ฮือฮา โผทหารคสช. ดัน “วลิต” ผ่าหมากขึ้นผบ.สส. “เทพพงศ์” ขึ้นห้าเสือทบ.

ฮือฮา โผทหารคสช. ดัน “วลิต” ผ่าหมากขึ้นผบ.สส. “เทพพงศ์” ขึ้นห้าเสือทบ.

รายงานพิเศษ
 
ฮือฮา โผทหารยุค คสช. จับกระแสดัน “วลิต” ผ่าหมากขึ้น ผบ.สส. ส่ง “เทพพงศ์” ขึ้นห้าเสือ ทบ. กับภาวะ “ฮ่องเต้น้อย” ใน ทบ.
 
มติชนสุดสัปดาห์ 10-16 กรกฎาคม 2558
 
ไม่มีอะไรที่จะทำไม่ได้ เกิดขึ้นไม่ได้ ในยุคที่บ้านเมืองอยู่ในสภาวะที่ไม่ปกติ ในยุครัฐบาลทหารของ คสช. เช่นนี้ หากเป็นไปเพื่อความมั่นคงเข้มแข็งของ คสช. และเพื่อการดูแลความสงบเรียบร้อยของชาติบ้านเมือง ในช่วงที่บิ๊กๆ คสช. เริ่มใช้คำว่า “ช่วงเปลี่ยนผ่าน” กันบ่อยขึ้น
 
โผแต่งตั้งโยกย้ายทหารนายพลครั้งใหญ่ ที่ ผบ.เหล่าทัพ กำลังจัดกันอยู่ตอนนี้ กำลังถูกเรียกว่าเป็นโผ “เมด อิน ร.1 รอ.” เพราะทั้งปลัดกลาโหม ผบ.สส. และ ผบ.เหล่าทัพ ต้องไปปรึกษาหารือบิ๊กป้อม พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ที่บ้านพักที่มูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ใน ร.1 รอ. กันทั้งสิ้น
 
ไม่ใช่เป็นแค่เจ้ากระทรวงปืนใหญ่ แต่ พลเอกประวิตร ยังเป็นพี่ป้อม พี่ใหญ่ ทั้งในขั้วอำนาจบูรพาพยัคฆ์ พี่ใหญ่ใน คสช. และพี่ใหญ่ในรัฐบาลด้วย จึงทำให้ทุกครั้งที่ พลเอกประวิตร แวะมาพำนักที่ไวท์เฮ้าส์ใน ร.1 รอ. แห่งนี้ จะมีนายทหารน้อยใหญ่ที่ลุ้นมีชื่อในโผลุ้นตำแหน่ง พากันมารอพบหรือรอยืนรับยืนส่งบิ๊กป้อมกันอย่างคลาคล่ำ
 
แบบที่เรียกว่า มูลนิธิป่ารอยต่อฯ ของบิ๊กป้อม จะต้องทำบัตรประจำตัวขึ้นมาโดยเฉพาะสำหรับคนที่ทำงานในมูลนิธิและขาประจำ ส่วนใครที่เป็นขาจรก็ต้องมาแลกบัตร จึงส่งผลให้นายทหารคนไหนๆ ก็อยากมีบัตรมูลนิธิกันทั้งสิ้น
 
จนมีประโยคที่พูดกันขำๆ ในหมู่ทหารว่า เดี๋ยวนี้วงศ์เทวัญ บูรพาพยัคฆ์ ก็ไม่เท่า วงษ์สุวรรณ กันเลยทีเดียว
 
เพราะเวลานี้ ไม่ใช่แค่ ผบ.เหล่าทัพ ที่จัดโผ แต่ พลเอกประวิตร ก็จัดโผของตัวเองด้วย ของทุกเหล่าทัพ จึงไม่แปลกที่จะมีทหารทุกเหล่าทัพมารวมตัวกันที่บ้าน ร.1 รอ. ของบิ๊กป้อม
 
พร้อมๆ กับมีข่าวออกมาว่า การจัดโผครั้งนี้อาจจะค่อนข้างพิสดารแบบไม่ปกติ ให้เข้ากับสถานการณ์ที่ไม่ปกติสักหน่อย 
 
จึงมีชื่อของบิ๊กอู๊ด พลเอกวลิต โรจนภักดี รองเสนาธิการทหาร บก.กองทัพไทย น้องรักสายบูรพาพยัคฆ์ของบิ๊กป้อม ที่จะกระโดดขึ้นเป็น ผบ.สส.คนใหม่ เลย แม้ว่าในอดีตจะไม่เคยมีมาก่อน ที่รอง เสธ.ทหาร จะขึ้นเป็น ผบ.สส. ก็ตาม แต่เพราะยึดหลักการที่ว่า เป็นพลเอก ก็ขึ้นเป็น ผบ.สส. ได้เลย โดยไม่ต้องผ่านตำแหน่งเสนาธิการทหาร หรือรอง ผบ.สส. อัตราจอมพล ก่อน
 
แบบที่เรียกว่า ของแบบนี้มันเป็นเรื่องของนโยบาย หรือ “แล้วแต่นาย” หากเห็นว่าสถานการณ์แบบนี้จำเป็นต้องเลือกนายทหารน้องรักที่ไว้วางใจได้พันเปอร์เซ็นต์มาคุมกองทัพ
 
แต่ก็ถือว่าเป็นการผิดธรรมเนียม เพราะในอดีตแม้จะเคยมีนายทหารที่ครองยศพลเอก ข้ามมาเป็น ผบ.สส. ก็ตาม แต่ก็มาจากห้าเสือ ทบ. จากห้าเสือเหล่าทัพ ยังไม่เคยมีพลเอกธรรมดาที่มาจากใน บก.กองทัพไทย เองขึ้นเป็น ผบ.สส.
 
แต่ทั้งนี้ก็เป็นการสะท้อนถึงความพยายามของสายบูรพาพยัคฆ์ ที่ต้องการจะยึดเก้าอี้ ผบ.สส. เพราะมองว่าบิ๊กเต้ พลเอกสมหมาย เกาฏีระ เสนาธิการทหาร ที่จ่อคิวอยู่นั้น ไม่ใช่คนของ คสช. แม้ว่า พลเอกสมหมาย จะเป็นนายทหารที่ไม่ได้เป็นพิษเป็นภัยกับใครก็ตาม และเติบโตมาตามไลน์ใน บก.กองทัพไทย
 
แต่งานนี้ก็คงทำให้เพื่อนมองหน้ากันไม่ติด เพราะ พลเอกวลิต กับ พลเอกสมหมาย ก็เป็นเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร 15 ด้วยกัน
 
โดยสูตรอำนาจของ คสช. ก่อนหน้านี้คือ จะเอาเก้าอี้ ผบ.สส. รองรับคนที่พลาดเก้าอี้ ผบ.ทบ. เช่น หากบิ๊กติ๊ก พลเอกปรีชา จันทร์โอชา ผช.ผบ.ทบ. น้องชายนายกฯ ได้ขึ้นเป็น ผบ.ทบ. บิ๊กหมู พลเอกธีรชัย นาควานิช ก็จะขยับจาก ผช.ผบ.ทบ. ข้ามไปเสียบเป็น ผบ.สส. ตัวแทนของสายบูรพาพยัคฆ์
 
สูตรอำนาจที่ดัน พลเอกวลิต ขึ้นเป็น ผบ.สส. นี้ ได้รับการขานรับจากนายทหารในสายบูรพาพยัคฆ์ และเตรียมทหารรุ่น 15 เพราะ พลเอกวลิต ก็เป็น ตท.15 รุ่นเดียวกับ พลเอกปรีชา น้องชายนายกฯ
 
โผทหารในสถานการณ์ที่ไม่ปกตินี้ รวมถึงความพยายามของสายบูรพาพยัคฆ์ ที่จะดันบิ๊กเข้ พลโทเทพพงศ์ ทิพยจันทร์ จากแม่ทัพน้อยที่ 1 ขึ้นเป็นพลเอก ห้าเสือ ทบ. เลย เพื่อเตรียมจ่อเป็น ผบ.ทบ. ในเดือนกันยายน ปี 2559
 
เพราะตามธรรมเนียมแล้ว จากแม่ทัพน้อยที่ 1 จะต้องขึ้นเป็นแม่ทัพภาค 1 ก่อน จึงจะขึ้นเป็นห้าเสือ ทบ. ได้
 
แต่ในทางปฏิบัติ หากเป็นนโยบาย “นาย” ก็สามารถดันแม่ทัพน้อยขึ้นห้าเสือ ทบ. เป็นพลเอกได้เลย เพราะ พลโทเทพพงศ์ ถูกวางตัวให้เป็น ผบ.ทบ. ในอนาคต ในฐานะน้องรักของ พลเอกประยุทธ์ โดยเขามีอายุราชการถึงกันยายน ปี 2561
 
หากมีการดัน พลโทเทพพงศ์ ขึ้นเป็นห้าเสือ ทบ. เลย ก็จะทำให้โอกาสของบิ๊กแกะ พลเอกพิสิทธิ์ สิทธิสาร ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทบ. ที่เพิ่งขึ้นมาเป็นพลเอก เมื่อโยกย้ายเมษายน ที่ผ่านมา ท่ามกลางความฮือฮานั้น ที่จะเป็น ผบ.ทบ. น้อยลง เพราะเขาเกษียณเดือนกันยายน ปี 2560 เพราะย่อมหมายความว่า จะให้ พลโทเทพพงศ์ ขึ้นเป็น ผบ.ทบ. 2 ปีเลย
 
นี่กระมังที่ทำให้มีข่าวหนาหูที่ว่า บิ๊กแดง พลตรีอภิรัชต์ คงสมพงษ์ รองแม่ทัพภาค 1 จะขึ้นเป็นแม่ทัพภาค 1 เพื่อคุมกำลังรบหลักและคุมกำลังหน่วยปฏิวัติของ ทบ. รวมทั้งการเป็น ผบ.กองกำลังรักษาความสงบ (ผบ.กกล.รส.) ของ คสช. ด้วย
 
หลังจากที่ก่อนหน้านี้ มีสูตรอำนาจที่ว่า หาก พลโทเทพพงศ์ ขึ้นเป็นแม่ทัพภาค 1 พลตรีอภิรัชต์ จะขยับไปเป็น ผบ.หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน (ผบ.นรด.) เพราะต้องเปิดทางให้บิ๊กต้อม พลตรีวราห์ บุญญะสิทธิ์ รองแม่ทัพภาค 1 รุ่นพี่ ขึ้นเป็นพลโท แม่ทัพน้อยที่ 1 ก่อน หรือไม่ก็ให้ พลโทวราห์ ไปเป็น ผบ.นรด. แล้ว พลตรีอภิรัชต์ เป็นพลโท แม่ทัพน้อยที่ 1
 
ที่น่าสนใจคือ มีการจัดสูตรห้าเสือ ทบ. คือบิ๊กโชย พลโทกัมปนาท รุดดิษฐ์ แม่ทัพภาค 1 ที่ต้องขึ้นเป็น ผช.ผบ.ทบ. ก่อนเกษียณกันยายน 2559
 
แต่ที่กำลังเม้าธ์กันใน ทบ. เวลานี้ เกี่ยวกับ 2 แคนดิเดต ผบ.ทบ. กับบุคลิกที่แตกต่าง เพราะในขณะที่ พลเอกธีรชัย มาแรง หลังมีข่าวว่า พลเอกประวิตร ได้กระซิบบางอย่างที่ทำให้ พลเอกธีรชัย น้องรักสายบูรพาพยัคฆ์พันธุ์แท้ มั่นใจว่าจะได้เป็น ผบ.ทบ. ก็ปรากฏท่าทีที่ขึงขังของบิ๊กหมู พลเอกธีรชัย และนายทหารรอบกาย ที่ดูจะเตรียมตัวเป็น ผบ.ทบ.
 
จนเกิดวาทะที่เรียกว่า คล้ายๆ เป็น “ฮ่องเต้น้อย” หรือ เสมือนเป็น ผบ.ทบ. อีกคน ทั้งนี้อาจเพราะว่า พลเอกธีรชัย เป็นเพื่อนเตรียมทหาร 14 ของบิ๊กโด่ง พลเอกอุดมเดช สีตบุตร ผบ.ทบ.คนปัจจุบัน ด้วยนั่นเอง
 
รวมทั้งมีข่าวคราวออกมาว่า พลเอกธีรชัย มีแผนในการจัดวางตัวตำแหน่งต่างๆ ในกองทัพบกไว้แล้ว จนถึงระดับผู้บังคับการกรมเลยทีเดียว
 
แต่สายข่าวใน ทบ. สะกิดว่า อย่ามองข้ามบทบาทของ พลเอกอุดมเดช ที่แม้ว่าจะต้องฟัง พลเอกประยุทธ์ และ พลเอกประวิตร ก็ตาม แต่ พลเอกอุดมเดช ก็มีความเป็นตัวของตัวเอง และเป็นคนที่แข็งพอสมควร
 
ฟันธงกันว่า พลเอกอุดมเดช จะเสนอชื่อ พลเอกปรีชา เป็น ผบ.ทบ. มากกว่าที่จะเสนอชื่อ พลเอกธีรชัย ตามที่ พลเอกประวิตร ต้องการ เพราะเรียกได้ว่า แม้จะเป็นเพื่อนเตรียมทหาร 14 ด้วยกัน แต่พลเอกอุดมเดชและพลเอกธีรชัย ก็เดินกันมาคนละทาง จนถูกมองว่ามีรอยร้าวในใจกันอยู่จากหลายเรื่องในอดีต
 
พลเอกอุดมเดช เสนอชื่อ พลเอกปรีชา เพื่อให้ พลเอกประวิตร ไปเปลี่ยนเอาเองในระดับข้างบน ซึ่งจุดนี้เองที่อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ พลเอกปรีชา ขึ้นเป็น ผบ.ทบ. อย่างชอบธรรม เพราะได้รับการเสนอชื่อแบบที่ พลเอกประวิตร ก็ไม่กล้าจะหัก หรือนำเข้าโหวตในคณะกรรมการ 7 เสือกลาโหม ตาม พ.ร.บ.กลาโหม ปี 2551
 
ในเวลานั้น ใครจะโจมตี พลเอกประยุทธ์ ว่าดันน้องชายเป็น ผบ.ทบ. ก็ไม่ได้ หากพลเอกอุดมเดช ผบ.ทบ. คนปัจจุบัน เป็นคนเสนอชื่อขึ้นมา
 
เมื่อนั้น ก็ต้องจับตามองว่า พลเอกประยุทธ์ และ พลเอกประวิตร จะตกลงใจอย่างไร เพราะลึกๆ แล้ว พลเอกประยุทธ์ เองก็คงต้องการ ผบ.ทบ. ที่ไว้วางใจได้หมื่นเปอร์เซ็นต์ อย่างน้องชาย มากกว่า พลเอกธีรชัย ที่ก็เป็นนายทหารที่แข็งๆ ไม่น้อย แบบที่เรียกว่าคุมไม่ได้
 
หรือว่าเป็น ผบ.ทบ. ที่ พลเอกประวิตร คุมได้ หรือสายตรง พลเอกประวิตร แต่ไม่ใช่สายตรงของ พลเอกประยุทธ์ นั่นเอง

 
นี่เป็นจุดเปลี่ยนที่จะเกิดขึ้นในโค้งสุดท้าย ที่ราวเดือนสิงหาคม ก็คงจะชัดเจนแล้วว่าใครจะเป็น ผบ.ทบ. และตำแหน่งหัวๆ ของเหล่าทัพ เช่น ปลัดกลาโหม, ผบ.สส. และ ผบ.ทร. กันแล้ว
 
การที่ พลเอกธีรชัย ถูกมองว่าเป็นเต็งหนึ่ง และคนใน ทบ. เชื่อมั่นว่าจะขึ้นเป็น ผบ.ทบ. แน่นอนนั้น ไม่ค่อยจะเป็นการส่งผลดีต่อตัว พลเอกธีรชัย นัก เพราะจะทำให้กลายเป็นเป้าสายตา
 
ขณะที่ตอนนี้ พลเอกปรีชา ดูสบายๆ ตามประสานายทหารบ้านนอก ไม่กดดันอะไรมาก และพยายามทำให้บรรยากาศใน ทบ. เป็นไปตามปกติ โดยเฉพาะเมื่อต้องออกงานพร้อมกับ พลเอกธีรชัย
 
ดังนั้น เก้าอี้ ผบ.ทบ. จึงยังไม่มีอะไรแน่นอน แม้พลเอกธีรชัย จะเต็งหนึ่ง แต่นายทหารสายจันทร์โอชา เชื่อมั่นว่าในที่สุด เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ โดยที่ พลเอกอุดมเดช จะเป็นตัวแปรสำคัญว่าเสนอชื่อใครเป็น ผบ.ทบ. แทน แถมกองเชียร์ของแต่ละคนก็เริ่มทำหน้าที่กันแล้ว
 
โผทหารโผนี้จึงน่าจับตามอง ว่าอาจมีรายการแหวกธรรมเนียมอยู่บ้าง ไม่ใช่แค่ของ ทบ. แต่รวมถึงของ ทร. ด้วย ที่อาจจะคิดใหม่ทำใหม่ มี ผบ.ทร. ที่จบนอก เป็นคนแรก อย่างบิ๊กยุ้ย พลเรือเอกณรงค์พล ณ บางช้าง ผช.ผบ.ทร. ที่จบจาก ร.ร.นายเรือเยอรมนี
 
อีกทั้งในเวลานี้ ผบ.ทอ. ก็จบนอก อย่างบิ๊กตู่ พลอากาศเอกตรีทศ สนแจ้ง ที่ก็จบจาก ร.ร.นายร้อยรวมเหล่าเยอรมนี มาตั้งแต่ปีที่แล้ว
 
แม้ว่าก่อนหน้านี้ บิ๊กต้อม พลเรือเอกอมรเทพ ณ บางช้าง พี่ชายของ พลเรือเอกณรงค์พล จะเคยพลาดเก้าอี้ ผบ.ทร. เพราะจบ ร.ร.นายเรือเยอรมนี มา แล้วเกษียณที่ รอง ผบ.สส.
 
 
แต่มาตอนนี้เขาก็จะช่วยสานฝันของตระกูล ณ บางช้าง ดันน้องชายให้เป็น ผบ.ทร. อีกทั้งเพื่อเป็นการปลดแอกกองทัพเรือให้หลุดจากเรื่องนักเรียนนอก เนื่องจาก ทร. จะต้องเปลี่ยนโฉมหน้าไปสู่ความเป็นสากลมากขึ้น ยิ่งหากมีเรือดำน้ำ
 
เพราะท่าที่ของ พลเอกประยุทธ์ นายกฯ นั้น ก็สนับสนุนให้ ทร. มีเรือดำน้ำ เพราะมีความจำเป็นในการดูแลเส้นทางทางทะเล และเพื่อป้องปรามและทำให้ประเทศอื่นเกรงใจ ดังนั้น โอกาสที่ ทร. จะได้เรือดำน้ำจีน 3 ลำ 3.6 หมื่นล้าน ก็มีสูงขึ้น
 
นั่นย่อมหมายถึงโอกาสที่ พลเรือเอกณรงค์พล ประธานคณะกรรมการเรือดำน้ำ จะได้เป็น ผบ.ทร. ก็มีสูงมากด้วย เพราะต้องมาจัดระบบของ ทร. ใหม่ พร้อมรับเรือดำน้ำที่จะเข้าประจำการในอีก 6 ปีข้างหน้า
 
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ พลเรือเอกไกรสร จันทร์สุวานิชย์ ผบ.ทร. ต้องดึง พลเรือเอกณรงค์พล จากรอง เสธ.ทหาร บก.กองทัพไทย มาเป็น ผช.ผบ.ทร. ในโยกย้ายเมษายนที่ผ่านมา นั่นเอง และต้องไม่ลืมว่าเขาเป็นเพื่อนรักเตรียมทหาร 13 กับ พลเรือเอกอมรเทพ พี่ชายของบิ๊กยุ้ย ด้วย
 
แต่กระนั้น คนในกองทัพเรือ ก็ไม่ได้มองข้ามบิ๊กณะ พลเรือเอกณะ อารีนิจ เสธ.ทร. เพราะหากเป็นสูตรอำนาจประนีประนอม คือให้ พลเรือเอกณรงค์พล รุ่นพี่ ตท.14 ขึ้นเป็น ผบ.ทร. ก่อนหนึ่งปี เพราะเกษียณกันยายน 2559 จากนั้น พลเรือเอกณะ ก็เป็น ผบ.ทร. ต่อ เพราะเกษียณกันยายน 2559
 
 
แต่อย่าลืมว่า พลเรือเอกณะ นั้นก็เป็นสายวงษ์สุวรรณเหมือนกัน เพราะก็เป็นนายทหารเรือไม่กี่คนที่มาช่วยงานมูลนิธิป่ารอยต่อฯ ของ พลเอกประวิตร และเข้านอกออกในบ้าน ร.1 รอ.ของบิ๊กป้อม ได้ด้วย
 
เพราะ พลเรือเอกณะ ก็เป็นนายทหารที่ทำงานดี ตรงไปตรงมา เคยผ่านตำแหน่งสำคัญมาหลายตำแหน่ง รวมทั้ง ผบ.กองเรือทุ่นระเบิด เจ้ากรมสรรพาวุธ ทร. และเป็น ผช.ผบ.ทร. และเป็น เสธ.ทร. เป็นแกนนำของ ตท.15
 
แต่อย่างไรก็ตาม มีการเล็งๆ นายทหารเรือที่จะขึ้นมาเป็นห้าฉลามทัพเรือกันไว้แล้ว ไม่ว่า พลเรือเอกณรงค์พล หรือ พลเรือเอกณะ จะเป็น ผบ.ทร. ก็ตาม พลเรือเอกไกรสร ก็ได้เล็งๆ พลเรือเอกพัลลภ ตมิศานนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทร. เป็น เสธ.ทร. เพราะนอกจากจบนายเรือเยอรมนี เหมือนพลเรือเอกณรงค์พล แล้ว ก็เป็นเตรียมทหาร 15 เพื่อนพลเรือเอกณะ ด้วย
 
ส่วนในห้าฉลามนั้น มีชื่อทั้งบิ๊กเผือก พลเรือเอกอนุทัย รัตตะรังสี เป็นที่ปรึกษาพิเศษ ทร. (ตท.15) พลเรือเอกไกรวุธ วัฒนธรรม (ตท.16) ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทร. บิ๊กนิกส์ พลเรือโทพงษ์เทพ หนูเทพ (ตท.16) ผบ.ร.ร.นายเรือ และ พลเรือโทสุชีพ ชนไมตรี (ตท.17) ขึ้นเป็น ผบ.กองเรือยุทธการ
 
นี่เป็นยุคของการปฏิรูปกองทัพ คิดใหม่ทำใหม่ มีการทำแผนแม่บทกระทรวงกลาโหม ใหม่ ทำแผนพัฒนากองทัพ พัฒนาศักยภาพกำลังรบใหม่ จึงอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการคิดใหม่ทำใหม่ หรือทำแปลก ก็ได้ 
 
ดังนั้น โผโยกย้ายทหารใหญ่ที่กำลังจัดกันอยู่ในเวลานี้ จึงเป็นที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง ว่าจะแหวกธรรมเนียม หรือพิสดาร ให้เข้ากับสถานการณ์ที่ไม่ปกติ ขนาดไหน

เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์