เอกชนประสานเสียง ปฏิวัติ-ลาออก-ยุบสภาได้หมด นาทีนี้ต้องจบเร็ว

กรณีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ได้ปิดล้อมสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อกดดันให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จนสร้างความเสียหายในวงกว้าง ทั้งภาพลักษณ์ประเทศและทางเศรษฐกิจ สะท้อนได้จากความคิดเห็นของภาคเอกชน

นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและหอการค้าไทย

การปิดสนามบินทำให้ธุรกิจที่แย่อยู่แล้ว แย่ลงไปอีก ผลเสียต่อภาพพจน์ประเทศและการท่องเที่ยวเกิดขึ้นทันที ภาพรวมนั้นพูดกันมานานแล้วถึงการทำลายระบบเศรษฐกิจ ความเชื่อมั่น และการลงทุน แม้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐออกมาก็จะทำให้ประสิทธิภาพลดลง เมื่อมองภาพรวมแล้วความรุนแรงที่เกิดขึ้นนับจากวันที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ส่งผลต่อภาพลบของประเทศสูงขึ้น จึงเห็นด้วยให้มีการแก้ไขให้สถานการณ์สงบโดยเร็ว

"ข้อเสนอของเอกชนก็คือทำอย่างไรให้สถานการณ์สงบและฟื้นฟูประเทศให้เร็วที่สุด จบตอนนี้เศรษฐกิจไทยยังน่าจะโตได้ 3% หากปล่อยให้รุนแรงไม่อาจประเมินได้"

สำหรับการประชุมหอการค้าทั่วประเทศที่กำหนดจัดระหว่างวันที่ 28-30 พฤศจิกายนนี้ ถึงขณะนี้จะยังเดินหน้าจัดประชุมตามเดิม ยกเว้นมีเหตุการณ์ทำให้ต้องยกเลิกการประชุม เช่น การปิดสนามบินทุกสาย การใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรือการปฏิวัติ

นายอาชว์ เตาลานนท์ ประธานกิตติมศักดิ์ หอการค้าไทย

การปิดสนามบินไม่ให้มีการเดินทางเข้าออก ไม่รู้ว่าเหตุการณ์จะยุติอย่างไร แต่มีผลกระทบรุนแรงต่อภาพพจน์ประเทศมากกว่าด้านเศรษฐกิจ ซึ่งในสายตาประชาคม ไทยโดดเด่น แต่กลับไม่สามารถจัดการปัญหาในประเทศได้ หากยังปล่อยให้ยืดเยื้อและร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ จะเสียหายต่อเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีของประเทศ ตอนนี้ความแตกต่างทางความคิดทางการเมืองได้ลุกลามไปถึงเรื่องเศรษฐกิจและการลงทุนแล้ว ไม่มีใครกล้าเข้ามาลงทุน ตอนนี้การถดถอยของเศรษฐกิจไทยมากกว่าเศรษฐกิจโลกแล้ว

"คนไทยรู้สึกอึดอัดกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ควรยุติความรุนแรงได้แล้ว แม้ต้องปฏิวัติก็เห็นด้วยหากทำให้สถานการณ์รุนแรงจบโดยเร็วและมีผลดีต่อประเทศชาติ ต่อเศรษฐกิจ ที่ผ่านมาปล่อยให้เหตุการณ์ลุกลามจนไม่อาจจำกัดพื้นที่ประท้วงได้แล้ว เหมือนแผลที่เรื้อรัง อยากเห็นความเป็นคนไทยกลับมา ในแง่ความเอื้ออาทร เมตตากรุณา ตอนนี้กลายเป็นถูกครอบงำด้วยความโกรธ ชีวิตผมผ่านมาไม่เคยเจอ เป็นวิกฤตเศรษฐกิจที่แปลก"

นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล รองกรรมการหอการค้าไทย

หากใช้วิธีการเจรจาไม่สำเร็จ การลาออกหรือยุบสภาก็น่าจะเป็นทางออก ส่วนตัวยังไม่เห็นด้วยต่อการปฏิวัติ หรือการออก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ที่ยังมีรัฐบาลอยู่ รัฐบาลก็ควรบริหารงาน จัดประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) และประชุมสภาตามปกติ เพื่อให้งานบริหารประเทศเดินหน้าต่อไปได้ สามารถจัดประชุมและมีกรอบความตกลงในการลงนามต่างๆ ในการประชุมผู้นำอาเซียน (อาเซียนซัมมิท) ในช่วงเดือนธันวาคมนี้ ที่ จ.เชียงใหม่

"เหตุการณ์ลุกลามจนปิดสนามบิน ในเชิงการค้าและการส่งออกนั้นเสียหายมาก ประมาณวันละ 3 พันล้านบาท เฉพาะอาหารและของสดที่ไม่สามารถส่งออกและนำเข้าได้มา 3 วันแล้ว คิดเป็นมูลค่า 6 พันล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมการส่งออกรายเล็กที่มีอีกจำนวนมากก็น่าจะเสียหายเกินหมื่นล้านบาทแล้ว หากยังปิดสนามบินต่อเนื่องไปอีก 2 วัน ความสูญเสียก็ไม่อาจประเมินได้ เพราะจะกระทบต่อเกษตรกรและแรงงานแน่นอน อย่างช้าเหตุการณ์ต้องสงบภายใน 2 วันนี้ ซึ่งขณะนี้กำลังกระทบต่อยอดส่งออกในปี 2552 ที่ขาดความมั่นใจต่อการจัดส่งสินค้าได้ตรงเวลาแล้ว"

นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)

การปิดสนามบินสุวรรณภูมิสร้างความเสียหายให้กับประเทศเป็นอย่างมาก ไม่สามารถประเมินค่าได้ โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบเต็มๆ 100% จึงอยากให้ส่วนที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาให้สถานการณ์จบโดยเร็ว ช้าที่สุดภายใน 3-4 วัน ซึ่งหากยืดเยื้อกว่านั้นประเทศจะเสียหายมากกว่านี้ สิ่งที่น่ากังวลที่สุดสำหรับภาคเอกชนคือ การที่นักลงทุนต่างประเทศไม่เข้ามาลงทุน จากปัจจุบันที่นักลงทุนก็ชะลออยู่แล้วเพื่อรอดูสถานการณ์ก่อน อีกทั้งการปิดสนามบินอาจจะกระทบต่อการสั่งสินค้า (ออเดอร์) ในระยะยาว เพราะลูกค้าอาจจะไม่มั่นใจว่าจะกระทบกับระบบขนส่งสินค้าอื่นในประเทศด้วย

"ส.อ.ท.ขอติดตามดูสถานการณ์ก่อนว่าจะเป็นอย่างไร ก่อนจะดูว่าจะเรียกหารือสมาชิกหรือไม่ เพื่อประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้น"

นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย

กรณีที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. แถลงจุดยืนหลังหารือกับทุกภาคส่วนว่ามีมติร่วมกันให้มีการยุบสภาเพื่อยุติปัญหาทางการเมืองนั้น ส่วนตัวเห็นว่าเลยจุดที่จะยุบสภาแล้ว ตอนนี้เอกชนทำอะไรไม่ถูก มึนไปหมด ไม่รู้ว่าจะออกมารูปแบบใด เพราะความคิดเห็นของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) และกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ก็แตกต่างกัน อาจไม่จบได้ง่าย และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จะยอมลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือไม่ หากเลือกการปฏิวัติ ล้างไพ่ ก็น่าจะดีหากสถานการณ์จบและไม่กระทบต่อวิถีทางการทำการค้าปกติ แม้สินค้าบางส่วนส่งทางอากาศไม่ได้ก็ยังส่งทางเรือและทางถนนได้ แต่หากลุกลามจนปิดจราจรอีก ก็ไม่รู้ว่าจะเสียหายกันอีกเท่าไหร่

"ทางออกที่ดีน่าจะได้นายกรัฐมนตรีพระราชทาน ซึ่งทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายเกรงใจและไม่ก่อเหตุความวุ่นวายขึ้นมาอีก ในแง่ส่งออกและเศรษฐกิจตอนนี้ยังไม่ต้องพูด ควรเร่งแก้วิกฤตการเมืองก่อน แต่ควรจบโดยเร็ว ก่อนที่จะเสียตลาดส่งออก อย่างข้าวก็จะเสียให้เวียดนามที่กำลังเร่งขายและเสนอราคาต่ำกว่าไทยมาก"

นายวัลลภ วิตนากร กรรมการบริหารสภาผู้ส่งออกแห่งประเทศไทย

กังวลว่าต่อไปผู้นำเข้าอาจฉวยโอกาสใช้ปัญหาเรื่องการปิดสนามบิน หรือการส่งออกล่าช้า เป็นข้ออ้างในการยกเลิกคำสั่งซื้อสินค้ากับไทยได้ เพราะหลังจากเศรษฐกิจโลกไม่ดี หลายประเทศคู่ค้าก็ชะลอการสั่งซื้อ หรือยืดเวลาชำระเงินกับไทย ขณะเดียวกัน การปิดสนามบินจะทำให้การเจรจาการค้ามีปัญหา เพราะสินค้าหลายประเภทต้องมีการเดินทางเข้ามาตรวจสอบรายละเอียดสินค้าถึงที่ ซึ่งเมื่อไม่มีการเดินทางจะทำให้คำสั่งซื้อในอนาคตลดลง และเป็นปัญหาต่อการส่งออกระยะยาวแน่นอน

นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ นายกสมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย

ขณะนี้ ภาพลักษณ์ประเทศเสียหายย่อยยับ เพราะไม่มีการชุมนุมประเทศไหนที่มาปิดล้อมสนามบินจนสร้างความเดือดร้อนไปทั่ว และกระทบต่อปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาสังคมแบบนี้ และขณะนี้ไม่มีลูกค้าจากต่างประเทศกล้าเดินทางเข้ามา ซึ่งหากสถานการณ์ยืดเยื้อก็กระทบต่อการส่งออกอย่างมาก จึงอยากให้ผู้เกี่ยวข้องแยกแยะ ปัญหาการเมือง การปกครอง กับเศรษฐกิจ และสังคมออกจากกัน ส่วนอุตสาหกรรมแช่เยือกแข็งยังไม่ได้รับความเสียหาย เพราะส่วนใหญ่ขนส่งทางเรือ

นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายวิเคราะห์หลักทรัพย์ สถาบันวิจัยนครหลวงไทย (SCRI)

ผลกระทบจากการการชุมนุมปิดสนามบินสุวรรณภูมิของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) SCRI มีแนวโน้มปรับประมาณการอัตราการเติบโตการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (Real GDP Growth) ในปี 2551 และ 2552 ลง 0.15%-0.25% จากระดับค่าเฉลี่ยเดิมที่ 4.55% และ 3.05% ตามลำดับ เพื่อสะท้อนความเสี่ยงทางการเมืองที่สูงขึ้น และผลกระทบในเชิงลบในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบมากสุด และมีสัดส่วนถึง 5% ต่อจีดีพี ซึ่งจากปัญหาการเมืองทำให้ภาคการท่องเที่ยวสูญเสียรายได้ประมาณ 60,000-100,000 ล้านบาทในปีนี้ นอกจากนี้กลุ่มธุรกิจการบิน และกลุ่มโรงพยาบาลก็ได้รับผลกระทบมากเช่นเดียวกัน จึงแนะนำให้ "หลีกเลี่ยง" กลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรมทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์