สมุดปกขาวร่ายยาวแจงปฏิวัติ ฉะทักษิณเล่นพรรคเล่นพวก

"สาเหตุชนวนเหตุอันนำไปสู่การปฏิรูป"


ผู้สื่อข่าวรายงานวานนี้ (21 พ.ย.) จากสำนักงานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ถึงเอกสารข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการปฏิรูปการปกครองในประเทศไทย เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 (สมุดปกขาว) ที่จะแจกจ่ายให้แก่ประชาชนได้รับข้อเท็จจริงต่างๆ ในการทำปฏิวัติรัฐประหารของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) จำนวน 35 หน้า โดยมีสาระสำคัญสรุปถึงเหตุการณ์สำคัญที่เป็นชนวนอันนำไปสู่การปฏิรูปว่า

โดยตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลที่พึ่งถูกยึดอำนาจไป ถูกเพ่งเล็งจากสังคมอย่างหนัก และถูกกล่าวหาด้วยความเคลือบแคลงสงสัยว่า พยายามผูกขาดอำนาจ ทำลายระบบการตรวจสอบถ่วงดุล โดยการแทรกแซงครอบงำองค์กรอิสระตาม รธน. และการแต่งตั้งบุคคลเข้ารับตำแหน่งสำคัญในองค์กรอิสระ ส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจ ตลอดจนคุกคามและแทรกแซงสื่อมวลชน รวมทั้งมีการดำเนินการที่ส่อไปในทางทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง และมีผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างกว้างขวาง เป็นที่ค้างคาใจประชาชนในกรณีที่สำคัญ

"ระบุแต่งตั้งพรรคพวกให้ดำรงตำแหน่งระดับสูง"


นอกจากนี้สมุดปกขาวยังระบุถึงสภาพการเมืองก่อนวันที่ 19 ก.ย. 2549 ว่า ในช่วงหลังการบริหารประเทศในรอบแรกมาจนถึงห้วงเดือน ก.ย. 2549 เริ่มมีเสียงจากประชาชนที่แสดงถึงความสงสัยและไม่พอใจในการบริหารประเทศของรัฐบาลมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการเล่นพรรค เล่นพวก และแสวงประโยชน์ให้กับพวกพ้องและบริวารอย่างที่ไม่มีสิ้นสุด

การแต่งตั้งเพื่อนและเครือญาติให้ดำรงตำแหน่งระดับสูงในระบบราชการ ในขณะที่องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ถูกทำให้อ่อนแอเกินกว่าจะป้องกัน หรือแก้ไขปัญหาการฉ้อราษฎร์บังหลวงที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางได้ จะเห็นได้จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)คณะกรรมการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) และองค์กรหลักอีกหลายองค์กร

"ใช้อำนาจแสวงหาผลประโยชน์"


ที่สำคัญอย่างยิ่งคือไม่มีพื้นที่เหลือให้สำหรับกลไกการตรวจสอบโดยรัฐสภาอย่างมีประสิทธิภาพ ตามระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ประเด็นสำคัญอันเป็นที่คลางแคลงใจอย่างยิ่งและส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของชาติที่เป็นรูปธรรมคือการกล่าวหาว่าผู้นำประเทศได้อาศัยช่องว่างทางกฎหมาย

และใช้อำนาจทางการบริหารแสวงประโยชน์ทุกด้านให้ตนเองและญาติมิตร ทั้งที่ผู้นำประเทศน่าจะเป็นเสาหลักในการบริหารแบบมีธรรมาภิบาลและแก้ไขช่องว่างทางกฎหมายที่เอื้อต่อการแสวงประโยชน์โดยมิชอบ ทำให้ศรัทธาของประชาชนต่อผู้บริหารประเทศลดลงอย่างต่อเนื่อง


แหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์