สมคิด ปิดเกมเร็ว ถอยตั้งหลักดีกว่า พักยาว

จะเรียกว่าถอดใจ ยอมถอยออกไปตั้งหลักก่อนเรื่องจะบานปลายก็คงไม่ผิดนักสำหรับ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสมัย "รัฐบาลทักษิณ"

กับการคืนเก้าอี้ "ประธานคณะกรรมการประสานงานและกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ" ทั้งที่ได้รับการแต่งตั้งเพียงแค่ 7 วันเท่านั้น

"สมคิด" ยึดโพเดียมโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล ย้อนรอย 6 ปีของการทำงานทางด้านการเมืองตนเอง พร้อมกับชี้แจงจุดยืนทางการเมืองว่ายืนอยู่คนละมุมกับ "ทักษิณ ชินวัตร"

แถมยังทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของบ้านเมืองมาตลอด

"ผมเป็นคนของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้น ผมขอยืนยันว่าตั้งแต่เกิดการรัฐประหารวันที่ 19 กันยายน 2549 ผมไม่เคยพบกับท่าน ผมไม่เคยโทรหาท่าน ท่านก็ไม่เคยโทรหาผม ท่านมีแนวทางของท่าน ผมก็มีแนวทางของผม"

ซึ่งเป็นประเด็นที่อาจขัดแย้งกับ การทำงานในการชี้แจงแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงที่กำลังถูกแรงต้านรอบทิศ

ทั้งจากฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และกลุ่มไม่เอาทักษิณจากฝ่ายต่างๆ ที่ดาหน้ากันออกมาคัดค้านเสียงแข็ง

ถึงขั้นประกาศเตรียมเคลื่อนขบวนกลุ่มพันธมิตรในเร็วๆ นี้ เพื่อเรียกร้องให้ "พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์" นายกรัฐมตรี ปลด "สมคิด" ออก

ตั้งข้อหาที่ "สมคิด" อาจเป็นชนวนความแตกแยกในสังคมในอนาคต

พร้อมชี้ปมความไม่เหมาะสมกับตำแหน่งของ "สมคิด" ในฐานะที่เคยเป็นมือบริหารเศรษฐกิจอันดับ 1 และเป็นผู้เพาะพันธุ์ "ระบอบทักษิโณมิกส์" เองกับมือ

ไม่นับ "ผลงานชิ้นโบดำ" สำคัญๆ ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าทำลายผลประโยชน์ประเทศชาติ ไม่ว่าจะเป็น

นโยบายเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ระหว่างไทย-จีน และไทย-ออสเตรเลีย

การจัดซื้อกล้ายางของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่กำลังโดนหางเลขที่ คตส. กำลังชี้มูลความผิดไล่เช็คบิลอีกด้วย

รวมถึงข้อสังเกตว่าที่ผ่านมา "สมคิด" ไม่เคยแสดงความสำนึกผิด เสียใจ หรือมีส่วนร่วมอธิบายความผิดของ "ทักษิณ" แม้แต่ครั้งเดียว

จึงไม่ต้องแปลกใจที่ได้เห็นภาพ "สมคิด" บินด่วนจากญี่ปุ่น พร้อมกับสั่งทีมงานโทรนัดสื่อทุกแขนงตั้งโต๊ะแถลงข่าวในวันรุ่งขึ้นทันที

ภายหลังจากต่อสายหารือกับ "พล.อ.สุรยุทธ์" เพื่อขอถอนตัวจากเก้าอี้ประธานแจงเศรษฐกิจพอเพียง ขอไปช่วยงานวงนอกแทน

แจงเหตุผล "นายกฯ สุรยุทธ์" ในทำนองไม่อยากเป็นภาระให้ "รัฐบาล" และกระทบต่อความสมานฉันท์ของประเทศ

รีบถอนสมอ เซฟตัวเองแบบทันควัน หลังรู้ตัวว่ากระแสต้าน "รัฐบาลทักษิณ" ยังแรง

ขืนดื้อแพ่ง ทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาว อาจส่งผลต่ออนาคตทางการเมือง ที่กำลังจะเปิดขั้วตั้งพรรคใหม่ในเร็วๆ นี้ไปด้วย

ลำพังแค่ตัดสินใจเปิดตัวคืนสังเวียนช่วยงานรัฐบาล หยั่งกระแสชิมลาง ยังเจอฟีดแบ็คต้านอย่างหนักขนาดนี้แล้ว

ถ้ายังเดินหน้าต่อมีหวังต้องพักสนามการเมืองยาว

นาทีนี้เชื่อว่า "สมคิด" น่าจะรู้แล้วว่าจังหวะก้าวย่างทางการเมืองของตนเองยังไม่สดใสในระยะอันใกล้นี้

โดยเฉพาะหากมีการเลือกตั้ง ส.ส. เกิดขึ้นในปลายปีนี้ ใช่ว่าจะได้ "กินหมู" เปิดขั้วการเมืองใหม่ให้คนยอมรับได้ง่ายๆ

แม้เหลือบดูคู่แข่งอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ชาติไทย ประชาราช หรือแม้แต่อดีตเพื่อนร่วมพรรคไทยรักไทย ที่แยกตัวออกมาตั้งกลุ่มการเมืองต่างๆ ในขณะนี้แล้ว

ความเชื่อถือในฐานะมือบริหารเศรษฐกิจอันดับหนึ่งแล้ว

"สมคิด" ก็ดูมีเปอร์เซ็นต์สูงสุดในการคั่วเก้าอี้แคนดิเดต "นายกรัฐมนตรีคนที่ 25" อยู่

แถมบวกกับมุมมองของ "ผู้นำรัฐบาล" ก็มีกระแสต้านที่น้อยมาก

แต่ในเมื่อกระแสสังคมยังไม่ไว้วางใจ และยังไม่เชื่อใจว่า "สมคิด" จะตัดขาดจากระบอบทักษิโณมิกส์ได้จริง รวมถึงกล้าตัดสายสัมพันธ์ที่มีต่อ "ทักษิณ" อย่างยาวนานได้ลงคอ

"สมคิด" ก็ต้องรู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง

เพราะต้องยอมรับว่าภาพการเป็นมือขวาของ "ทักษิณ" ได้กลายเป็น "ชนักติดหลัง" ที่สลัดไม่ออก

และยังไม่สามารถหาช่องทางที่จะขยับชุบตัว ล้างภาพเก่าได้ในขณะนี้

โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ "สมคิด" จำเป็นต้องระมัดระวังการตัดสินใจทางการเมืองทุกย่างก้าว

เพื่อไม่ให้ส่งผลทางลบต่ออนาคตทางการเมืองในระยะยาว !!!

โดย เกศิณี ใจกาวัง
จาก หนังสือพิมพ์คม.ชัด.ลึก.