เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ คมช.

หลังการรัฐประหาร ยึดอำนาจจากรัฐบาลมาครบ 6 เดือน เมื่อวันที่ 20 มี.ค. ซึ่ง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธาน คมช. เป็นประธาน มีผู้แทนของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมชี้แจง มีข้อสรุปที่ฟังได้ว่า ได้ดำเนินการกับสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นสาเหตุให้เกิดการยึดอำนาจดังกล่าว ได้แก่

1.การหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

2.การทุจริตคอร์รัปชันอย่างกว้างขวาง

3.การครอบงำองค์กรอิสระ และ

4.การแตกแยกความสามัคคีของคนในชาติในทุกภาคส่วนของประเทศ

ตรวจสอบการกระทำอันก่อให้เกิดความเสียหาย อันเป็นเหตุอ้างเพื่อการยึดอำนาจ ได้รายงานให้เห็นว่ามีความก้าวหน้ามิใช่น้อย อาทิ คดีการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ 7 คดี อยู่ในชั้นการพิจารณาของพนักงานอัยการ 3 คดี อีก 3 คดีอยู่ระหว่างการสอบสวนของตำรวจ

ซึ่งรับเรื่องไว้สอบสวน 13 เรื่อง ก็อยู่ในขั้นการไต่สวน 8 เรื่อง ทั้งมีคดีที่สำนักงานอัยการสูงสุดส่งฟ้องแล้วเกี่ยวกับการหลีกเลี่ยงภาษี และยังให้กรมสรรพากรเรียกคืนภาษีด้วย

เกิดจากการเปลี่ยนแปลงจากระบอบประชาธิปไตยปลอม ๆ มาเป็นเผด็จการทุนนิยม การจะนำพามาสู่ประชาธิปไตยอย่างที่ต้องการจึงไม่ง่าย เพราะปลูกฝังรากลึกไว้นานแล้ว

และตระหนักดีว่าประชาชนกำลังเฝ้าคอย อยากจะให้นำผู้กระทำความผิดมาลงโทษ

แต่ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมาย โดยที่ คมช. ไม่เคยชี้นำองค์กรใด ๆ แม้แต่ครั้งเดียว ทั้งยืนยันว่าจะต้องมีการเลือกตั้งตามกำหนดเวลา เพื่อนำไปสู่ประชาธิปไตยที่ต้องการ

ไม่ว่าจะทำได้รวดเร็วแค่ไหนก็ตาม สิ่งที่ประชาชน สื่อมวลชน ตลอดจนสังคมโลก ยังคงติดใจ ไม่อาจยอมรับได้ ก็คือการแก้ปัญหาด้วยวิธีการรัฐประหาร และถึงจะอ้างอิง แจกแจงความจำเป็น จนเข้าใจได้ระดับ หนึ่ง

หวั่นเกรงการ สืบทอดอำนาจหลังการเลือกตั้ง จึงหนีไม่พ้นที่ ประธาน คมช.จะเจอกับคำถาม ที่ไม่อาจตอบอย่างตรงไปตรงมาได้ว่าอนาคตทางการเมืองจะอยู่ในตำแหน่งผู้นำหรือนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ตรงนี้กาลเวลาจะเป็นเครื่องช่วยพิสูจน์ ในขณะเดียวกัน คมช.ก็ต้องแสดงให้เห็นด้วยว่าจะไม่ใช้ความพยายามทำเพื่อตนเอง.

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์