แจกสมุดปกขาวแฉพฤติกรรมทักษิณ

แจกสมุดปกขาวแฉพฤติกรรมทักษิณ

โดย ทีมข่าวอาชญากรรม ผู้จัดการออนไลน์ 28 กุมภาพันธ์ 2549 16:56 น.

สภาทนายความ จับมือ สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ พิมพ์สมุดปกขาวแจกจ่าย แฉพฤติกรรมนายกฯ กลืนน้ำลายตัวเอง ซุกบริษัทในเกาะอังกฤษ เลี่ยงภาษี ซื้อ-ขายหุ้น ชินคอร์ป แบบไร้จริยธรรม แก้กฎหมายขายสัมปทานชาติ


วันนี้ (28 ก.พ.) ที่สภาทนายความ นายสมัคร เชาวภานนท์ อุปนายกฝ่ายบริหารและโฆษกสภาทนายความ กล่าวว่า สภาทนายความได้ร่วมกับสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ จัดทำสมุดปกขาวรายงานการศึกษาและวิเคราะห์เรื่อง การทำธุรกรรมซื้อขายหุ้นและหลักทรัพย์ กรณีของบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่มีการแปลความให้ขัดกับหลักการจัดเก็บภาษีที่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมาย ความมั่นคงของชาติ เพื่อเป็นกรณีศึกษาทางวิชาการเกี่ยวกับการทำธุรกรรมการซื้อขายหุ้นและหลักทรัพย์ข้ามประเทศ โดยเฉพาะหุ้นนั้นเป็นหุ้นในบริษัทที่ได้รับกิจการสัมปทานจากหน่วยงานของรัฐในประเทศไทย โดยมีการตีพิมพ์และจกจ่ายให้กับประชาชนเป็นครั้งที่ 2

ทั้งนี้ เพื่อเผยแพร่ให้กับทนายความและประชาชนที่สนใจในการเป็นไปในการลงทุนของนักลงทุนไทยและจากต่างประเทศ รวมทั้งได้รับรู้ว่าผลประโยชน์ที่ควรจะตกกับแผ่นดินและปวงชนชาวไทยที่ถูกที่ควรจะต้องเป็นอย่างไร

โดยสรุปสาระสำคัญของสมุดปกขาว ประกอบด้วย
1. นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ต้องรู้ดีว่าสถานที่ซึ่งประกอบไปด้วยสถานีวิทยุ หรือโทรเลข หรือสถานีส่งหรือรับอาณัติสัญญาณ กล่าวคือสถานีและผังของสถานีภาคพื้นดินของระบบวงจรดาวเทียมและคลื่นของดาวเทียมนั้นเป็นความลับของชาติ ซึ่งไม่อาจเปิดเผยให้กับตัวแทนของรัฐบาลต่างประเทศ ดังนั้น การที่ครอบครัวของนายกรัฐมนตรีได้ยินยอมให้มีการทำการขายหุ้นและให้ตัวแทนของรัฐบาลต่างประเทศเข้ามาทำการตรวจสอบรายละเอียดถึงทรัพย์สินหนี้สินของบริษัทในเครือทั้งหมดซึ่งต้องได้รู้ถึงสภาพสถานะของทรัพย์สินเช่นว่านั้น ซึ่งเท่ากับว่ามีการกระทำผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 124 ในการเปิดเผยความลับให้กับหน่วยงานของรัฐบาลต่างประเทศ มีผลทำให้เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบต้องดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงนี้ให้กระจ่าง และดำเนินคดีกับตัวการและผู้สนับสนุนทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขายหุ้นของบริษัท ชินคอร์ป ในครั้งนี้โดยด่วน

2.จากรายละเอียดที่ทำธุรกรรมเกี่ยวกับการขายหุ้นและเปลี่ยนเป็นหลักทรัพย์ กรณีตามข้อเท็จจริงไม่ว่าจะพิเคราะห์ในตอนซื้อหุ้นของนายพานทองแท้ ชินวัตร และนางสาวพิณทองทา ชินวัตร หรือตอนขายหุ้น ทั้งสองกรณีมีความรับผิดในทางภาษีอากรทั้งสิ้น เพราะถือว่าบริษัท Ample Rich มีภูมิลำเนาเพื่อการเสียภาษีในประเทศไทย เนื่องจากนายพานทองแท้ และนางสาวพิณทองทา เป็นกรรมการตัวแทนของบริษัทในประเทศไทย การที่ผู้แทนหน่วยราชการมีหน้าที่จัดเก็บภาษีมาชี้แจงแทนผู้เสียภาษีย่อมถือได้ว่าเป็นกรณีที่ไม่ถูกต้องเพราะควรที่จะตรวจสอบให้มีความแน่ชัดและประเมินภาษีอากรกับผู้ที่ต้องเสียภาษีอากรตามเหตุผลที่ได้ชี้แจงไว้ในสมุดปกขาว

3.การร่วมลงทุนของกลุ่มบริษัทในเครือญาติของนายกฯ ในสายการบินแอร์เอเชียนั้นเป็นการร่วมลงทุนกับนิติบุคคลสัญญาติ ลาบวน ซึ่งเป็นเขตพิเศษที่รัฐบาลมาเลเซียตั้งขึ้นบนเกาะ ลาบวน ที่ตั้งอยู่ระหว่างเกาะบอร์เนียว และเกาะโกตากินาบารู ให้เป็นเขตปลอดภาษีอากร ในทำนองเดียวกันกับที่นายกฯ ได้ไปจดทะเบียนก่อตั้ง บริษัท Ample Rich ที่ British Virgins Islands ซึ่งเป็นเขตปลอดภาษีของรัฐบาลอังกฤษ ทั้งที่นายกฯ เคยกล่าวว่าใครไปจัดตั้งบริษัทบนเกาะแห่งนี้ ถือว่าเป็นคนไม่รักชาติ ดังนั้น ความสง่างามของนายกฯ จึงเป็นพฤติกรรมที่น่าสงสัยอย่างยิ่ง

4.กรณีที่ได้มีการแปรสภาพรัฐวิสาหกิจเป็นบริษัทจำกัด (มหาชน) การออกพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2547 (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2546 และกรณีแก้ไขพระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2549 ทั้ง 3 กรณีเป็นการลดคุณค่าทางทรัพย์สินของรัฐวิสาหกิจลงอย่างเห็นได้ชัด โดยลดสถานะของความเป็นรัฐวิวสากิจที่มีศักดิ์ศรีในด้านของการให้สัมปทานเหนือกว่าบริษัทธรรมดา และต่อมาให้รัฐวิสาหกิจเสียภาษีในทำนองเดียวกับบริษัทผู้รับสัมปทานรวมทั้งการขยายฐานการถือหุ้นของคนต่างด้าว จาก 25% เป็น 49% เป็นการเพิ่มมูลค่าหุ้นให้กับบริษัททั้งสิ้น

ดังนั้น นายกฯ ในฐานะเป็นหัวหน้าครอบครัวและหัวหน้ารัฐบาลย่อมไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามีการกำหนดวางแผนซึ่งเป็นการใช้ประโยชน์โดยทางอ้อมจากการดำรงตำแหน่งสร้างความถดถอยให้กับรัฐวิสาหกิจตามขั้นตอนคือ 1) การแปรสภาพรัฐวิสากิจให้เป็นเอกชน 2) การออกพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2546 และ 3) การออกพระราชบัญญติการประกอบกิจการโทรคมนาคม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2549 ได้ทำให้ศักดิ์ศีและความแข็งแกร่งที่เหนือกว่าบริษัทเอกชนในสัญญาสัมปทานของรัฐวิสาหกิจให้เสื่อมคุณค่าลงเป็นลำดับ ซึ่งในทางตรงกันข้ามเป็นการสร้างมูลค่าของหุ้นของบริษัทในเครือของครอบครัวตนให้สูงขึ้น ทำให้สามารถขายได้ในราคาสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 73,300 ล้านบาท ตามขึ้นตอนที่วิเคราะห์ไว้ในสมุดปกขาวฉบับนี้ จึงเห็นได้ชัดว่า กรณีเป็นผลประโยชน์ขัดกันอย่างชัดแจ้งและไม่ชอบด้วยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและบทกฎหมายที่เกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามคอร์รัปชั่น สมควรที่หน่วยรายการผู้มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการให้มีการสอบสวนและดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์