อัปยศ! นายกฯ ผิดคำถวายสัตย์-มารยาททราม ทำประเทศเสื่อม

อัปยศ! นายกฯ ผิดคำถวายสัตย์-มารยาททราม ทำประเทศเสื่อม

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 25 มีนาคม 2549 23:06 น.

น.ต.ประสงค์ ชี้ ทักษิณ ผิดคำถวายสัตย์ฯ รับตำแหน่งทุกข้อ เข้าข่ายโกหก ในหลวง เป็นตัวการจุดไฟใต้ตัวจริง ลงตำแหน่งเมื่อไหร่กลายเป็นอาชญากรแน่ อดีตทูต แฉ แม้ว ทำอัปยศ ไร้มารยาทการทูตแต่หวังสูงอยากเป็นผู้นำระดับโลก เยือนต่างประเทศทำภารกิจส่วนตัวโทร.สั่งซื้อหุ้นในรถระหว่างเดินทางพบผู้นำญี่ปุ่น

เมื่อเวลา 20.40 น. นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ส.ว.กทม. พร้อมด้วย น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีต รมว.ต่างประเทศ และอดีตเลขาธิการสภาความมั่งคงแห่งชาติ (สมช.) นายอัษฎา ชัยนาม อดีตทูตอาวุโส และนายกษิต ภิรมย์ อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ขึ้นเวทีปราศรัยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพื่อร่วมเสวนาเรื่องความมั่นคงและการต่างประเทศในยุคทักษิณ

ผิดคำถวายสัตย์ฯ ทุกข้อ

นายเจิมศักดิ์ เปิดเวทีโดยการตั้งประเด็นถาม น.ต.ประสงค์ ว่า ท่านเคยถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือไม่ ครม.และนายกฯ ทุกคนต้องถวายสัตย์ฯ ตามมาตรา 205 ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ว่า ข้าพระพุทธเจ้า ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ คุณทักษิณได้ทำตามที่ปฏิญาณหรือไม่

น.ต.ประสงค์ กล่าวว่า ก่อนอื่นขอเรียนว่า คุณทักษิณ ชินวัตร เคยถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หลายครั้งหลายหน ใครก็ตามที่เข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีหรือนายกฯ จะต้องถวายสัตย์ฯ ต่อพระองค์ท่านทุกครั้งก่อนเข้าปฏิบัติหน้าที่ เพราะฉะนั้น คุณทักษิณเคยถวายสัตย์ฯ มาก่อนหน้านี้ตั้งแต่เป็น รมว.ต่างประเทศ รองนายกฯ และนายกฯ ในปี44 แล้วเคยปรับ ครม.ทุกครั้งที่มีการปรับ ครม. ทักษิณต้องนำ ครม.ที่ปรับเข้ามาไปถวายสัตย์ฯ พร้อมกับคุณทักษิณอีกครั้ง และปี 48 คุณทักษิณก็ถวายสัตย์ฯ ในฐานะนายกฯ อีกครั้ง เพราะฉะนั้น ถ้าจะกล่าวว่าคุณทักษิณถวายสัตย์ฯ มาไม่ต่ำกว่า 7-8 ครั้ง คำถวายสัตย์ฯ ผมจำได้ เพราะที่ผมได้ถวายสัตย์ฯ เป็นสิ่งที่ผมจะต้องจารึกไว้ตลอดชีวิต ผมจะโกหกต่อพระเจ้าอยู่หัวไม่ได้ ผมจำได้ เพราะผมไม่กล้าทำอะไรที่จะโกหกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หลังถวายสัตย์ฯ

ผมขอพูดถึงการกระทำของคุณทักษิณตามคำถวายสัตย์ทั้ง 3 เรื่อง คือ 1.จะจงรักภักดี 2.จะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประโยชน์ของประเทศ และประชาชน 3.จะรักษาและปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญทุกประการ ทั้ง 3 ข้อเมื่อแยกแยะแต่ละข้อเพื่อไม่ให้เสียเวลาขอกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า เรื่องจะจงรักภักดีนั้น จากพฤติกรรมของคุณทักษิณที่ผ่านมาครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นการจงรักภักดีที่ต่ำกว่ามาตรฐานของคนไทยที่พึงมี

อยากเรียนว่าคุณทักษิณบกพร่องในเรื่องของการถวายการจงรักภักดี จากพฤติกรรมและคำพูดหลายครั้ง โดยเฉพาะการทำตัวเสมอพระองค์ท่าน ในลักษณะหลายสิ่งหลายอย่าง โดยเฉพาะพิธีทำบุญประเทศ ซึ่งทุกท่านทราบแล้วว่าสมควรหรือไม่ ในฐานะที่ทำบุญให้ประเทศควรจะเป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯหรือผู้แทนพระองค์ น.ต.ประสงค์ กล่าว

น.ต.ประสงค์ กล่าวต่อว่า ส่วนที่คุณทักษิณ เคยพูดว่า ...หากพระเจ้าอยู่หัวทรงกระซิบข้างหูว่าทักษิณออกเถอะ ผมจะรีบกราบบังคมทูลฯ ลาทันที... นั้น คำพูดเช่นนี้เป็นคำพูดที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นกับคนที่ดำรงตำแหน่งนายกฯ เพราะการเป็นนายกฯ ไม่ใช่พ่อค้านักธุรกิจ แม้แต่พ่อค้าฯผมก็เชื่อว่าเค้าไม่กล้าจะพูดอย่างนี้

น.ต.ประสงค์ กล่าวอีกว่า เรื่องที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประโยชน์ของประเทศ และประชาชน ก่อนนี้คุณทักษิณเป็นนักธุรกิจพ่อค้า 100 เปอร์เซ็นต์ เมื่อมาเป็นผู้ปกครอง คุณทักษิณได้ทำทุกสิ่งทุกอย่างในการแก้กฎหมาย ออกกฎหมายใหม่ เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจของบริษัทในครอบครัว และใช้โอกาสต่างๆ รวมทั้งการเดินทางไปต่างประเทศ ใช้เวลาของทางราชการแอบแฝงนำเอาธุรกิจไปดำเนินการเอื้อประโยชน์การเจรจา แม้แต่การเจรจาเอฟทีเอ โดยเฉพาะกับอินเดีย บังกลาเทศ พม่า จีน ออสเตรเลีย สิ่งต่างๆ เหล่านั้นธุรกิจคุณทักษิณได้ประโยชน์ แต่เกษตรกรไม่ได้อะไรเลย

คุณทักษิณมักจะยืนยันเสมอว่าผมไม่ทุจริต แต่ผมจะบอกว่าคุณก็ไม่สุจริต คุณทักษิณ บอกว่าไม่หนีภาษี แต่ผมจะบอกว่าคุณก็เลี่ยงภาษีโดยอาศัยช่องโหว่ของกฎหมาย น.ต.ประสงค์ กล่าว

น.ต.ประสงค์ กล่าวต่อว่า ส่วนประการที่ 3 จะรักษาและปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญทุกประการ คุณทักษิณใช้รัฐธรรมนูญในมาตราที่จะเอื้อประโยชน์ต่อตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรียกร้องให้ผู้คนรักษากติกา รักษารัฐธรรมนูญ อย่าเว้นวรรคประชาธิปไตยรัฐธรรมนูญจะเสียหาย เลือกใช้ประโยชน์เหล่านี้เพื่อประโยชน์ตัวเอง แต่ที่ผ่านมาในการบริหารประเทศ คุณทักษิณทำลายระบอบประชาธิปไตยและหลักการหลายอย่าง จะบอกว่าทำลายรัฐธรรมนูญก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบวนการตรวจสอบ เข้าไปแทรกแซงองค์กรอิสระต่างๆ เพื่อให้ทำตามที่ตัวเองต้องการ และก็ได้เข้าแทรกแซงสื่อ ซึ่งสื่อเป็นเครื่องหมายแห่งสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ด้วยวิธีการต่างๆ ในลักษณะปิดกั้นสื่อ อย่างตอนนี้การถ่ายทอดการชุมนุมตามสื่อต่างๆ ไม่มีเลย

นายเจิมศักดิ์ ถาม น.ต.ประสงค์ว่า ตกลงมองว่าคุณทักษิณถวายสัตย์ฯ แต่ไม่ได้ทำตามเลย

น.ต.ประสงค์ กล่าวว่า อาจารย์เจิมศักดิ์ สรุปสุภาพไป แต่ผมเป็นคนไม่ค่อยสุภาพกับคนที่ไม่สุภาพ แต่ผมจะไม่สุภาพกับคนที่มากล่าวหาผู้มาชุมนุมว่าเป็นกุ๊ย คำถวายสัตย์ฯ ของคุณทักษิณ ขอเรียกว่าแต่ละข้อนั้นโกหก แล้วก็โกหกกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ

ดูถูกข้าราชการ-ตัวการจุดไฟใต้

นายกษิต กล่าวเสริมว่า ช่วงที่ผมเป็นทูตอยู่ที่กรุงโตเกียว ก็ได้ต้อนรับคุณทักษิณ ซึ่งขณะนั้นไปเยือนญี่ปุ่น ในระหว่างที่นั่งรถกำลังจะเดินทางไปพบนายโคอิซูมิ นายกฯญี่ปุ่นด้วยกันนั้น ผมก็ได้ยินคุณทักษิณรับโทรศัพท์สั่งซื้อหุ้น ผมได้ฟังก็ตกใจมากจนอยากจะอาเจียน ผมก็ต้องซื่อสัตย์ต่อคำปฏิญาณขณะไปรับตำแหน่งทูต ดังนั้น คงจะไม่สามารถมาโกหกเรื่องเหล่านี้ต่อหน้าประชาชนได้

นายกษิต เปิดเผยด้วยว่า ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตมักถูกชาวต่างประเทศถามอยู่ตลอดเวลา ว่าเหตุใดคนไทยจึงรักและบูชาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นอย่างยิ่ง ผมตอบว่า ทุกลมหายใจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นั้นเพื่อประชาชนชาวไทย ทุกอณูของแผ่นดินไทย ท่านทรงรู้จัก วิถีชีวิตประจำวันของพระองค์นั้นเรียบง่าย ไม่มีความฟุ่มเฟือยใดๆ เลย

จึงนำมาซึ่งคำถามที่ว่า ความสูงส่งและงดงามของการมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงมีพระจริยวัตรอันงดงามและเป็นที่รักของประชาชน กับปัญหาการคอร์รัปชัน อุ้ม ฆ่า และใช้อำนาจในทางมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐนั้น อยู่ร่วมในสังคมเดียวกันได้อย่างไร

นายอัษฎา กล่าวเสริมว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสนพระทัยกับคณะทูตเป็นอย่างมาก เพราะเป็นผู้แทนของพระองค์ในประเทศต่างๆ เมื่อมีโอกาสได้เข้าเฝ้าฯ ก็ทรงมีรับสั่งด้วยในหลายๆ เรื่อง แต่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณกลับไม่ให้ความสำคัญ และเวลาจะเปลี่ยนผู้แทนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เปลี่ยนตามใจนึก สามเดือนหกเดือนนึกจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน

ทั้งนี้ นายอัษฎากล่าวถึงกรณีที่ถูกนายกฯ ตำหนิว่าทำไม่ถูก เพราะเรื่องการทูตไม่ใช่เรื่องที่ควรพูดในที่สาธารณะ จากการขึ้นปราศรัยบนเวทีเมื่อวันที่ 15 มี.ค. ว่า รัฐบาลล้าหลังเป็นร้อยปี สมัยนี้การทูตเป็นการทูตที่รัฐต้องรับผิดชอบต่อประชาชน มีอะไรต้องบอกต้องรายงานต่อประชาชน ไม่ใช่ทำอะไรผิดแล้วปิดบัง ยุคนี้เขาลืมไปว่าเขาได้ขึ้นมาเพราะพวกท่านทั้งหลาย เพราะระบอบประชาธิปไตย เขาจึงต้องรับผิดชอบต่อท่านไม่ใช่เป็นนายท่าน

นายเจิมศักดิ์ถามถึงประเด็นปัญหาการอุ้มฆ่า และฆ่าตัดตอนในภาคใต้ ซึ่ง น.ต.ประสงค์ ระบุว่า สถานการณ์ภาคใต้ไม่สงบมานานก็จริง แต่ปะทุขึ้นอีกในยุครัฐบาลทักษิณ เริ่มจากเหตุการณ์วางระเบิดสถานีรถไฟหาดใหญ่ เมื่อวันที่ 7 เม.ย. 2544 ทักษิณบินด่วนไปหาดใหญ่ เรียกประชุมและด่าว่าข้าราชการว่าระบบราชการไทยล้าสมัย ข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่ใช้ไม่ได้ เพียงโจรกระจอกหรือโจรห้าร้อยเพียงไม่กี่คนยังเอาไม่อยู่ ในที่ประชุมนั้นบอกว่า ให้เวลาจับโจรกระจอก 2 เดือนต้องจับให้ได้ แก้ไขปัญหาภาคใต้ให้เร็วที่สุด แม้จะใช้กำลังเท่าไหร่ก็บอกมา

น.ต.ประสงค์ ระบุว่า มีนายทหารระดับรองแม่ทัพภาคคนหนึ่งกล่าวทักท้วงคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำให้นายกฯ โกรธมาก ภายหลังจึงได้สั่งย้ายให้มาประจำอยู่ที่กรุงเทพฯ แล้วส่งเพื่อเตรียมทหารรุ่น 10 ของตัวเองลงไปเป็นรองแม่ทัพแทน แม่ทัพแทบไม่มีหน้าที่ เพราะทักษิณสั่งตรงไปยังเพื่อนที่เป็นรองแม่ทัพภาคที่ 4 ซึ่งเป็นต้นเหตุให้เกิดการปล้นปืน อุ้ม ฆ่า ตามนโยบายปราบปรามยาเสพติด เพราะเขาไม่ฟังข่าวกรอง รองแม่ทัพภาค 4 จะเป็นคนรายงานข่าวต่างๆ ในลักษณะเอาใจทักษิณ เหตุการณ์ก็บานปลาย

รายงานข่าวในลักษณะเอาใจนายกฯ นำมาสู่การสั่งยุบหน่วยงานในพื้นที่ต่างๆ แล้วส่งตำรวจลงไปจัดการปัญหาแทนทหาร เมื่อตำรวจลงไปประจวบกับการปราบปรามยาเสพติด ซึ่งแหล่งข่าวที่ชี้ว่าเจ้าหน้าที่คนไหนค้ายาก็ถูกอุ้มถูกฆ่า ญาติพี่น้องเขาก็ไม่พอใจ เหตุการณ์จึงบานปลายกลายเป็นปัญหาภาคใต้ ... ขอบอกว่าตัวที่ทำให้ปัญหาภาคใต้รุนแรงถึงทุกวันนี้ คือ ทักษิณ ชินวัตร

ไร้มารยาททางการทูต-เพ้อฝันเป็นผู้นำระดับโลก

ส่วนความสัมพันธ์กับประเทศมาเลเซียนั้น น.ต.ประสงค์ ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกฯ ที่น่าอับอายที่สุดในวงการการทูต เพราะไปตำหนิผู้นำรวมถึงเจ้าหน้าที่ประเทศมาเลเซีย ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับมาเลเซียเสื่อมโทรมลงตามลำดับ

นายกฯ มาเลเซียคนนี้ คืออดีตรัฐมนตรีต่างประเทศในสมัยที่ผมเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เป็นคนอ่อนน้อม สุภาพ สุขุม และรักชาติบ้านเมือง และเป็นคนไม่เคยโกหกประชาชนของเขา ท่าน (อาหมัด) บาดาวี สอบถามมาทางผมว่า นายกฯ คุณเป็นอย่างไร เคยเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศแต่ไม่ซึมซับบทบาทหน้าที่ทางการเมืองระหว่างประเทศเลย ผมไม่รู้จะตอบยังไง ก็บอกให้โทร.ไปหาทักษิณสิ เขาก็บอกว่า เสียค่าโทรศัพท์

นายอัษฎา กล่าวเสริมว่า เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว มีการประชุมระหว่างอาเซียนกับสหประชาชาติ ประธานที่ประชุมมี 2 คน คือฝ่ายเลขาฯ ยูเอ็น นายโคฟี อันนัน ส่วนฝ่ายอาเซียนคือบาดาวี นายกฯ มาเลเซียซึ่งตอนนั้นเป็นประธานอาเซียน เวลานายกฯ ทักษิณมีสุนทรพจน์กล่าวในที่ประชุม ก็กล่าวถึงเลขาฯ ยูเอ็นคนเดียว ไม่กล่าวถึงนายกฯ มาเลย์ในฐานะประธานร่วม เราละเลยไม่สนใจเขา เป็นการตบหน้าเขาทางการทูต

ตอนนั้นเรากำลังมีปัญหากับมาเลเซีย หลังจากนั้นบาดาวีต้องการพบทักษิณเพื่อคุยทวิภาคี แต่ทักษิณกลับไม่ต้องการพบเขาเสียเฉยๆ อันนี้แปลกไหม ทั้งๆ ที่เขาก็ขอมา แต่ท่านไม่ยอมพบ

ด้าน นายกษิต ระบุว่า มีผู้หลักผู้ใหญ่ของไทยหลายคนพยายามปิดทองหลังพระ ไม่ว่าจะเป็นนายอานันท์ ปันยารชุน หรือ ม.ร.ว.เกษมสโมสร เกษมศรี ที่ต่างเดินทางไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์ เพื่อพยายามฟื้นฟูความสัมพันธ์ไทย-มาเลเซีย ที่เสียหายไปเพราะคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

ทั้งนี้ นายอัษฎา และนายกษิตเชื่อว่าส่วนหนึ่งของปัญหามาจากนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีต่างประเทศของไทยในขณะนั้นมัวแต่ประจบประแจง สร้างภาพ โดยไม่ได้ใส่ใจกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างแท้จริง

นายอัษฎา ยอมรับว่า ในช่วงแรกๆ เขาเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีศักยภาพที่จะเป็นผู้นำของภูมิภาคได้เพราะเป็นคนที่มีความคิดริเริ่มใหม่ๆ แต่ต่อมาความเพ้อฝัน หลงลมคนขี้ประจบ และการใช้อำนาจข่มขู่ประเทศอื่นๆ รวมถึงความไร้ฝีมือทางการทูตก็ทำให้ต้องขัดขาตัวเอง แล้วท่านก็เพ้อฝัน อย่างที่ตั้งเอซีดี (กรอบความร่วมมือเอเชีย) ขึ้นมาส่วนหนึ่งเพราะอยากเป็นผู้นำ ใช้ประเทศเหล่านี้เสริมตัวเอง ใช้เป็นสะพานของท่านเชื่อมระหว่างประเทศใหญ่ๆ ในทวีปอื่นเข้ากับเอเชีย เช่น เชื่อมจีนกับสหรัฐฯ ผ่านสะพานเอซีดีซึ่งเป็นสิ่งที่ท่านสร้างขึ้นมา เท่ากับประเทศใหญ่ๆ ต้องผ่านท่าน ท่านไปเสนอกับบุชว่า มีอะไรในเอเชียนะ ไอเป็นสะพานได้ ไอติดต่อให้ได้ บุชก็เงียบเฉย งง ผมว่าดีที่เราอยากทำอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ท่านลืมตัวไปเพราะมีลิ่วล้อแบบนี้ เขาคงหัวเราะลับหลัง

นายสุรเกียรติ์ก็มีความฟุ้งซ่านอยากเป็นเลขาฯ ยูเอ็น ถ้ามีคุณสมบัติคนไทยหนุนเต็มที่ แต่คนอย่างสุรเกียติ์จะทำชื่อเสียงประเทศเสียหาย มีวันหนึ่งทูตเลี้ยงที่บ้าน (นครนิวยอร์ก) แล้วสัก 4 ทุ่มถึงเวลากลับบ้านเขาก็สั่งคนรถ มีรถสองคัน รถเขากับเจ้าหน้าที่ ดึกๆ แล้วนะ ให้ไปจอดรถหน้าบ้านโคฟี อันนัน เพื่อดูว่าบ้านเลขายูเอ็นเป็นไง วันหนึ่งตัวจะได้มาอยู่ มันวิกาลแล้วยามก็ออกมาไล่ คิดว่าจะทำคาร์บอมบ์ คนที่อยู่ในรถก็เอามานินทา ด้วยความอับอายที่รัฐมนตรีต่างประเทศไทยทำอะไรฟุ้งซ่าน

เชื่อ ทักษิณ สั่งใช้กำลังกรณีตากใบ

นายเจิมศักดิ์ ถามย้อนไปถึงเหตุการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ว่า ความสัมพันธ์ของไทยกับโลกมุสลิมจะส่งผลสะเทือนต่อความมั่นคงหรือไม่ ซึ่ง น.ต.ประสงค์ระบุว่า เหตุการณ์ที่กรือเซะ 25 เมย 2547 มัสยิดกรือเซะเป็นมัสยิดที่ชาวมุสลิมเคารพนับถือของพื้นที่ เหมือนกับโบสถ์พระ ฉะนั้น การที่มีคนร้ายเข้าไปอยู่หกคนในโบสถ์และมีประชาชนอยู่อีกหลายสิบคน ได้ถูกเจ้าหน้าที่เรายิงตายหมดเลย ความรู้สึกสะเทือนใจเกิดขึ้นไม่เพียงพี่น้องมุสลิมภาคใต้ แต่เกิดกับมุสลิมทั่วโลก โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซีย มาเลเซีย

วันที่ 25 ต.ค.2547 เกิดเหตุการณ์ที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส เหตุเกิดเพราะมีชาวบ้านไปล้อมสถานีตำรวจภูธร อ.ตากใบ เพื่อขอตัวเพื่อนของเขา 5 คนคืน เพราะว่าเจ้าหน้าที่ไปจับ กล่าวหาว่าสมรู้ร่วมคิดให้โจรขโมยปืนลูกซองไป 5 กระบอก ตำรวจไม่ยอมปล่อย ชาวบ้านมาจากทุกสารทิศมาล้อมสถานีตำรวจภูธรตากใบ วันที่ 26 ทักษิณบินด่วนลงไปขณะที่มีคนชุมนุมหลายร้อยคนนับพันคน ทักษิณลงไปประชุมกับเจ้าหน้าที่แล้วกลับมาพักที่โรงแรม มีการสลายมวลชนใช้กำลังเจ้าหน้าที่ทำการอย่างโหดเหี้ยม เป็นแผ่นซีดีที่กระจายไปทั่วไม่เพียงในไทยแต่มุสลิมต่างๆ แล้วทักษิณก็เลี้ยงฉลองเจ้าหน้าที่ที่โรงแรมในนราธิวาส สองเหตุการณ์นี้มุสลิมทั่วโลกไม่พอใจ

ผมอยากจะเรียนว่า ถ้าปล่อยเจ้าหน้าที่ให้ดำเนินการควบคุมมวลชน ไม่สลายมวลชน เหตุการณ์จะไม่เกิดอย่างนั้น ทักษิณไปประชุมแล้วหารือเรื่องนี้ ต่อมาก็เกิดการสลายมวลชน ผมไม่เชื่อว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ถ้าไม่ได้รับคำสั่ง ... ถ้าทักษิณยังเป็นนายกฯ ต่อ ภาคใต้จะมีปัญหารุนแรงมากกว่านี้จนกระทั่งเอาไม่อยู่ เพราะขณะนี้การก่อการร้ายข้างนอกได้เข้ามาสนับสนุนแล้วแต่ทักษิณไม่ยอมรับ

นายอัษฎา กล่าวเสริมว่า โอไอซี (องค์การสมัชชาอิสลาม) มีสำนักงานที่สหประชาชาติด้วย เขาก็คุยบ่อยๆ แล้วก็มีทัศนะไม่ดีต่อประเทศไทย แล้วเราก็ทะเลาะกับเขา ซึ่งเป็นที่น่าแปลกใจเพราะปัญหาภาคใต้เราไม่ได้ใช้วิธีทางการทูตเลย ไม่ว่าที่สหประชาชาติ โอไอซี หรือสถานทูตที่กัวลาลัมเปอร์ ข้าราชการกระทรวงต่างประเทศไม่มีบทบาทเลย ทูตไม่มีบทบาทเลย เขามีแต่ส่งทหารเข้าไป ไปดูไปสัมภาษณ์ ที่มีบทบาทก็รัฐมนตรีที่ไร้ประสิทธิภาพชอบมารายงานเอาใจนายกฯ มีแถลงการณ์ชื่นชมตัวเอง ชมประเทศไทย ทั้งๆ ที่บางทีเป็นเรื่องไม่จริง ... ยุครัฐบาลทักษิณ ข้าราชการกระทรวงต่างประเทศที่จำเป็นต้องสัมผัสกับสื่อต้องพูดเท็จหลายครั้ง เพราะบางทีได้รับคำสั่งเข้ามา เป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจมาก ข้าราชการไม่ได้ใช้ความสามารถความเห็น รัฐบาลสั่งอย่างเดียว

ด้าน น.ต.ประสงค์ เชื่อว่า ปัญหาการอุ้มฆ่าในประเทศไทย ทั้งการวิสามัญฆาตกรรมตามนโยบายปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณทำให้มีผู้เสียชีวิตไปกว่า 2,500 ศพ ไปจนถึงการหายตัวของทนายสมชาย นีละไพจิตร ทำให้ไทยตกเป็นจำเลยของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนขององค์การสหประชาชาติ เรื่องอย่างนี้ถ้าทักษิณพ้นหน้าที่ออกไปวันไหน ขอรับรองว่า ทักษิณจะต้องกลายเป็นอาชญากรของต่างประเทศ

นายอัษฎา ทิ้งประเด็นสุดท้ายไว้ว่า ขณะนี้ประเทศไทยเป็นเจ้าของที่ดิน 11 ไร่ ซึ่งรัชกาลที่ 5 ทรงซื้อไว้ใจกลางเมืองสิงคโปร์ มีมูลค่าเป็นหมื่นๆ ล้านบาท เดิมทีที่ดินนี้อยู่ในการดูแลของกระทรวงการต่างประเทศ แต่ภายหลังสำนักนายกฯ จัดการไปดูแลเสียเอง ขณะนี้เรื่องเงียบหายไปเกือบ 2 ปีแล้ว ขอให้พี่น้องประชาชนช่วยกันจับตาดูด้วยว่ารัฐบาลจะนำสมบัติของชาติมาหาประโยชน์ส่วนตัวหรือไม่

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์