เปิดใจธาริตลั่นใครก็สั่งผมไม่ได้

เปิดใจ"ธาริต เพ็งดิษฐ์"ลั่น"ใครก็สั่งผมเป็นพยานคดียุบพรรคปชป.ไม่ได้" นอกจากหมายเรียกศาลรธน. ระบุ มติดีเอสไอ.ยกฟ้องทีพีไอ.ให้คุณให้โทษใครดีเอสไอ.ไม่เกี่ยวข้อง ยันผลที่ออกมาเป็นไปตามพยานหลักฐานทั้งหมด เผยไม่กลัวคำขู่"เฉลิม"สั่งย้าย 24 ชม.หากฟ้าเปลี่ยนสี อ้างให้ครอบครัวทำใจนับถอยหลังตั้งแต่นั่งเก้าอี้ร้อนตัวนี้แล้ว ยันไม่เคยฝันสูงนั่งเก้าอี้ปลัดก.ยธ.

นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสืบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ.) กล่าวให้สัมภาษณ์เนชั่นทีวี ถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์กรณีที่ดีเอสไอ.มีคำสั่งไม่ฟ้องบริษัทพีทีไอฯ ข้อหาไซฟ่อนเงิน เพราะต้องการช่วยเหลือพรรคประชาธิปัตย์ ให้พ้นจากคดีถูกยุบพรรครับเงินบริจาค 258 ล้านบาท ว่า เรื่องนี้ต้องยอมรับว่าดีเอสไอ.ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก ซึ่งความจริงแล้วเราต้องยอมรับว่าคดีนี้ได้ค้างคาอยู่มานานมากตั้งแต่สมัยอธิบดีมดีเอสไอ.คนเก่าที่ผ่านมา โดยคดีบริษัททีพีไอ.ไซฟ่อนเงิน ที่มีการกล่าวหากันถือว่าเป็นคดีหลัก หรือเป็นคดีต้นทาง ซึ่งที่ผ่านมาทางพนักงานสอบสวนก็ไม่ได้มีการดำเนินการให้คดีมีความคืบหน้าเท่าที่ควร แต่ในทางกลับกันกลับไปมุ่งไปทำคดียุบพรรคเป็นหลัก ซึ่งเราต้องถือว่าาเป็นคดีประกอบ หรือคดีรอง ดังนั้นจึงถือว่าเป็นเรื่องแปลกๆ จนนำไปสู่การร้องเรียน ดังนั้นจึงเกิดการร้องเรียนในเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้น เมื่อมีการร้องเรียนเข้ามา และต่อมาพนักงานสอบสวนชุดเก่าจึงได้ขอถอนตัวการจากการทำคดีทั้งหมด ซึ่งตนก็ได้อนุญาตตามคำขอ เพราะตนถือว่าการทำคดีจะพนักงานสอบสวนจะต้องมีความสมัครใจ และในเมื่อพนักงานสอบสวนไม่มีความสมัครใจที่จะต้องคดีต่อ ก็ต้องอนุญาตไปตามคำขอ

 หลังจากนั้นตนจึงได้ตั้งพนักงานสอบสวนชุดใหม่ โดยมีรองอธิบดีพ.ต.อ.ณรัชต์ เศรษฐนันท์ เป็นหัวหน้าชุดพนักงานสอบสวน รมวกับพนักงานสอบสวนชุดใหม่อีก 10 คน และตนก็ได้มีคำสั่งให้เร่งทำคดีดังกล่าวนี้ให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว เนื่องจากคดีนี้ได้ค้างมาเป็นเวลานานแล้ว ในที่สุดทางทีมพนักงานสอบสวนชุดใหม่ ได้สรุปความเห็นมายังตนว่าพยานหลักฐานในคดีนี้ ไม่เพียงพอที่จะนำฟ้องร้องได้ เนื่องจากการกระทำความผิดไม่ปรากฎ จึงมีความเห็นว่าไม่ฟ้อง และหลังจากที่ตนได้รับผลการสรุปคดีมาแล้วก็ได้ตรวจำพิจารณาอย่างรอบคอบ ตนจึงมีความเห็นที่สอดคล้องตามความเห็นที่เสนอมา 

 " ดังนั้นจากที่ผมได้อธิบายมา จึงเห็นได้ว่าคดีเรื่องนี้ผมไม่ได้ทำเพียงโดยลำพัง แต่ทั้งหมดเป็นการทำงานในรูปของคณะกรรมการ ซึ่งผลการสรุปของคณะกรรมการก้เป็นไปด้วยคะแนนเสียงเอกฉันท์ ดังนั้นเมื่อทางดีเอสไอ.มีคำสั่งไม่สั่งฟ้องบริษัททีพีไอ. จึงเป็นการดำเนินการตามพยานหลักฐาน ส่วนผลคดีที่ออกมานั้น จะไปเข้าใคร จะไปเอื้อประโยชน์กับใคร เราไม่รู้ " นายธาริต กล่าว

 เมื่อถามว่า การที่ดีเอสไอ.มีคำสั่งไม่สั่งฟ้องบริษัททีพีไอ.นั้น ได้เพิ่มช่องทางในการสู้คดีเงินบริจาคของพรรคประชาธิปัตย์จำนวน 258 ล้านบาท นายธาริต กล่าวว่า เรื่องนี้ตนไม่ขอให้ความคิดเห็น เนื่องจากคดีนี้เป็นดุลย์พินิจของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะจะเป็นการก้าวล่วงอำนาจศาล เพราะในขณะนี้คดีนี้กำลังอยู่ในการพิจารณาของศาล ดังนั้นเราควรจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญจะดีกว่า ตนยอมรับว่าการสั่งฟ้อง หรือไม่ฟ้องในคดีนี้ มันมีผลดีและผลเสีย แต่ตนของยืนยันว่าการที่ดีเอสไอ.มีคำสั่งไม่ฟ้องร้องทุกอย่างทำตามพยานหลักฐานในรูปของพนักงานสอบสวน

 " เรื่องนี้ทั้งหมดเราดูตามพยานหลักฐานทั้งหมด การที่เราจะมาดูที่ผลสรุปว่าผลที่ออกมาจะไปเเอื้อให้ใคร หรือเป็นโทษกับใครนั้น ผมว่ามันไม่ใช่วิธีการทำงานที่ถูกต้อง " อธิบดีดีเอสไอ. กล่าว
 
    เมื่อถามว่า เมื่อผลการสั่งไม่ฟ้องบริษัททีพีไอ.ที่ออกมา อาจจะทำให้ทีมกฎหมายของพรรคประชาธิปัตย์ อาจจะใช้ช่องทางด้วยการดึงอธิบดีดีเอสไอ.ไปเป็นพยานในการสู้คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ นายธาริต กล่าวว่า เรื่องนี้ก็แล้วแต่ เรื่องนี้ตนขอยืนยันได้เลยว่า ไม่มีใครสามารถมาสั่งตนให้ไปเป็นพยานได้ คนที่สามารถสั่งตนให้ไปเป็นพยานได้ คือ หมายเรียกของศาล ดังนั้นจะเป็นฝ่ายไหนก็แล้วแต่ เมื่อไปขออำนาจศาลพิจารณาแล้วเห็นควรออกหมายเรียกให้แล้ว ตนในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐตนก็ต้องไป ส่วนเมื่อตนจะไปแล้วเป็นโทษหรือเป็นประโยชน์กับใครเรื่องนี้ตนไม่สามารถจะตอบได้ ซึ่งคำตอบของตนจะเป็นคำสั่งตามหน้าที่ที่ได้ปฎิบัติมาว่าเรื่องนี้มีพยานหลักฐาน ตามการตรวจสอบของดีเอสไอ.ทั้งหมด จนนำมาสู่ความเห็นไม่สั่งฟ้อง

 " เรื่องนี้พวกเราถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก แต่ก็ไม่เป็นอะไร ทุกอย่างเราถือว่าทำตามหน้าที่ หน้าที่ก็คือหน้าที่ ซึ่งหากเราไม่ทำก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ละเว้น ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย ที่พวกเราจะต้องรับโทษตามกฎหมายด้วยซ้ำไป " อธิบดีดีเอสไอ.กล่าว

 เมื่อถามว่า เสียงวิพากวิจารณ์ในเรื่องมีถือว่ามีความรุนแรงอย่างมาก ว่าการที่ดีเอสไอ.มีคำสั่งไม่ฟ้องบริษัททีพีไอ.ในครั้งนี้ เนื่องจากมีผลประโยชน์ต่างตอบแทน เนื่องจากรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ได้แต่งตั้งคุณธาริตขึ้นมาดำรงตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอ. นายธาริต กล่าวว่า  " เรื่องนี้ไม่เกี่ยวหรอก ที่ผมได้ขึ้นมาเป็นซี 10 ซึ่งตำแหน่งอธิบดี ก็ต่างเป็นซี 10 ที่เท่ากันหมด และผมได้ขึ้นมาเป็นซี 10 ในสมัยที่พรรคเพื่อไทย สมัยที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี อีกทั้งตนก็ได้เจริญเติบโตมาตั้งแต่ในสมัยพรรคไทยรักไทย ย้ายมาจากสำนักงานอัยการสูงสุด มาเป็นรองอธิบดีดีเอสไอ. ดังนั้นจึงถือว่าตนได้เจริญโตมาตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทยเป็นต้นมา ดังนั้นเมื่อถึงการทำงาน ตนจะต้องเอาหน้าที่เป็นหลัก จะให้ตนไปทำงานเพื่อเอาใจฝ่ายนั้น ฝ่ายนี้นั้นคงไม่ใช่ ดังนั้นเสียงวิจารณ์ว่าพรรคประชาธิปัตย์ตั้งตนขึ้นมาเป็นซี 10 นั้นไม่ใช่ และที่ผ่านมาตนก็เลขานุการปปท.ก่อนหน้านี้มาแล้ว และการที่ตนขึ้นมาเป็นอธิบดีดีเอสไอ.มานั้น ไม่ใช่ตนไปวิ่งเต้นเรียกร้อง อยากจะมาอยู่ เรื่องนี้ไม่ใช่อย่างแน่นอน และในตอนที่ครม.มีมติแต่งตั้งตนขึ้นมาเป็นอธิบดีดีเอสไอ.ในตอนนั้น ตนยังงงๆ อยู่เลย และยังมีความรู้สึกแปลกมากว่า ตนไม่เคยขอมาอยู่ที่นี่ แต่ได้มา เรื่องนี้ตนก็แปลกใจอยู่เหมือนกัน "

 เมื่อถามว่า ส่วนเสียงวิจารณ์ที่ว่ามีความสนิทสนมกับรองนายกฯสุเทพ เทือกสุบรรณ  อธิบดีดีเอไอ. กล่าวว่า เรื่องนี้ยิ่งไม่จริง ซึ่งก่อนหน้านี้ตนรู้จักท่านในนามผู้บังคับบัญชาคนหนึ่งเท่านั้น และเพิ่งมาได้ทำงานร่วมกันในศอฉ. เพราะหน่วยงานความมั่นคงทั้งหมดจะต้องมาทำงานร่วมกันในศอฉ. ซึ่งตนไม่เคยเป็นลูกศิษย์ลูกหา หรือมีความใกล้ชิดอะไรกับรองนายกฯสุเทพ เรื่องนี้สามารถตรวจสอบได้     

 เมื่อถามอีกว่า กลังหรือไม่กับคำขู่ของร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่ออกมาขู่ว่าหากพรรคเพื่อไทยได้มาเป็นรัฐบาล จะมีคำสั่งเด้งคุณธาริตภายใน 24 ชั่วโมง นายธาริต กล่าวว่า เรื่องนี้ส่วนตัว ตนมีความเข้าใจว่าเก้าอี้อธิบดีดีเอสไอ. ถือว่าเป็นเก้าอี้ที่มีความหมายมากในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งที่ผ่านมาตนก็ได้คุยกับครอบครัวว่าเมื่อมานั่งเก้าอธิบดีดีเอสไอ.แล้ว ก็ขอให้นับถอยหลัง หรือเคาดาวต์ ดังนั้นเราไม่จำเป็นที่จะต้องไปติดยึดว่าเราจะต้องรักษาเก้าอี้ตัวนี้เอาไว้ ซึ่งเมื่อตนและครอบครัวคิดอย่างนี้แล้ว ก็ได้ทำให้ตนสามารถทำงานได้อย่างสบายใจว่าเราจะต้องถูกย้าย หรือเปลี่ยนแปลงเมื่อไหร่ ซึ่งจะทำให้เรามีความกังวลเสียไปเปล่า เมื่อเป็นอย่างนี้ก็ได้ทำให้ตนสามารถทำงานได้อย่างอิสระ และทำงานได้อย่างสบายใจ การที่ตนพูดอย่างนี้ไม่ใช่ว่าจะท้าทาย เพราะคนที่คิดแบบตนอย่างนี้มีเยอะในระดับซี 10 ซี 11 การทำงานหากเราไปติดยึดกลัวว่าฝ่ายเมืองจะสั่งย้าย จะทำให้เราไม่สามารถทำงานได้ และจะเป็นทุกข์ใจ สู้เราทำงานหน้าที่ในปัจจุบันของเราให้ดีที่สุด ส่วนอนาคตของเราจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ ตราบใดที่บ้านเมืองเราที่เป็นระบอบประชาธิปไตยที่ให้อำนาจฝ่ายการเมืองโยกย้ายข้าราชการประจำได้ เราจะต้องยอมรับกติกาตรงนี้

 เมื่อถามต่อว่า แต่ก็ยังมีคนมองว่าการทำงานในเชิงสนองตอบรัฐบาล ก็เพราะคุณธาริตต้องการจะขึ้นไปถึงตำแหน่งปลัดกระทรวงยุติธรรม นายธาริต กล่าวว่า " ผมไม่เคยมีความคิดอย่างนั้นเลย ทำงานมาจนมาตำแหน่งซี 10 และนั่งตำแหน่งอธิบดี ส่วนตัวถือว่าเป็นสิ่งที่ตนเองโชคดี ที่ได้มีโอกาสรับผิดชอบงานสำคัญของประเทศมาอย่างยิ่ง เรื่องความคิดที่หวังไปไกลถึงซี 11 นั้น ตนไม่เคยมีความคิดเลย เรื่องนี้ตนยืนยันได้เลย และภายใต้สถานการณ์ทางการเมืองที่ขัดแย้งอย่างนี้ ตนไม่มีทางขึ้นไปถึงซี 11 ได้อย่างแน่นอน ตอนนี้ตนคงจะต้องรอเมื่อการเมืองเปลี่ยนแล้ว ตนจะถูกย้ายเมื่อไหร่ ตรงนี้จะมีโอกาสมากกว่า คือ การที่ตนจะไปลุ้นว่าจะไปถึงซี 11 น่าจะมาลุ้นว่าจะถูกย้ายเมื่อไหร่ตรงนี้น่าจะมีความเป็นไปได้มากกว่า เรื่องนี้ตนถือว่าเป็นการทำงานยตามหน้าที่ และขอยืนยันว่าการทำงานตรงนี้ของตนไม่ได้ทำงานเพื่อสนองใคร

 เมื่อถามว่า ต่อไปมีโอกาสที่จะเข้ามาเล่นการเมืองในอนาคตหรือไม่ อธิบดีดีเอสไอ. กล่าวว่า " ไม่หรอกครับ เพราะผมเป็นข้าราชการอาชีพ และยังไม่เคยได้คิด ตอนนี้ตนของทำงานตามหน้าที่ให้ดีที่สุด เมื่อถูกเปลี่ยนแปลงหน้าที่ไปก็ไม่เป็นไ ตนจะไปทำหน้าที่ใหม่ที่รับผิดชอบให้ดีที่สุดก็เท่านั้นเอง

เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์