เสื้อแดงย้อนเกล็ด7ตุลาฯ ปิดล้อมสภาเผด็จศึกมาร์ค

การแถลงนโยบายของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ นำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม มีอันต้องเลื่อนออกไปตามคาด และอาจจะเลื่อนไปถึงหลังปีใหม่โน่น

หลังจากกลุ่ม "เสื้อแดง" เคลื่อนขบวนมาปักหลักปิดทางเข้าออกรัฐสภาตั้งแต่คืนวันที่ 28 ธันวาคม แม้แกนนำผู้ชุมนุม ซึ่งเป็น ส.ส.และคนของพรรคเพื่อไทย อย่างนายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายจักรภพ เพ็ญแข นายวีระ มุสิกพงศ์ ออกมายืนยันว่า จะชุมนุมโดยสงบ แต่อีกด้านหนึ่งกลับบอกว่า จะเปิดทางเข้าออกให้แต่ต้องเป็นการเดินเท้าเข้าไป !

เป็นใคร ใครก็ไม่เพี้ยนเดินเข้าไป เพราะไม่มีใครให้หลักประกันกับชีวิตและทรัพย์สินได้ หลังจากเคยเกิดเหตุรุนแรงกับ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์มาแล้วครั้งหนึ่ง ในวันโหวตเลือกนายกฯเมื่อวันที่ 15 ธันวาคมที่ผ่านมา ที่มีการปาอิฐตัวหนอนเข้าใส่รถ ส.ส. ผลก็คือ เช้าวันที่ 29 ธันวาคม มี ส.ส. ส.ว.เข้าสภามาไม่ถึง 20 คน

การตีหน้าซื่อของแกนนำคนเสื้อแดง ถือเป็นการย้อนเกล็ดอย่างเจ็บแสบ

หลังจากในอดีตกลุ่ม "เสื้อเหลือง" ที่มีแกนนำคนหนึ่งคือนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส.สัดส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ เคยมาปิดล้อมสภาในวันแถลงนโยบายของขั้วอำนาจเก่าซึ่งนำโดยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี จากพรรคพลังประชาชน เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม มาแล้ว

จะผิดกันก็แต่วันนั้นกลายเป็นประวัติศาสตร์อันแสนเศร้าของการเมืองไทยอีกวาระหนึ่ง หลังจากรัฐบาลนายสมชาย เดินข้ามกองเลือดและคราบน้ำตาของผู้ชุมนุมหน้าตาเฉย เข้ามาแถลงนโยบายโดยใช้เวลารวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย และตะเกียกตะกายปีนรั้วออกไปทางพระที่นั่งวิมานเมฆ ขณะที่ตลอดวันมีการสลายการชุมนุมจนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บกว่า 500 ราย

สำหรับยุทธวิธีของคนเสื้อแดง มีแนวโน้มว่าทุกกระบวนการจะย้อนรอยกลุ่มเสื้อเหลือง เริ่มจากการยกระดับการชุมนุมจากเดิม 3 วัน 3 คืน เป็นไม่มีกำหนด

จนกว่านายอภิสิทธิ์จะยุบสภา และเริ่มมีการส่งพวกไปทำสงครามจิตวิทยาหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมกับมีการเตรียมตั้งเวทีถาวร พร้อมระดมคนจากรอบ กทม.อย่างสมุทรปราการ ซึ่งมี ส.ส.พรรคเพื่อไทยเป็นเจ้าของพื้นที่ มาฉลองปีใหม่กันหน้ารัฐสภา เป้าหลักในระยะสั้นคือ การทำให้รัฐบาลไม่สามารถแถลงนโยบายได้ภายใน 15 วัน ตามที่รัฐธรรมนูญมาตรา 176 วรรคแรก บัญญัติ ซึ่งจะครบกำหนดวันที่ 5 มกราคม 2552 โดยนับตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันที่ ครม.เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณ ตามมาตรา 175

เรื่องนี้ถือเป็นจุดสำคัญ แม้รัฐธรรมนูญจะไม่ได้กำหนดบทลงโทษใดๆ เอาไว้ เป็นเพียงแต่ให้รีบเร่งดำเนินการ แต่ก็สะท้อนว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ไม่สามารถใช้อำนาจรัฐจัดการความสงบเรียบร้อยให้เกิดขึ้นได้ และกลุ่มเสื้อแดงก็จะใช้เป็นช่องทางในการทวงคำพูดที่นายอภิสิทธิ์เคยแสดงบทบาทไว้ก่อนหน้านี้ในสมัยเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภา ว่าหากบริหารประเทศให้สงบเรียบร้อยไม่ได้ก็ให้ยุบสภา ซึ่งก็คือเป้าหมายสูงสุดของฝ่ายเสื้อแดง ที่มั่นใจว่าการเลือกตั้งครั้งใหม่จะกลับเข้าสู่อำนาจรัฐได้ ดูจากข้อเสนอของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง แกนนำพรรคเพื่อไทย ที่ถึงกับบอกว่า ให้เสื้อเหลืองเสื้อแดงมาทำสัตยาบันกันว่า เอาการเลือกตั้งเป็นตัวชี้ขาด

หรือถ้าจะมองแบบหาเรื่อง หากไม่แถลงภายใน 15 วัน ก็อาจถือว่าไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญเป็นเหตุให้ถอดถอน ซึ่งคาดว่ากลุ่มเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทย ก็คงใช้ช่องนี้ฟาดฟัน

แต่กลยุทธ์ของกลุ่มเสื้อแดง ยังคงมีปัญหา ได้แก่ ประเด็นเรื่องท่อน้ำเลี้ยง ซึ่งแม้ว่า "นายใหญ่" จะเดินเกมผ่านนายยงยุทธ ติยะไพรัช แต่ว่ากันว่าฝ่ายเสื้อแดงมีสภาพฝืดเคืองเต็มที และตลอดวันที่ 29 ธันวาคม ฝ่ายประชาธิปัตย์เองก็เจรจากับนายยงยุทธ และทราบว่า ดาวดับสภาปีนี้ ยอมถอยแล้วในระดับหนึ่ง

ที่สำคัญคือ รัฐบาลนี้ได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชูจากนายทุนนักธุรกิจและกองทัพ รวมถึงฝ่ายอื่นๆ สิ่งที่สะท้อนออกมาชัดเจน คือการที่ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติและรอง คือ นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎรในฐานะประธานรัฐสภา และนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ในฐานะรองประธานรัฐสภา ประสานเสียง ชี้ช่องมาตรา 176 วรรคสอง ว่า ก่อนแถลงนโยบาย หากมีกรณีสำคัญและจำเป็นเร่งด่วน ครม.ดำเนินการได้เท่าที่จำเป็น

อย่างไรก็ดี แม้ว่าฝ่ายรัฐบาลดูเหมือนจะยังถือไพ่เหนือกว่า แต่ความเป็นจริงที่ต้องยอมรับคือ การเมืองไทยมีปัญหาความขัดแย้งซึ่งยากที่จะจบลงง่ายๆ

โดยเฉพาะประเด็นดุลอำนาจที่ไม่ลงตัว หากพิจารณาจากกรอบสังคมวิทยาการเมืองผ่านผู้ชุมนุมที่ออกมาต่อต้านรัฐบาลขั้วอำนาจใหม่ในปัจจุบัน และผู้ชุมนุมที่เคยออกมาต่อต้านรัฐบาลขั้วอำนาจเก่าในอดีต ซึ่งเป็นคนละกลุ่ม คนละชนชั้น เกมการย้อนเกล็ดจึงถูกนำมาใช้วัดพลังในช่วงเปลี่ยนผ่านทางการเมือง ก่อนที่สังคมในส่วนที่เหลือจะแสดงพลังออกมากดดันให้ทุกฝ่ายในสังคมยอมรับการปฏิรูปการเมืองร่วมกัน เพื่อจัดสรรดุลอำนาจทางการเมืองให้มีความสมดุลต่อไปในอนาคต ซึ่งการเปลี่ยนผ่านนี้คงใช้เวลายาวนานพอสมควร สังคมไทยจึงต้องอดทน และเรียนรู้ร่วมกันในการสร้างบทสนทนาสาธารณะและการใช้เหตุผล เพื่อออกจากทางตันการเมืองโดยไม่เสียเลือดเนื้อ

เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์