หรือว่า อภิสิทธิ์ จะวืดลุ้นเก้าอี้นายกฯ

ใครที่ตกอยู่ในสภาพเดียว


กับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในเวลานี้ คงคิดว่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ไม่ไกล เกินเอื้อม หลังจากพรรคการเมืองคู่แข่งอย่าง ไทยรักไทย ต้องถูกยุบพรรค ตามคำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญ แถมอดีตกรรมการบริหารพรรคจำนวน 111 คน ยังถูกตัดสิทธิทางการเมืองคนละ 5 ปี

ประเด็นที่สำคัญคือ

นักการเมืองบางคนที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง ห้ามลงสมัครรับเลือกตั้ง หรือมีตำแหน่งทางการเมือง อยู่ในข่ายที่จะมีโอกาสชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในอนาคต อย่างกรณีของ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ตกเป็น เป้าหมายของนักการเมืองกลุ่มต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น มัชฌิมา ธรรมาธิปไตย หรือแม้กระทั่งกลุ่มบ้านริมน้ำ ที่ต้องการดึงให้เข้ามาสู่ในเส้นทางการช่วงชิง อำนาจรัฐ

แต่การดำเนินการดังกล่าวก็ต้องยุติลง


นอกเสียจากแนวความคิดการออกกฎหมาย นิรโทษกรรม กับบรรดาอดีตกรรมการบริหารพรรค ไทยรักไทยจำนวน 111 คน จะมีการผลักดันให้มีผลบังคับใช้ได้ แต่ดูเสียงสนับสนุนในเรื่องนี้ น่าจะมีคนต่อต้านมากกว่าสนับสนุน แม้ว่าคนที่จะออกแรงผลักดันในเรื่องนี้จะเป็น พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. ในฐานะ ประธาน คมช. ก็ตาม

เพราะหลายคนเห็นว่า

ถ้าหากมีการออกกฎหมายยกเว้นความผิดกับบรรดานักการเมืองที่เคยทำงานอยู่ร่วมกับพรรคไทยรักไทย ก็จะกลาย เป็นแบบอย่างกับคนที่จะเข้ามาทำงานการเมืองในอนาคต ที่คิดว่าเมื่อ กระทำความผิดแล้ว ก็ไม่ต้องวิตกกังวลว่าจะถูกลงโทษ เพราะในที่สุดก็จะมีคนมาออกกฎหมาย มาช่วยให้รอดพ้นจากสิ่งที่ตนเองกระทำ และเป็น แบบอย่างที่ไม่ดีต่อไปในอนาคต

ดังนั้นเมื่อดูบรรยากาศทางการเมือง


และปัญหาที่เกิดขึ้นกับพรรคการเมืองที่อยู่ฝ่ายตรงข้าม หัวหน้าพรรคการเมืองที่มีอายุเก่าแก่มาก ที่สุด และเพิ่งผ่านกระบวนการตรวจสอบที่มีบทลงโทษสูงถึงขั้นยุบพรรค ไม่น่าจะมีอะไรที่เป็นอุปสรรค

จนทำให้ไม่สามารถนำพรรคไปสู่ชัยชนะในการเลือกตั้ง

แม้จะมีความเห็นของนักการเมืองอาวุโสอย่างนายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช ที่ออกมาตั้งข้อสังเกตเรื่องประสบ การณ์และบารมีที่อาจจะยังมีไม่พอ

แต่ที่น่าจะเป็นปัญหา

คงน่าจะอยู่ที่บทบาทหรือท่าทีของ อภิสิทธิ์ กับสุเทพ เทือกสุบรรณ สองแกนนำคนสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์ ในเรื่องของการประสานงานกับเพื่อนต่างพรรค

หรือแม้กระทั่งการบริหารงาน

ในองค์กรที่สมควรต้องเปิดโอกาสให้บรรดาสมาชิกได้มีบทบาทในการทำงาน อย่างเต็มที่และเท่าเทียมกัน เพราะหลังจากกลุ่มผลัดใบ ก้าวขึ้นมามีอำนาจ บรรดาสมาชิกสาย ทศวรรษใหม่ ดูจะถูกลดระดับความสำคัญไปมากพอสมควร

ประสบการณ์ในอดีตที่ผ่านมา


ก็เคยสะท้อนให้เห็นว่า คนที่อยาก มีตำแหน่งใหญ่หรือมีอำนาจ ถ้าคิดถึงแต่พวกพ้องหนทางในการประสบความสำเร็จคงยาก บทเรียนข้อนี้ก็อาจจะเป็นข้อคิดที่ทำให้ทั้งสุเทพ และอภิสิทธิ์นำกลับไปขบคิด เพื่อหาทางแก้ไขต่อไป.



ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย:

หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์