ฮอ นัม ฮงเดือดผู้นำของไทย ค้านขึ้นทะเบียนพระวิหาร อัดโง่เขลา

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ให้สัมภาษณ์ เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน ถึงการจะเดินทางไปเยือนกัมพูชา วันที่ 27 มิถุนายนนี้ 

มีการนัดหมายกับสมเด็จฯฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ไว้แล้ว และความจริงแล้วตนต้องร่วมคณะไปกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่เกิดไม่สบาย จึงต้องเดินทางไปพร้อมกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม


ทั้งนี้ นายสุเทพกล่าวว่า ไม่ได้ตั้งใจไปพูดคุยเรื่องที่ไทยคัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ต่อที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก

แต่ไปชี้แจงข้อเท็จจริงเพราะการคัดค้านไม่ใช่ปัญหาระหว่างไทยกับกัมพูชา แต่เป็นเรื่องระหว่างไทยกับองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) เมื่อถามถึงความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ชายแดน ที่ไทยและกัมพูชาส่งทหารไปประจำการหรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า เท่าที่รู้จักสมเด็จฯฮุนเซน ไม่ปรารถนาให้เกิดความขัดแย้ง เพราะเป็นเพื่อนบ้านกัน และต้องรอดูว่า หลังจากที่ได้คุยกับสมเด็จฯฮุน เซน แล้วจะเกิดผลอย่างไร


เมื่อถามว่า นายฮอ นัม ฮง รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ให้สัมภาษณ์โจมตีและมีท่าทีที่ไม่พอใจไทย นายสุเทพกล่าวว่า "อย่าไปวิจารณ์เลย เพราะความคิดและความเห็นแต่ละคนไม่เหมือนกัน ผมจึงเลี่ยงที่จะไม่พูดความเห็น และเลือกที่จะพูดความจริงมากกว่า"

ด้านพ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานกรรมาธิการ (กมธ.) การทหาร สภาผู้แทนราษฎร

แถลงข่าวที่รัฐสภา เรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนวิธีการทางการทูตกับกัมพูชาว่า ช่วงที่นายอภิสิทธิ์ เดินทางเยือนกัมพูชา ไม่ได้พูดคุยเรื่องปราสาทพระวิหาร แต่ต่อมานายกฯได้ส่ง นายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไปสเปน เพื่อคัดค้านการขึ้นปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ตรงนี้ถือเป็นการหักหน้ารัฐบาลกัมพูชา จึงทำให้ผู้นำของกัมพูชาออกมาตอบโต้อย่างหนัก โดยบอกว่าพร้อมจะเผชิญหน้าทางทหารกับไทย ตรงนี้ถือเป็นการดำเนินการวิธีการทางการทูตที่ผิดพลาด เกรงว่าจะนำพาประเทศเข้าสู่ภาวะสงคราม 


ด้านหนังสือพิมพ์ภาษากัมพูชา รายงานการให้สัมภาษณ์ของ นายฮอ นัม ฮง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชาที่ระบุว่า รัฐบาลกัมพูชารู้สึกเสียใจอย่างยิ่งที่หลังการให้การต้อนรับนายกรัฐมนตรีไทยอย่างดีและอบอุ่นเป็นกันเอง เพียงไม่กี่วันกลับมีประเด็นปราสาทพระวิหารขึ้นมาอีก

"ไม่เข้าใจว่าการที่ผู้นำระดับสูงของไทยอ้างว่า การขึ้นทะเบียนมรดกโลกก่อให้เกิดปัญหาในความพยายามที่จะแก้ไขปัญหาชายแดนระหว่างกันนั้น เป็นการพูดเพราะไร้การศึกษา โง่เขลาเบาปัญญา หรือต้องการจุดประเด็นปัญหากันแน่ เพราะการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารนั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับปัญหาสองประเทศเลย มันเป็นเรื่องวัฒนธรรมเพื่อมนุษยชาติล้วนๆ"  นายฮอร์ นัม ฮง กล่าว และว่า หากจุดยืนของรัฐบาลไทยเป็นเช่นนี้ การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมกัมพูชา-ไทย (เจบีซี) ในอนาคตเพื่อแก้ปัญหาชายแดนจะมีประโยชน์อะไร และจะหวังอะไรได้อีก

ขณะที่นายซก อาน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางไปร่วมประชุมคณะกรรมการมรดกโลกที่เมืองเซบีญา ประเทศสเปน

ไม่เชื่อว่าคณะกรรมการมรดกโลกจะเชื่อคำร้องของไทยหรือเห็นชอบกับการกระทำของไทยที่เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง และยังเป็นเพียงการนำข้อกล่าวอ้างเดิมที่เคยนำมาใช้ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งทางยูเนสโกก็ไม่ได้ให้ความสนใจ
ด้านสำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า การประชุมสมัยสามัญครั้งที่ 34 ของคณะกรรมการมรดกโลกเริ่มขึ้นแล้วอย่างเป็นทางการที่เมืองเซบีญา ประเทศสเปน โดยการประชุมครั้งนี้มีการพิจารณาเพื่อการขึ้นทะเบียนมรดกโลกใหม่อีก 27 แห่ง อาทิ ภูเขาสุไลมาน-ตู ในคาซักสถาน และซากปรักหักพังโลโรเปนีในบูร์กินาฟาโซ ขณะที่ปัจจุบันมีสถานที่ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแล้วทั้งสิ้น 878 แห่ง ใน 145 ประเทศ โดยในจำนวนนี้มี 30 แห่ง ที่ได้รับการระบุว่า เป็นมรดกโลกที่ตกอยู่ในอันตรายอันเนื่องจากมลภาวะ การพัฒนาเมือง การบริหารจัดการด้านการท่องเที่ยวที่ไร้ประสิทธิภาพ สงคราม และพิบัติภัยธรรมชาติ

"การประชุมครั้งนี้อาจมีการบรรจุรายชื่อของมรดกโลกอีก 2 แห่งในฝรั่งเศส เพิ่มเข้าในบัญชีมรดกโลกที่อยู่ในอันตราย คือ เมืองบอร์กโดซ์ ที่กำลังมีการก่อสร้างสะพาน และถ้ำลาส์โกซ์ ซึ่งมีภาพเขียนยุคก่อนประวัติศาสตร์ ที่ถูกคุกคามจากเชื้อแบคทีเรีย รวมทั้งจะพิจารณารื่องการถอดถอนสถานะมรดกโลกของเมืองเดรสเดน ในเยอรมนี ที่ท้องถิ่นประกาศเดินหน้าสร้างสะพานใหม่ขึ้นใจกลางเมือง ทั้งที่เจ้าหน้าที่ของยูเนสโกได้ท้วงติงแล้วว่าเป็นการทำลายทัศนียภาพของเมืองก็ตาม" สำนักข่าวต่างประเทศระบุ และว่า ก่อนหน้านี้คณะกรรมการมรดกโลกเคยเพิกถอนสถานะมรดกโลกเพียงแห่งเดียวเท่านั้นในปี 2550 คือเขตสงวนพันธุ์สัตว์ป่าอาราเบียน ออริกซ์ ซึ่งเป็นละมั่งพันธุ์ที่หายากที่สุดในโลกเนื่องจากใกล้สูญพันธุ์แล้ว ในประเทศโอมาน หลังจากที่จำนวนละมั่งในพื้นที่ดังกล่าวลดลงถึงกว่าร้อยละ 90


เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์