อภิสิทธิ์ ฉะ บวรศักดิ์! หยุดโชว์ด่านักการเมือง

อภิสิทธิ์ ฉะ บวรศักดิ์! หยุดโชว์ด่านักการเมือง

อภิสิทธิ์ ฉะ บวรศักดิ์! หยุดโชว์ด่านักการเมือง จวก ร่างรธน.ทำอันตรายต่อประเทศ

“มาร์ค” ตอกกลับ “ปื๊ด” เตือนความจำ รายงานพระปกเกล้า เคยถูกลากไปออกนิรโทษฯ ยัน รธน.ต้องไม่มี ม.181-182 เหตุทำลายระบบตรวจสอบ เย้ย คนชอบคือนักการเมืองโกง ชี้ ประชามติ นโยบายต้องชัดก่อน แนะ ทำเทียบรธน.ฉบับอื่น

เมื่อวันที่ 30 เมษายน ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.)


 กล่าวถึงกรณีที่นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)ยกร่างรัฐธรรมนูญ เรียกร้องให้ประชาชนช่วยกันปกป้องร่างรัฐธรรมนูญจากนักการเมืองที่ออกมาต่อต้านเพราะเสียประโยชน์ ว่า ตนอยากให้นายบวรศักดิ์ใช้เหตุผลในการแลกเปลี่ยนกับผู้ที่แสดงความเห็น ซึ่งก็แปลกใจเมื่อนายบวรศักดิ์เจาะจงในการตอบโต้ตนโดยพูดรวมถึงเรื่องอื่นด้วย เพราะสิ่งตนต้องการมากกว่าคือคำชี้แจงในสามมาตราที่เป็นอันตรายกับประเทศชาติ และไม่เกี่ยวอะไรกับผลประโยชน์นักการเมือง คือ มาตรา 181 และ182 กับการให้อำนาจคณะกรรมการปรองดองแห่งชาติเสนอพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษ ซึ่งจะเป็นช่องทางนำไปสู่ความขัดแย้ง เป็นการเขียนที่ผิดปกติ สวนทางกับคำชี้แจงของนายบวรศักดิ์ที่อ้างว่าเป็นการตราพระราชกฤษฎีกาในลักษณะทั่วไป แต่รัฐธรรมนูญที่ร่างเจาะจงให้บุคคลที่เกี่ยวข้องกับกรรมการปรองดองโดยตรง

นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า การที่เขียนให้อำนาจกรรมการปรองดอง เป็นความรับผิดชอบของ ครม.ที่ต้องนำขึ้นทูลเกล้าฯ

 ส่วนตัวมองว่าไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะกลายเป็นประเด็นสาธารณะในขั้นตอนการนำขึ้นทูลเกล้าฯ ประกอบกับการเขียนเช่นนี้ ถ้าบอกว่าเป็นเรื่องปกติก็ไม่จำเป็นต้องเขียน เว้นแต่ว่าการเสนอของกรรมการปรองดองจะไม่ทำตามแนวปฏิบัติที่เคยทำ เช่น ไม่ต้องผ่านกระบวนการยุติธรรม อภัยโทษให้กับคนที่ทุจริตคอร์รัปชั่น ทั้งนี้ยืนยันว่าแม้ไม่มีมาตรานี้ก็ไม่เป็นอุปสรรคปัญหาในการทำงานเรื่องการปรองดอง ดังนั้นขอให้นายบวรศักดิ์ตอบถึงเหตุผล ความจำเป็นเพื่อช่วยกันทำให้รัฐธรรมนูญดีขึ้น มาตรา 181 และ 182 ที่ให้อำนาจนักการเมืองที่บ้าอำนาจ ตนไม่เห็นด้วยเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับประโยชน์ของนักการเมืองแต่เป็นประโยชน์ของความเหมาะสมในการถ่วงดุลและการรักษาหลักการตรวจสอบของฝ่ายนิติบัญญัติ

“ท่านพูดเรื่องคอป.ผมก็อยากจะย้ำว่างานของคอป.และคณะกรรมการปฏิรูปที่ตั้งในสมัยผมเสร็จสิ้นหลังจากที่ผมพ้นจากตำแหน่งหรือในขณะที่ผมพ้นตำแหน่งพอดีแต่มันไม่ได้สูญเปล่ามีกระบวนการทางการเมืองที่ต่อเนื่องอยู่ เพียงแต่รัฐบาลแต่ละชุดให้ความสำคัญไม่เหมือนกัน ไม่เช่นนั้นทุกวันนี้คงไม่มีการพูดเรื่องภาษีที่ดิน พ.ร.บ.จังหวัดจัดการตนเอง สิ่งที่ผมพยายามเสนอด้วยความสร้างสรรค์ว่า ถ้าอยากทำปรองดองให้อยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม อย่าเปิดทางสร้างเงื่อนไขใหม่ จะบอกว่าผมระแวงเกินเหตหรือไม่ ผมไม่ทราบ ท่านจำได้หรือเปล่าว่าวันที่มีการพยายามลากสถาบันพระปกเกล้าไปทำเรื่องนิรโทษกรรม ผมแสดงความเห็นค่อนข้างรุนแรงว่าจะนำไปสู่กฎหมายนิรโทษกรรมที่ทำให้เกิดความขัดแย้งแล้วก็เกิดขึ้นจริง ถ้าบอกว่านั่นเป็นความระแวง ผมก็บอกว่าเป็นความระแวงที่ในที่สุดพิสูจน์ออกมาว่าสมควรระแวง” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ประเด็นที่ตนยกมานั้น ไม่ใช่ประโยชน์ของนักการเมือง ตรงกันข้ามจะเป็นประโยชน์เฉพาะนักการเมืองโกง และนักการเมืองที่บ้าอำนาจ

จะบอกว่าพรรคใหญ่ประสานเสียงกันก็ไม่จริง เพราะไม่ได้ยินพรรคไหนพูดเรื่องอภัยโทษหรือการให้อำนาจพิเศษออกกฎหมายภายใน 48 ชั่วโมง ซึ่งยืนยันได้ว่าถ้ามีบทบัญญัติแบบนี้กฎหมายนิรโทษกรรมก็คงผ่านโดยง่าย เพราะฉะนั้นกรุณาแยกแยะ เนื่องจากความน่าเชื่อถือที่จะมีต่อรัฐธรรมนูญในที่สุดอยู่ที่เหตุผลของกมธ.ยกร่างฯ ถ้าเหตุผลไม่ชัดเจนสุดท้ายงานจะสูญเปล่า ตนพูดด้วยความปรารถนาดีต่อบ้านเมืองไม่ใช่โจมตีหรือมีอคติกับผู้ร่าง แต่มีจุดอ่อนที่เป็นอันตรายเป็นหน้าที่ของผมที่ต้องท้วงติงจึงอยากให้ท่านตอบอย่างสร้างสรรค์

ส่วนกรณีที่นายบวรศักดิ์อ้างว่าหากครม.ไม่เห็นชอบหรือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่พระราชทานลงมาก็ถือว่าร่างพระราชกฤษฎีกาที่เสนอ

โดยคณะกรรมการปรองดองฯจบไปนั้นนายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า มีสองประเด็นคือ ในส่วนของครม.เขียนว่าก่อให้เกิดความรับผิดชอบต่อครม.จะมีปัญหาทางกฎหมายตามมาให้เป็นวิกฤตความขัดแย้งในประเทศอีกหรือไม่และน่าสังเกตว่าเรื่องปฏิรูปเขียนชัดว่าถ้าครม.ไม่เอาให้ประชาชนตัดสินผ่านกระบวนการประชามติแต่เรื่องนี้ไม่เขียนบอกว่าก่อให้เกิดความรับผิดชอบต่อครม.เท่านั้นจึงอยากถามว่าไม่เป็นการสร้างความขัดแย้งขึ้นหรือหากครม.ไม่ทำตาม

นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า กรณีองค์พระมหากษัตริย์อยากถามนายบวรศักดิ์ว่า สมควรแล้วหรือ


 ถ้าเป็นพระราชอำนาจที่จะให้สถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาอยู่ในวังวนความขัดแย้งทางการเมือง จึงอยากให้รับฟังเหตุผล ตนไม่ได้ตำหนิ แม้ว่าอาจมองคนละมุมแต่ไม่ควรมองข้ามเรื่องที่ตนและนักวิชาการออกมาเตือน และไม่มีพรรคการเมืองอื่นพูดเรื่องนี้เลย ซึ่งบางเรื่องอาจถกเถียงกันได้ว่าใช้แล้วจะเป็นผลอย่างไร โดยเฉพาะบทบัญญัติที่เกี่ยวกับกระบวนการทำงานทางการเมือง แต่บางเรื่องที่ตนทักท้วงหากใช้ในทางที่ผิดเพียงครั้งเดียว ความเสียหายใหญ่หลวงกว่าที่จะบอกว่าไม่เป็นไรรอหลังจากนั้นแล้วค่อยมา โดยเฉพาะเรื่องที่เปิดโอกาสให้เกิดความขัดแย้งวิกฤตในบ้านเมือง อย่าเอาประเทศไปเสี่ยง

เมื่อถามว่าในวันที่ 6 มิถุนายนนี้กมธ.ยกร่างฯจะเชิญตัวแทนจาก 10 พรรคการเมืองมาเสนอความเห็น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า

 ยังไม่ทราบเรื่องดังกล่าว เห็นแต่ที่ให้ส่งเอกสารไป ซึ่งหากมีการเชิญมาจริงตนพร้อมที่จะไปด้วยตัวเอง โดยไม่คิดตำหนิใคร เพราะเห็นใจว่าคงเครียดเนื่องจากโดนหลายทาง แต่น่าจะใช้โอกาสนี้ทำให้กระบวนการเปิดกว้างและเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ เพราะถ้าจะชวนคนทะเลาะมีคนพร้อมทะเลาะเยอะไปหมด ซึ่งก็ไม่เป็นผลดีต่อบ้านเมือง แต่แปลกใจว่าข้อท้วงติงที่เป็นเหตุเป็นผลไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์นักการเมือง ทำไมจึงใช้วิธีแบบนี้ตอบโต้ ตนจึงเป็นห่วงว่าถ้าเดินไปแบบนี้สุดท้ายรัฐธรรมนูญจะเจอปัญหาและชนวนความขัดแย้ง

เมื่อถามว่า เรื่องนิรโทษกรรมจะกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำไม่ได้ในรัฐบาลเลือกตั้ง แต่จะทำได้ในรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า นายกฯก็บอกว่าไม่ทำ แต่ถ้าร่างรัฐธรรมนูญนี้ผ่านไปก็ไม่ทราบใครจะเป็นคนได้ใช้ ได้ทำ แม้จะมีคำถามว่าสังคมผ่านวิกฤตสองปีด้วยเหตุจากการพยายามออกกฎหมายนิรโทษกรรม ทำไมเราจึงจะย้อนกลับไปสู่สถานการณ์เดิม

“อยากให้เสนอแก้ไขสามมาตราที่ผมหยิบยกขึ้นมาและอยากให้ฟังเหตุผลในเรื่องอื่นๆอย่าเอาประโยชน์นักการเมืองมาพิจารณาแต่ให้ฟังที่เหตุผลแม้จะเป็นคำพูดของนักการเมืองขอให้ห่วงการเมือง ห่วงระบบบ้านเมือง เพราะฉะนั้นอย่ามาตอบโต้อีกว่านักการเมืองมีปัญหา เพราะนักการเมืองที่โกงไม่ต่อต้านเรื่องนี้ แต่นักการเมืองที่ไม่โกงต่างหากที่ออกมาพูด ขอให้ฟังบ้าง ไม่อยากให้กลายเป็นการมาทะเลาะกันในอนาคต ผมอยากให้จบไม่ใช่มาเถียงเรื่องรัฐธรรมนูญอีก แต่เดินหน้าแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ำ ระบบสวัสดิการ รับมือกับสังคมผู้สูงอายุ และอาเซียน ไม่ใช่มาขัดแย้งเรื่องแก้รัฐธรรมนูญอีก บ้านเมืองจะได้เดินไปข้างหน้า” หัวหน้า ปชป.กล่าว

ส่วนกรณีที่นายกฯบอกว่าการทำประชามติเป็นเรื่องของกมธ.ยกร่างฯกับสปช.จะตัดสินใจนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า


คนที่มีอำนาจตามรัฐธรรมนูญคือ คสช.และครม.จะต้องเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2557 ให้มีการทำประชามติได้ก่อน แต่ต้องมีความชัดเจนเรื่องนโยบายก่อนว่าอยากให้มีประชามติหรือไม่ ถ้าอยากให้มีก็แก้กฎหมาย แต่ถ้าไม่อยากให้มีก็ต้องบอกว่าไม่อยากให้มี เพียงแต่ผู้เสนอให้ทำประชามติเห็นว่าจะช่วยลดความขัดแย้งในการใช้รัฐธรรมนูญได้ จึงอยากให้สร้างกระบวนการที่สร้างความมั่นใจว่าจะทำให้ดีเพื่อบ้านเมืองเดินหน้าได้ และตนเห็นว่าข้อเสนอที่ให้เทียบกับรัฐธรรมนูญปี 50 ยังไม่ดีก็ให้คิดทางเลือกแต่ต้องมีเป้าหมายว่าก่อนมีกติกาไปใช้เป็นกติกาที่ประชาชนยอมรับ จะได้ไม่มีข้อขัดแย้ง จึงควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใดฉบับหนึ่งไปเปรียบเทียบด้วยจะดีที่สุด เพราะตนอยากบอกว่า ไม่รีบร้อนที่จะกลับเข้าสู่อำนาจการเป็นส.ส.หรืออะไรแต่ต้องการกติกาที่ดีสำหรับบ้านเมือง

เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์