สุรยุทธ์รับชินแซทฯไม่รู้เรื่องก่อการร้าย

เมื่อวันที่ 17 ม.ค. พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีสั่งการให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที)

ตรวจสอบกรณีดาวเทียมไทยคมแพร่สัญญาณให้สถานีโทรทัศน์อัล มานาร์ เครือข่ายก่อการร้ายสากล ที่สหรัฐอเมริกาขึ้นบัญชีดำไว้ว่า กระทรวงไอซีทีได้รายงานเรื่องนี้มาแล้ว และคงเป็นอย่างที่ทางบริษัทชินแซทฯชี้แจงว่าได้มีการเปิดโอกาส ให้ทดลองแพร่ภาพออกอากาศ และทางบริษัทไม่ทราบความหมาย เพราะการออกอากาศเป็นภาษาอาหรับ แต่เมื่อทราบข้อมูลทางบริษัทได้ยกเลิกการแพร่ภาพแล้ว อย่างไร ก็ตาม ทางกระทรวงไอซีทีได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนในรายละเอียดอีกขั้นหนึ่ง หากมีการทดลองออกอากาศไม่กี่วันแล้วยกเลิก ก็ไม่น่าจะมีปัญหาในการทำงานของภาคเอกชน


พ.อ.ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) กล่าวว่า
 
ต้องดูว่าที่บริษัทไทยคมมีใครเข้ามารับสัมปทาน เจ้าของคือใคร เราไม่ สามารถสั่งปิดได้โดยตรง เพราะยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าจริงเท็จอย่างไร ทั้งนี้ เป็นเพียงการชี้แจงมาจากประเทศสหรัฐอเมริกาเท่านั้น น่าจะเป็นหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงไอซีที ที่จะต้องดูแลในเรื่องนี้ เมื่อถามว่า เรามีสิทธิที่จะเข้าไปดำเนินการกับสัญญาณได้หรือไม่ เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความมั่นคง พ.อ.ธนาธิปตอบว่า เรื่องความมั่นคงที่ผ่านมาเรายังไม่มีกฎหมายที่จะมาดูแล เพราะฉะนั้นเราทำได้ในกรอบของการประสานงานกับความร่วมมือเป็นหลัก แต่หากว่ามี พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ตรวจสอบได้ว่าเกี่ยวกับความมั่นคงมากน้อยแค่ไหน  


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันเดียวกัน กระทรวงไอซีที ได้เรียกผู้บริหารบริษัทชินแซทฯมาชี้แจงกรณีดังกล่าวจากนั้นนายสือ ล้ออุทัย ปลัดกระทรวงไอซีที กล่าวว่า

ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริงและพิจารณารายละเอียดของสัญญาสัมปทานดาวเทียมด้วย โดยมีนายวรพัฒน์ ทิวถนอม รองปลัดกระทรวงไอซีที เป็นประธาน เพื่อรายงานข้อเท็จจริงเสนอนายกฯ และนายโฆสิต ปั้น-เปี่ยมรัษฎ์ รักษาการ รมว.ไอซีที ให้รับทราบภายในวันที่ 18 ม.ค.นี้ สำหรับการชี้แจงของบริษัทชินแซทฯนั้น ได้ส่งเจ้าหน้าที่วิศวกรและนักกฎหมายมาชี้แจง พร้อมแจ้งว่าผู้บริหารระดับสูงไปสัมมนาต่างจังหวัดไม่สามารถมาชี้แจงได้ โดยเจ้าหน้าที่วิศวกรได้ชี้แจงว่าสถานีโทรทัศน์ อัล มานาร์ ได้ติดต่อขอเช่าใช้ช่องสัญญาณดาวเทียมไทยคม ไม่ทราบว่าเป็นของกลุ่มผู้ก่อการร้าย แต่เมื่อมีการแจ้งจึงได้ปิดสัญญาณทันที

ทั้งนี้ การยึดสัมปทานดาวเทียมคืนนั้นต้องพิจารณารายละเอียดของสัญญาก่อน

โดยหากบริษัทกระทำผิดสัญญาอย่างร้ายแรง ก็ต้องยึดสัมปทานคืน แต่ต้องผ่านกระบวนการฟ้องร้องซึ่งกินเวลานาน ขณะเดียวกัน กระทรวงไอซีทีจะประสานกับหน่วยงานความมั่นคงอย่างใกล้ชิด เพื่อมิให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์