เผยยุทธวิธีขุดรากถอนโคนทักษิณ! เร่งปิดจุดอ่อน สุรยุทธ์-ใช้ยุทธศาสตร์ป๋าเปรม สู้

"เร่งหาจุดอ่อน"


"บิ๊กทหาร-นักวิชาการ" ชี้ต้องเร่งปิดจุดอ่อน "พล.อ สุรยุทธ์ " ที่กำลังถูกเป็นเป้าโจมตีของกลุ่มอำนาจเก่าเพื่อหวังให้ถอนใจลาเก้าอี้ "นายกรัฐมนตรี" ระบุชัดแม้อ่อนด้านเศรษฐกิจไม่ใช่ปัญหา แต่ควรเลือกใช้คนเหมือนยุค "ป๋าเปรม-ชวน" พร้อมเลิกใช้ความดีสยบ แต่ควรใช้มาตรการเด็ดขาด-ดุดัน สวนกลับขั้วระบอบทักษิณ!

ปรากฏการณ์การต่อสู้ระหว่างขั้วอำนาจใหม่กับขั้วอำนาจเก่า ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตลอด 4 เดือนหลังการปฏิวัติยึดอำนาจนั้น กำลังกลายเป็นเกมการต่อสู้ที่ไม่อาจละสายตาไปได้ เนื่องจากต่างฝ่ายต่างกำหนดและคิดค้นกลยุทธ์ขึ้นมาเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบให้กับตัวเอง ขณะเดียวกันยังสามารถทำลายฝ่ายตรงข้ามในทุกๆทาง ...

เมื่อใดที่ขั้วอำนาจใหม่ในฐานะฝ่ายบริหาร เปิดเกมหนัก ผ่านกฎกติกาต่างๆเพื่อ หวังสยบความปั่นป่วนวุ่นวายจากคลื่นใต้น้ำ เพียงไม่นานต่อมาขั้วอำนาจเก่าทั้งที่อยู่ภายในและนอกประเทศอย่างอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ก็จะเปิดเกมรุกเอาคืนอย่างหนักเช่นกัน ล่าสุดการปรากฏตัวของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผ่านโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น ที่ประเทศสิงคโปร์ วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลใหม่ให้ทั่วโลกได้รับรู้ ก็เกิดขึ้นหลังจากที่คมช.ได้ออกกฎเหล็กห้ามสื่อไทยเผยแพร่ข่าวสารของพ.ต.ท.ทักษิณ อย่างเด็ดขาด ดังนั้นหากจะมีนักวิเคราะห์บางรายระบุว่าสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งนี้คือปฏิกริยาสวนกลับจากมวยที่เหนือชั้นกว่าคมช.และรัฐบาลหลายเท่าตัวก็คงไม่เกินเลยแต่อย่างใด...

ว่ากันว่าความรุนแรงที่เกิดจากการต่อสู้ทางการเมืองนั้นอาจทวีมากขึ้นนับจากนี้เป็นต้นไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเครื่องมือเอาผิดอดีตนักการเมืองในรัฐบาลชุดที่แล้วทั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ( คตส.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รวมไปถึงหน่วยงานต่างๆ เร่งพิจารณาคดีและไปถึงขั้นตอนการชี้มูลแจ้งความผิดไปถึงตัวพ.ต.ท.ทักษิณ ตลอดจนอดีตรัฐมนตรี ชัดเจนมากเท่าใด "กระบวนการ"กดดันและทำลายความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลจากทั้งใต้ดินและบนดินก็จะยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น

"ซื่อสัตย์-สุจริต"ดาบสองคม


การที่แกนนำในคมช.หลายคนได้ออกมาสวมบทบู๊เพิ่มดีกรีความดุดันจัดการกับสารพัดปัญหาที่รุมเร้าอำนาจใหม่ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นผลพวงสืบเนื่องมาจากการที่ทั้งคมช.และนายกฯพล.อ.สุรยุทธ์ ต่างถูกเกมการเมืองของฝั่งอำนาจเก่าคุกคามมาแล้วอย่างหนัก เพราะล่าสุด พล.อ.สนธิ และพล.อ.สุรยุทธ์ กำลังเผชิญหน้าเกมใต้ดินด้วยประเด็นเรื่องลึกส่วนตัวด้วยกันทั้งคู่ พล.อ.สนธิ โดนขุดคุ้ยเรื่อง "สมรสซ้อน" ขณะที่พล.อ.สุรยุทธ์ ถูกกรณีมีบ้านพักที่เขายายเที่ยง รุกที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ แต่ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ ฝ่ายที่แสดงอาการและถูกตีความว่าถอดใจออกมาเป็นคนแรก คือพล.อ.สุรยุทธ์ ที่ระบุว่าหากผิดจริง ก็พร้อมจะรับผิดชอบ...! ไม่ว่างานนี้พล.อ.สุรยุทธ์ จะจงใจส่งสัญญาณอย่างใดอย่างหนึ่งหรือไม่ก็ตาม แต่คาดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นน่าจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามเกิดความเชื่อมั่นว่าการดิสเครดิตนายทหารอาชีพอย่างพล.อ.สุรยุทธ์ นั้นได้ผลเป็นที่น่าพอใจ

"ภาพของพล.อ.สุรยุทธ์ มีความโดดเด่นและเหนือกว่าคุณทักษิณ ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต มีความสมถะ ซึ่งเป็นจุดแข็งสร้างความเชื่อมั่นจากสังคมได้เป็นอย่างดี แต่ในขณะเดียวกันเมื่อเป็นจุดแข็งก็สามารถถูกนำมาใช้เป็นจุดอ่อน ให้ฝ่ายตรงข้ามนำมาโจมตีได้เช่นกัน เพราะรู้ดีว่าถ้าทำลายภาพดังกล่าวของพล.อ.สุรยุทธ์ ได้แล้ว หรือทำให้เกิดความสงสัยเคลือบแคลงเกิดขึ้น คนอย่างพล.อ.สุรยุทธ์ ก็อาจรู้สึกทนไม่ได้เอง" แหล่งข่าวกองทัพบกระบุ พร้อมทั้งชี้ว่าประเด็นที่จะส่งผลกระทบตัวนายกฯ นอกเหนือไปจากการขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัวกรณีการรุกที่ป่าสงวนแห่งชาติ ในจ.นครราชสีมา แล้วสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือการแก้ปัญหาต่างๆทั้งในด้านการเมือง สังคมและโดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจที่อาจรุมเร้ารัฐบาลหนักมากขึ้นเมื่อครบไตรมาสแรกในเดือนมี.ค.นี้

อย่างไรก็ตามยังเชื่อว่ากระบวนการดิสเครดิตพล.อ.สุรยุทธ์ ด้วยประเด็นส่วนตัวนั้น อาจไม่ส่งผลกระทบมากนักถ้าเทียบกับประเด็น "ความไร้ประสิทธิภาพ"ในการบริหารงาน "หากรัฐบาลบริหารงานออกมาดี มีประสิทธิภาพชัดเจน ไม่ว่าใครจะขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัวออกมาอย่างไร ในที่สุดก็จะไม่มีน้ำหนักน่าสนใจ จนทำให้พล.อ.สุรยุทธ์ ถอดใจ"

บิ๊กรุ่นพี่แนะ" ดี+ดุ"ขจัดระบอบทักษิณ


เวลานี้ภาพที่เกิดขึ้นคือการที่ทั้งพล.อ.สนธิ และพล.อ.สุรยุทธ์ ต่างตกเป็น "เป้านิ่ง" และไม่มีความเด็ดขาดในการใช้อำนาจจัดการกับปัญหาความไม่สงบที่เกิดจากคนกลุ่มต่างๆ ทั้งที่เป็นฝ่ายตรงข้าม หรือแม้แต่มือที่ 3 หวังอาศัยสถานการณ์ก่อความวุ่นวาย การตกเป็นเป้านิ่งให้ฝ่ายอำนาจเก่าเปิดฉากก่อกวนในลักษณะดังกล่าวเช่นนี้ หลายฝ่ายหรือแม้แต่ทหารอาชีพด้วยกันเองยังอดรู้สึกอึดอัดแทนไม่ได้ แต่สำหรับใครก็ตามที่รู้จักคนอย่างพล.อ.สุรยุทธ์ มาแล้วอาจไม่รู้สึกแปลกใจกับบทบาทและท่าทีที่นายกฯคนนี้แสดงออกเท่าใดนัก

" โดยส่วนตัวแล้วก็พอจะเข้าใจธรรมชาติของพล.อ.สุรยุทธ์ ที่กำลังถูกมองว่ายังไม่เด็ดขาดในการกวาดล้างระบอบทักษิณ อย่างจริงจัง ทั้งที่มีอำนาจอยู่ในมือ เป็นเพราะท่านเป็นคนดี คือไม่ทะเลาะกับใคร ไม่มีปัญหากับใคร เป็นลักษณะของคนที่ฝักใฝ่ในธรรมะ คือเราต้องยอมรับเลยว่าท่านเป็นคนดีคนหนึ่ง ก็เห็นอย่างนี้มาตั้งแต่ท่านยังเป็นผู้บัญชาการศูนย์สงครามพิเศษ คือเป็นคนดีมาก สมถะ เพราะไม่อย่างนั้นคงไม่ได้เป็นองคมนตรีแน่นอน"

อดีตแม่ทัพภาค ได้สะท้อนตัวตนของพล.อ.สุรยุทธ์ กับผู้จัดการรายสัปดาห์ แต่เขามองว่าไม่ว่าพล.อ.สุรยุทธ์ จะเป็นคนดี คนสมถะแค่ไหนก็ตาม แต่สิ่งสำคัญเวลานี้คือการเข้ามาแบกรับภารกิจกวาดล้างระบอบทักษิณ ภายในเวลา 1ปี ดังนั้นต้องอาศัยความเด็ดขาด และถึงแม้ตัวพล.อ.สุรยุทธ์ จะไม่มีความเชี่ยวชาญทางด้านการเมืองก็ตาม แต่ก็สามารถสร้างทีมงาน ขึ้นมาตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามให้มากกว่านี้

" การบริหารงานกองทัพก็ต้องมีฝ่ายเสนาธิการทหาร ให้คำแนะนำ วางแผนต่างๆเช่นเดียวกับการทำหน้าที่ฝ่ายบริหาร ที่อาจมีความเข้มข้นมากขึ้นกว่าปกติ ดังนั้นพล.อ.สุรยุทธ์ ต้องรู้ว่าควรตั้งใครขึ้นมาเป็นที่ปรึกษา ควรดึงใครมาเป็นมิตร หรือแม้แต่การแปรศัตรูมาเป็นมิตร ท่านควรจะก็เข้าใจในจุดนี้

ไม่ใช่ว่าท่านอยากได้ทั้งกล่อง ทั้งเงิน คืออยากทำงานให้สำเร็จ แต่ไม่อยากให้คนมาด่า เลยไม่อยากใช้ความเด็ดขาด ก็คงไม่ได้แน่นอน ยิ่งถ้าฝ่ายตรงข้ามมองเห็นว่าเราเป็นเป้านิ่ง ก็ยิ่งต้องเคลื่อนไหว ไม่อย่างนั้นก็รอวันตายอย่างเดียว"

ชี้ "สุรยุทธ์"มีสิทธิ์ถอดใจ-พ่ายเกมดิสเครดิต


อดีตแม่ทัพภาค ยังระบุด้วยว่าการที่พล.อ.สุรยุทธ์ ออกมาแสดงความพร้อมที่จะรับผิดชอบหากการตรวจสอบแล้วพบว่าบ้านพักเขายายเที่ยง บุกรุกที่ดินป่าสงวนแห่งชาติจริง นั้นถึงแม้จะประเมินไม่ได้ว่าพล.อ.สุรยุทธ์ จะถอดใจในการทำงานหรือไม่ หลังถูกดิสเครดิตจากฝ่ายตรงข้าม แต่ในทางยุทธศาสตร์แล้วถือว่านายกฯกำลังทำให้ตนเองเสียเปรียบ ซึ่งหากเป็นนักการเมืองไม่ว่าจะมีความผิดจริงหรือ
ไม่ก็ตามแต่จะไม่แสดงออกมาเช่นนี้แน่นอน

"รัฐบาลและคมช.ต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจได้แล้วว่า ฝ่ายตัวเองอ่อนด้อยทางการเมืองแค่ไหน ถ้าเทียบกับฝ่ายของพ.ต.ท.ทักษิณ ที่มีความชำนาญและมีคนคอยทำงานให้แทบทุกจุด ซึ่งการตอบโต้ทางการเมือง ก็ควรใช้วิถีทางการเมือง ไม่ใช่ใช้วิธีทางทหาร มันคนละเรื่องกัน ยิ่งรบต่อในแนวทางนี้ก็ยิ่งแพ้ ทางที่ดีควรจะหาคนที่มีความเชี่ยวชาญทางการเมืองมาช่วยตอบโต้ทางการเมืองกับฝ่ายตรงข้าม

เนื่องจากเรารู้ดีว่าเมื่อใดก็ตามที่เข้าสู่การเมือง เรื่องการใส่ร้ายป้ายสีก็ต้องเกิดขึ้นการเป็นคนดีนั้นก็ถือเป็นสิ่งที่คนเราพึงมี แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องใช้อำนาจและความเด็ดขาดก็ต้องทำให้ได้ ไม่ใช่ทำตัวโดดเดี่ยว เป็นผู้ทรงคุณธรรมอย่างเดียว ทั้งที่รู้ดีว่าภายในระยะเวลาเพียง1ปีมีปัญหามากมายอย่างนี้ก็คงไม่ได้"

การเปิดเกมรบทางการเมืองทั้งที่ขาดความชำนาญเช่นนี้ หากทั้งพล.อ.สนธิและพล.อ.สุรยุทธ์ ยังคงปล่อยให้ทุกอย่างยืดเยื้อออกไป เชื่อว่าในที่สุดอำนาจใหม่จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้

"ขอแค่ให้ท่านนายกฯสุรยุทธ์ มีความดุดันเด็ดขาดให้สักครึ่งหนึ่งของพล.อ.สพรั่ง (กัลยาณมิตร) ก็จะดีกว่านี้ ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นฝ่ายถูกดิสเครดิตมากขึ้น และไม่แน่ว่าหากท่านโดนดิสเครดิตมากๆ ไม่ว่าจะจริงหรือไม่ก็ตาม แต่ถ้าทำให้รู้สึกว่าได้ส่งผลกระทบกับภาพความดี ความซื่อสัตย์ ท่านก็อาจถอดใจก็ได้เพราะทุกวันนี้ภาพที่ออกมาคือมือข้างหนึ่งบริหารประเทศ ขณะที่มืออีกข้างหนึ่งคอยป้องกันตัวเอง ท่านก็คงเหนื่อย"

นอกเหนือไปจากการรับมือกับเกมการเมืองที่โถมเข้าใส่คมช.และรัฐบาลแล้ว ยังต้องไม่ลืมว่าประเด็นที่สังคมและกลุ่มอำนาจเก่ากำลังจับตามองมากที่สุดคือการดำเนินนโยบายทางด้านเศรษฐกิจ ที่ ณ เวลานี้ถึงแม้ "หม่อมอุ๋ย" ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกฯและรมว.คลัง ในฐานะคุมบังเหียนนโยบายและการออกมาตรการต่างๆออกมาและส่งผลกระทบต่อภาคสังคมและเศรษฐกิจ อย่างกรณีหวยบนดิน หรือการออกมาตรการป้องกันการเก็งกำไรค่าเงินบาทที่โดนวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักที่ผ่านมาก็ตาม แต่ภาพความรับผิดชอบในท้ายที่สุดแล้ว พล.อ.สุรยุทธ์ ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงบทบาทดังกล่าวไปได้

จี้ "สุรยุทธ์"รับฟังทุกความเห็น-เลิกเชื่อ "อำนาจนิยม"


รศ.ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้สะท้อนภาพปัญหาทางด้านเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นในรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งมีผลพวงมาจาก "กระบวนการ" ทำนโยบายที่มีปัญหาเนื่องจากไม่เปิดโอกาสให้คนกลุ่มต่างๆได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการตัดสินใจมากขึ้น และที่สำคัญตัวนายกฯเองต้องเข้าไปมีส่วนในการรับรู้และกำกับดูแลด้วยตนเองให้มากขึ้น โดยไม่โอนหน้าที่ในการตัดสินใจให้กับทีมเศรษฐกิจเพียงฝ่ายเดียว

"ถึงแม้ตัวพล.อ.สุรยุทธ์ อาจจะไม่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องเศรษฐกิจ แต่ไม่ได้หมายความว่าท่านจะไม่มีประสิทธิภาพในการทำงาน เพราะในอดีตที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นคุณชวน หลีกภัย หรือแม้แต่พล.อ.เปรม ก็ไม่ได้เก่งเรื่องนี้ แต่เรียนรู้ในการใช้คน ใช้ทีมงาน แต่ไม่ใช่ว่าปล่อยให้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับทีมที่ปรึกษา หรือข้าราชการทั้งหมด"

การที่นายกฯมอบหมายให้ทีมเศรษฐกิจ หรือข้าราชการ รับผิดชอบงานทั้งหมด โดยที่ไม่เข้าไปมีส่วนร่วมนั้น เมื่อเกิดปัญหาขึ้นภายหลังนายกฯก็จะมีหน้าที่เพียงออกมากล่าวขอโทษ เท่านั้น อย่างไรก็ตามแนวคิดในการดำเนินแนวทางด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้ที่ยังพบว่าหลายเรื่องที่ออกมาได้สร้างผลกระทบด้านลบกับคนในสังคม มีคนเสียประโยชน์อย่างแท้จริงจำนวนไม่น้อย โดยที่คนเหล่านั้นอาจไม่มีโอกาสได้เข้าไปให้ข้อมูลที่สำคัญแก่รัฐบาล

" ถ้านายกฯไม่เข้ากำกับดูแลบ้าง ปล่อยให้ฝ่ายข้าราชการใช้แนวทางแนวคิดแบบอำนาจนิยม คือคิดไปเองว่าสิ่งที่ตัวเองคิดมาตลอด 30-40 ปีนั้นถูกต้อง พูดออกมาแล้วคนต้องทำตาม โดยที่ไม่ดูความเป็นจริงของโลก ปัญหาก็จะไม่ได้รับการแก้ไขอย่างแท้จริง ใครที่เสียผลประโยชน์แล้วสามารถวิ่งเข้าไปหาข้าราชการได้ก่อน มาตรการที่ออกมาก็จะเอื้อประโยชน์ให้เฉพาะคนกลุ่มนั้น ทั้งที่ถูกต้องแล้ว ต้องเปิดรับฟังความคิดเห็น เปิดรับทุกกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ ซึ่งจุดนี้นายกฯ ต้องทำความเข้าใจ ไม่อย่างนั้นพอเกิดอะไรขึ้น ท่านก็ต้องออกมาแอ่นอกรับไปทุกเรื่อง"

อย่างไรก็ตามเงื่อนไขในการทำงานของพล.อ.สุรยุทธ์ จากนี้ต่อไปอาจไม่ได้ขึ้นอยู่เรื่องของ ระยะเวลา1 ปีเพื่อตอบสังคมให้กระจ่างถึงสาเหตุการยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 ที่ผ่านมาและเพื่อปฏิรูปสังคมไทยหลังยุคทักษิณเท่านั้น แต่ประเด็นที่ผู้นำรัฐบาลยังต้องคำนึงถึงคือหากรัฐบาลทำงานติดลบและถูกรุกด้วยเกมการจากอำนาจเก่ามากเท่าใด ยิ่งเหมือนเป็นเร่งนับถอยหลังวันเวลาของตนเองมากขึ้นเท่านั้น..

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์