต้าน เพราะคนกลุ่มนี้ไม่ติดยึดที่ตัวบุคคล เพียงแค่ต้องการเพียงแค่การดำรงชีวิตที่ดีขึ้นเท่านั้น

ด้าน นายโคทม กล่าวว่า ที่พ.ต.ท.ทักษิณบอกว่า ถอยจนเข้ามุมแล้ว เหมือนกำหนดให้คนอื่นเดินตามหรือเบี่ยงเบนประเด็น อย่างเช่น รัฐธรรมนูญ มาตรา 214 เป็นเรื่องเกี่ยวกับการลงประชามติเกี่ยวกับนโยบายต่างๆ แต่ที่พ.ต.ท.ทักษิณกำลังนำมาใช้ในการเลือกตั้งวันที่ 2เมษายน คือ การลงประชามติเกี่ยวกับตัวบุคคล ซึ่งทำไม่ได้

"สมมุติถ้าการเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายน มีคนไปเลือกตั้ง 70% หรือ 30 ล้านคน ซึ่งจากสถิติที่ผ่านมา 2 ครั้งก็มีคนมาใช้สิทธิประมาณนี้ ซึ่งครั้งนี้คุณทักษิณบอกว่า หากพรรคไทยรักไทยได้คะแนนไม่ถึงครึ่งของผู้ออกมาใช้สิทธิลงคะแนน ก็จะไม่เป็นนายกฯ ก็คือประมาณ 15 ล้านเสียง ซึ่งครั้งที่แล้วพรรคไทยรักไทยได้ 19 ล้านเสียง การเกณฑ์คนมาลงคะแนนแบบไม่ลงคะแนนให้ใครทำได้ยากกว่า การเกณฑ์คนมาลงคะแนนให้กับคนหนึ่งคนใดเสียอีก" นายโคทม กล่าว

นายโคทม กล่าวว่า การต่อสู้จะยืดเยื้อยกเว้นเจออุบัติเหตุอื่น รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ จะสามารถบริหารต่อไปได้แต่ลำบาก ต่างฝ่ายต่างเดินซึ่งที่จริง น่าจะหันหน้าเข้าหากัน ไม่ใช่เดินหน้าฝ่ายเดียว ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ ขาดการฟัง ขาดความสม่ำเสมอเป็นคนมีหลายบุคลลิก เราควรนำ "ทฤษฏีเกมส์"มาใช้บ้าง โดยการมองว่าพ.ต.ท.ทักษิณ จะคิดและกำลังทำอะไรต่อไป ที่ผ่านมาพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นทรราชย์มาตลอด เช่นการนำระบบ ซีอีโอมาใช้ และการที่พ.ต.ท.ทักษิณไม่ฟังใคร ยกเว้นคนใกล้ชิด

ส่วน นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า ส่วนตัวเห็นว่าถึงอย่างไรพ.ต.ท.ทักษิณ ก็ต้องออก เหตุผลที่ต้องออก คือ สิ่งที่กำลังเกิดขึ้น หรือที่กลุ่มพันธมิตรฯ ใช้คำว่า "อารยะขัดขืน" หรือที่หลายคนเรียกว่าดื้อแพ่ง ปัจจุบันสังคมไทยใกล้ศีลธรรม ดังนั้นสิ่งที่พ.ต.ท.ทักษิณทำภายใต้เงื่อนไขประชาธิปไตย แม้ว่ามีคนในสังคมไม่ชอบพ.ต.ท.ทักษิณ แต่พ.ต.ท.ทักษิณก็ยังสามารถอยู่ได้ นอกจากนี้สังคมได้มีเกณฑ์หลายอย่างปะทะกัน พรรคไทยรักไทยพยายามผลักดันให้มีการเลือกตั้ง เพราะรู้ว่าตัวเองได้เปรียบ แต่ต้องเกิดปัญหาขึ้น เมื่อพรรคร่วมฝ่ายค้านไม่ส่งคนลงมาเลือกตั้ง เกิดปัญหาความชอบธรรมขึ้น ซึ่งการที่กลุ่มพันธมิตรฯ บอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณต้องออกไป เพราะทำไม่ถูกต้องด้านจริยธรรมไม่สามารถล้มพ.ต.ท.ทักษิณ ได้ แต่สิ่งที่ทำให้ล้มพ.ต.ท.ทักษิณได้คือความเบื่อ เพราะอำนาจที่ทรงพลังก็มีรอยแตกได้ เมื่อแตกแล้วก็จะลามออกไป

"หลังจากการเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายน พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องพิสูจน์ตัวเองว่า กลุ่มที่ออกมาคัดค้าน พ.ต.ท.ทักษิณและกล่าวหาว่าพ.ต.ท.ทักษิณเป็นทรราชย์เป็นฝ่าย ผิด ซึ่งรู้สึกเป็นห่วงเรื่องคุณทักษิณไม่ฟังใคร และโรคหูตึงกับโรคขาดเพื่อนมักอยู่ด้วยกันเสมอ แม้จะนำไปสู่การเลือกตั้งก็จะอยู่ในเวลาอันสั้น " นายชัยวัฒน์ กล่าว

ด้าน นายทองใบ กล่าวว่า ตอนนี้ต้องพึ่งพระสยามเทวาธิราช เพราะการเคลื่อนไหวตามกฎหมายไม่มีทางทำอะไรพ.ต.ท.ทักษิณได้ ฝ่ายค้านก็ทำหน้าที่ตรวจสอบไม่ได้ องค์กรอิสระ ส.ว.ก็ถูกแทรกแซงกลายเป็นง่อยไปหมด ตอนนี้รู้สึกดีใจที่มีกลุ่มพันธมิตรฯออกมาเคลื่อนไหว สำหรับตนรู้สึกท้อถอย เพราะเวลาตนนั่งรถแท๊กซี่หรือไปต่างจังหวัดและได้คุยกับคนขับรถแท๊กซี่หรือคนต่างจังหวัดก็จะแสดงความชื่นชมพ.ต.ท.ทักษิณ เพราะเรื่องจริยธรรมอธิบายยาก

"ผมไม่เห็นด้วยกับการใช้มาตรา 7 ขอนายกฯพระราชทาน แต่ผมเห็นว่าคุณทักษิณควรออกไปและควรถูกยึดทรัพย์ด้วย" ส.ว.มหาสารคาม กล่าว

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์