“อภิสิทธิ์” เต็งหนึ่ง แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี

ผู้สื่อข่าวรายงานวันนี้ (8 ธ.ค.) ว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ในรายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” ทางช่อง 3

ถึงประเด็นความมั่นใจในเกมการเมืองว่า สถานการณ์ทางการเมืองได้มีการแถลงข่าวไปก่อนหน้านี้แล้วและทราบว่ามีแรงกดดันจากบรรดาพรรคการเมืองและจากกลุ่มการเมืองต่างๆ พอสมควร แต่เชื่อว่าความตั้งใจที่จะพยายามนำบ้านเมืองออกจากวิกฤต จะทำภาพลักษณ์ใหม่ของประเทศเดินหน้ามากขึ้น


ต่อข้อคำถามที่ว่าขณะนี้พรรคประชาธิปัตย์ได้ในนามของกลุ่มหรือในนามของพรรค แต่เมื่อไปดูตามรายบุคคล รวมถึงบางคนที่ออกมาแถลงก็ยังพบว่ามีเสียงแปลกๆ อยู่


นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ต้องยอมรับสภาพความเป็นจริงขณะนี้มันมี ส.ส. อยู่จำนวนหนึ่งซึ่งเขาไม่มีพรรคสังกัดอยู่ จึงมีความสับสนอยู่บ้าง แต่ก็ได้ฟังจากเจตนาของเพื่อน ส.ส. และบรรดาแกนนำก็ได้มีการมาพูดคุยกัน
ส่วนคำถามที่ว่า ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนายอภิสิทธิ์ขึ้นมาได้รับการเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรี มีความกังวลหรือไม่ กับคำสบประมาทต่างๆ อาทิ ทหารอุ้มมาเป็น หรือขึ้นมายามที่บรรยากาศที่เป็นอยู่ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ถ้าจะมาจะต้องมาโดยการลงมติของสภาผู้แทนราษฎร และการมาทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามกระบวนการของประชาธิปไตย กระบวนการของรัฐสภา ซึ่งยืนยันมาตลอดให้ชีวิตการเมืองจะต้องอยู่ในกรอบของกระบวนการนี้

ส่วนข้อคำถามที่ว่า กังวลในเรื่องของสถานการณ์ปัจจุบันหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า มีความกังวล


แต่ถามว่ามีใครไม่กังวลบ้าง แต่ที่เหตุการณ์ต่างๆ มาถึงจุดนี้ ซึ่งกำลังต้องการนำบ้านเมืองออกจากวิกฤต และงานที่อยู่ข้างหน้าสำหรับรัฐบาลชุดใหม่หรือนายกรัฐมนตรีคนใหม่ทุกคนก็ยอมรับว่าหนักหนาสาหัส แต่นี้เป็นหน้าที่ของพรรคการเมือง และพรรคการเมืองจะต้องแก้ไข เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าการเมือง และระบอบประชาธิปไตยของบ้านเมืองใช้ได้



ต่อข้อคำถามที่ว่า อาจจะมีเสื้อแดงออกมา และอีกฝั่งหนึ่งก็จะออกมาประท้วงเหมือนกันนั้น หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ยังไม่สามารถประเมินหรือทราบเหตุการณ์ต่างๆ ได้

เนื่องจากยังไม่ได้เดินไปถึงจุดนั้น แต่เท่าที่ติดตามมากลุ่มเสื้อแดงสิ่งที่ต่อต้านมากที่สุดคือการรัฐประหาร ดังนั้นสิ่งที่กลุ่มเสื้อแดงต่อต้านจะไม่เป็นประเด็นถ้านายอภิสิทธิ์ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ถ้าเข้ามาทำหน้าที่เป็นรัฐบาล ก็มีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง แต่ก็ต้องเคารพสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญของคนทุกกลุ่ม


ทั้งนี้ สิ่งสำคัญหลักขณะนี้ที่คนคาดหวังคือความสามัคคี กระทำได้ทั้งการพูดถึงเรื่องเศรษฐกิจที่มีการออกมากล่าวถึงการเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมา ซึ่งจะกลับคืนมาได้ก็ต้องมีความสามัคคี


เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ไม่ว่าใครเป็นรัฐบาลจะต้องเข้าอกเข้าใจคนที่คิดไม่เหมือนตัวเอง และพยายามหาทางออก ต่อคำถามที่ว่า ภารกิจแรกที่จะขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ว่าใครก็ตาม หรือเป็นนายอภิสิทธิ์เอง จะต้องยุติความแตกแยกขัดแย้ง ต้องสร้างความสามัคคีก่อน เหมือนว่ายังไม่ทันเริ่ม ฝ่ายตรงข้ามก็ออกมาต่อต้านแล้ว ประกาศจะขัดขว้าง จะชุมนุมถึงที่สุด จะมีวิธีอย่างไรในการสร้างความสามัคคีในบ้านเมือง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า มีในใจอยู่ และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ความยุติธรรม เพราะถ้าย้อนกลับไปดูความขัดแย้งต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเมืองระดับชาติ หรือเหตุการณ์ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ลุกลามบานปลาย ลึกๆ ที่สุดคือความไม่เป็นธรรมเกิดขึ้น ดังนั้นถ้าแก้ไขตรงนี้ได้ คือจุดที่เรียกว่าหัวใจสำคัญก็จะนำไปสู่ความสงบเรียบร้อย ซึ่งต้องนำเสนอมาจากคนที่เป็นผู้นำ และนำแสดงออกถึงความเป็นธรรมให้กับทุกฝ่าย ซึ่งต่อให้เสื้อเหลืองจะเคลื่อนไหวคดีความเก่าๆ หรือเสื้อแดงจะเคลื่อนไหวคดีความใหม่ๆ หรือเก่าก็ตาม อย่างน้อยที่สุดจะต้องไม่เลือกปฏิบัติ มาตรฐานในการดำเนินการต่อทุกฝ่ายจะต้องเหมือนกัน 

ต่อข้อคำถามที่ว่า ภาวการณ์ปัจจุบันมีการชิงการจัดตั้งรัฐบาลเกิดขึ้น อำนาจต่อรองของฝั่งประชาธิปัตย์ก็จะน้อยลงจะทำให้ยากมากขึ้นหรือไม่


หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ความยากมีอยู่แน่ในสถานการณ์แบบนี้ แต่ต้องคำนึงถึงการยอมรับของสังคมไม่เช่นนั้นก็จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ส่วนคำถามที่ว่าหลายฝ่ายมีเงื่อนไขกรณีที่จะให้นายชวน หลีภัย ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่มี ซึ่งได้มีการพูดคุยกันมาหลายรอบ ก็ไม่มีการพูดถึงเรื่องดังกล่าว ถ้ามีการเสนอขึ้นมา จะมีปัญหาต่อการจัดตั้งรัฐบาลของประชาธิปัตย์หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ถ้ามีก็ไม่มีอุปสรรคใดๆ และมีทางออกรออยู่ แต่เนื่องจากมันไม่มี   

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าใครที่ได้ขึ้นนั่งนายกรัฐมนตรีในขณะนี้ ก็ต้องได้รับแรงกดดันสูง เพราะสถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ต้องการการนำที่สามารถนำไปสู่การหลุดพ้นจากสภาพปัญหาที่เรื้อรังมาหลายปี

ไม่ได้เฉพาะปัญหาเศรษฐกิจ แต่รวมถึงการเมือง ความแตกแยกในสังคมด้วย ท้ายที่สุดไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ หรือรัฐบาลชุดใดก็ตามที่จะขึ้นมาบริหารประเทศจะต้องทำให้บ้านเมืองสงบ เรียกความสามัคคีกลับคืนมา เห็นประเทศเดินไปข้างหน้าได้ และให้ปะเทศไทยได้เกียรติภูมิกลับคืนมาในเรื่องของการเป็นประธานอาเซียน

เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์