สนธิ จับโกหก ทักษิณ สัมภาษณ์ CNN ประณามเดือด

สนธิ ลิ้มทองกุล จับโกหก ทักษิณ


ให้สัมภาษณ์ซีเอ็นเอ็น แบบคำต่อคำชัดทุกประเด็น ระบุตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็นใครเลวเท่านี้มาก่อน บังอาจจาบจ้างเบื้องสูงซ้ำแล้วซ้ำอีก ชี้เป็นคนปลิ้นปล้อน-พูดอย่างทำอย่าง แฉซ้ำออกมาพูดโกหกอย่างหน้าด้านๆ เพื่อหวังให้ภาพลักษณ์ตัวเองดีในสายตาชาวโลก

เมื่อเวลา 22.00 - 23.00 น. วันที่ 20 ม.ค. นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ออกรายการพิเศษ ทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี ชี้แจงและตอบโต้การให้สัมภาษณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ต่อสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น โดยมีนางสาวสโรชา พรอุดมศักดิ์ ร่วมดำเนินรายการ

นายสนธิได้วิเคราะห์คำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณที่ให้สัมภาษณ์ซีเอ็นเอ็นแบบคำต่อคำว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้มีการกล่าวพาดพิงและจาบจ้วงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยใช้ภาษาอังกฤษที่กระท่อนกระแท่น แปลได้ว่า อยากให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในฐานะที่คนไทยรักและนับถือ

อยากให้ลืมสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต เปรียบเหมือนให้พระองค์ช่วยทำหน้าที่ปิดฉากเรื่องราวในอดีตเพื่อความสมานฉันท์ และเชื่อในนิสัยของคนไทยและวัฒนธรรมของคนไทยที่มักจะให้อภัยเสมอ ซึ่งจากบทสัมภาษณ์ดังกล่าวยอมรับว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นใครชั่วและเลวทรามเท่า พ.ต.ท.ทักษิณ คือบังอาจมาก


เขาใช้คำว่า draw a veil over the past


หมายถึงว่า ให้ในหลวงทำการปิดฉากเรื่องราวในอดีตทั้งหมด การที่พูดอย่างนี้กำลังส่อปฏิกิริยาบางอย่าง ส่อความหมายบางอย่างให้ต่างชาติเข้าใจว่าพระเจ้าอยู่หัวมีส่วนเกี่ยวข้องการไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกนอกประเทศ

การพูดเช่นนี้เหมือนกับการขอพระราชทานอภัยโทษ เหมือนกับว่าหากพระเจ้าอยู่หัวลืมเรื่องเก่าๆ เรื่องก็จะจบ แล้วมาเริ่มต้นใหม่ด้วยการสมานฉันท์ ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยเห็นใครซึ่งเลวทรามเท่า พ.ต.ท.ทักษิณ เลวมาก เลวจริงๆ นายสนธิกล่าว

นายสนธิ กล่าวต่อว่า หาก พ.ต.ท.ทักษิณต้องการพูดถึงองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทำไม พ.ต.ท.ทักษิณไม่พูดว่า ข้าพระพุทธเจ้าขอกราบมาแทบฝ่าพระบาทด้วยความสำนึกผิดว่าในอดีตนั้นข้าพเจ้าได้กระทำสิ่งอันใดที่เป็นการล่วงละเมิด หรือล่วงเกินองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ด้วยกายวาจาและใจนั้น ขอให้พระองค์ทรงรับทราบว่าข้าพเจ้ามิได้มีเจตนา และข้าพระพุทธเจ้ากราบพระราชทานอภัยมาด้วย ทำไมไม่พูดเรื่องนี้ก่อนที่กล่าวข้อความข้างต้น เช่นเดียวกับที่เคยพูดในทำนองที่ว่าให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมากระซิบที่ข้างหูให้ลาออกก็จะลาออกทันที แสดงให้เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นใครที่ให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทำเช่นนั้น


นายสนธิยังกล่าวว่า


นอกจากนี้ นายสนธิยังกล่าวอีกว่า หาก พ.ต.ท.ทักษิณต้องการที่จะวางมือจากการเมืองและมาทำงานด้านการกุศลจริงทำไมจึงได้ว่าจ้างบริษัทล็อบบี้ยิสต์ซึ่งมีความสนิทสนมกับรัฐบาลของ ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช เหมือนต้องการให้บุชผลักดันให้เกิดความกดดันกับรัฐบาลไทย

เหมือนกับที่ทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยม พล.อ.สุรยุทธ์ หรือ พล.อ.สนธิ เมื่อเร็วๆ นี้ พร้อมถามว่าเมื่อไหร่เมืองไทยจะมีการเลือกตั้ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนเจ้าเล่ห์แสนกลจริง

อยากฝากคำพูดไปยัง พ.ต.ท.ทักษิณ และบรรดาลิ่วล้อทั้งหลายว่า วิธีเดียวที่จะสมานฉันท์กับสังคมนี้ได้นั้นง่ายมาก ประการแรกการที่ให้สัมภาษณ์ผ่านสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นให้สมานฉันท์ แต่ไม่เคยขอโทษคนไทยเลยซักครั้งเดียว เพราะฉะนั้น สิ่งแรกที่ควรทำ

คือ ควรเขียนจดหมายสารภาพบาปกับคนไทยความยาวซัก 3 หน้าว่า กราบเรียนพ่อแม่พี่น้องประชาชนชาวไทย ข้าพเจ้า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี วันนี้ข้าพเจ้ามีเรื่องในใจที่ต้องการพูดกับพ่อแม่พี่น้องว่าตลอดระยะ เวลา 6 ปีที่ผ่านมานั้นมีข้อผิดพลาดในรัฐบาลของข้าพเจ้า และรัฐบาลชุดนี้กำลัง ตรวจสอบรัฐบาลสมัยของข้าพเจ้าอยู่

ข้าพเจ้าขอยืนยันว่ามิได้มีเจตนาให้เกิดขึ้น แต่หากเกิดขึ้นแล้วข้าพเจ้ายินดีรับผิดชอบ และขอโทษสิ่งที่ทำมานั้นขออภัย และขอ วางมือทางการเมืองโดยจะขอไปอยู่ที่ต่างประเทศ และห้ามลูกพรรคไทยรักไทย

หรือเพื่อนฝูงไปเยี่ยมโดยเด็ดขาด กรณีพรรคจะถูกยุบหรือไม่ให้สมาชิกพรรคดำเนินการกันเอง และขออยู่อย่างนี้เป็นระยะเวลา 1 ปี โดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองเด็ดขาด ถ้าอย่างนั้นพอฟังได้ แต่การบินไปสิงคโปร์ไปโตเกียว โชคดีที่ทางการญี่ปุ่นสั่งระงับ ซึ่งการกระทำดังกล่าวจะเชื่อได้อย่างไรว่าต้องการสมานฉันท์ และต้องการวางมือทางการเมือง นายสนธิกล่าวย้ำ


กรณีการคอร์รัปชั่นที่พ.ต.ท.ทักษิณ


ตอบคำถามซีเอ็นเอ็นว่า เรื่องดังกล่าวยังไม่มีหลักฐาน และเป็นเพียงเครื่องมือทางการเมือง ซึ่งตนก็ได้ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบเป็นอย่างดี แต่จนขณะนี้ก็ยังหาความผิดไม่พบ ทั้งๆ ที่คมช.ได้ใช้ความพยายามอย่างที่สุดแล้วนั้น

นายสนธิ กล่าวว่า เป็นอีกเรื่องที่พิสูจน์ว่าพ.ต.ท.ทักษิณเป็นคนโกหกตอแหลอย่างหน้าด้านๆ ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เพราะกรณีการทุจริตนั้นมีหลายกรณีที่ชี้มูลไปแล้ว อดีตอธิบดีกรมสรรพากรที่ช่วยพ.ต.ท.ทักษิณเลี่ยงภาษีก็ถูกไล่ออกไปแล้ว เรื่องที่ดินคุณหญิงพจมาน

คตส.ได้ชี้มูลความผิดไปแล้ว กองทุนฟื้นฟูระบบสถาบันการเงินยื่นร้องทุกข์ไปแล้ว และยังมีอีกหลายเรื่อง เช่น การซื้อเครื่องซีทีเอ็กซ์ กล้ายาง ที่สำคัญคือปัญหาในสนามบินสุวรรณภูมิที่เกิดขึ้นก็พิสูจน์ชัดว่าเกิดจากการคอร์รัปชั่นในยุครัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ แต่ปัญหานี้นายแดน ริเวอร์ส พิธีกรของซีเอ็นเอ็นไม่เอาไปถามต่อ แค่พ.ต.ท.ทักษิณตอบครั้งเดียวก็จบ

นายสนธิ กล่าวต่อว่า ตนพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับ พ.ต.ท.ทักษิณ เวทีใดก็ได้ ประเทศใดก็ได้ มาพูดกันตัวต่อตัว หรืออยู่คนละประเทศก็ได้แต่ให้มีการลิงก์ตอบโต้กันได้ เพราะที่ผ่านมาเหมือนกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ตอบคำถามด้านเดียว ซึ่งตนเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่กล้า เพราะเมื่อครั้งที่อยู่เมืองไทยมีอำนาจบารมียังไม่กล้าเผชิญหน้า แล้วเป็นสัมภเวสีอยู่ต่างประเทศอย่างนี้จะกล้าได้อย่างไร


กรณีที่ผู้ดำเนินรายการของซีเอ็นเอ็น


สอบถามว่า แม้ว่าเวลาจะผ่านมาถึง 4 เดือนแล้วในการทำรัฐประหาร แต่ทำไมประเทศไทยยังคงกฎอัยการศึกนั้น นายสนธิ กล่าวว่า ในส่วนนี้ตนไม่ขอตำหนิผู้ดำเนินรายการเนื่องจากเป็นผู้ที่มองเพียงเหตุการณ์ปัจจุบัน

และยังไม่เข้าใจสถานการณ์ในเมืองไทย ไม่เข้าใจว่าทำไมกฎอัยการศึกไม่ถูกยกเลิก ไม่เข้าใจว่าโรงเรียน 39 แห่งทางอีสานใต้ถูกเผาเกิดขึ้นได้อย่างไร และตำรวจจับผู้ก่อเหตุไม่ได้

ไม่เข้าใจว่าตำรวจเมืองไทยยังคงปล่อยเกียร์ว่างอยู่ และยังเป็นตำรวจของทักษิณ และยังมีความพยายามที่จะทำลายชื่อเสียงของ คมช. และการวางระเบิดเมื่อวันที่ 31 ธ.ค.ที่ผ่านมา ตำรวจจะต้องหาแพะมารับบาป และแพะนั้นต้องเป็นทหารเพื่อโยงว่าเป็นฝีมือ คมช. และตนเชื่อว่าจะต้องออกมาในรูปแบบนี้

นอกจากนี้ นายสนธิยังกล่าวอีกว่า ผู้ดำเนินรายการไม่ได้ทำการบ้านเกี่ยวกับสนามบินสุวรรณภูมิ เนื่องจากไม่มีการถามถึงเลย ไม่การถามถึงว่าทำไมสนามบินถึงร้าว ทั้งๆ ที่เพิ่งเปิดให้บริการเพียง 3 เดือน ซึ่งในส่วนนี้ควรมีการปิดการใช้สนามบินสุวรรณภูมิ

และให้ตั้งกรรมการเข้าตรวจสอบพร้อมเชิญสื่อต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นซีเอ็นเอ็น รอยเตอร์ มาชี้แจงถึงเหตุผลว่าเหตุใดจึงต้องปิด และบอกว่ามีการโกงกินคอร์รัปชันมากที่สุดในสมัยรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ แล้วดูว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะตอบคำถามอย่างไร

การกระทำต่างๆ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ตายแล้วเกิดใหม่อีก 10 ชาติก็ยังไม่สาสมกับเวรกรรมที่ได้ทำเอาไว้ แล้วยังจะมีหน้ามาบอกให้ประชาชนลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างไร และคงรับไม่ได้ที่จะสมานฉันท์กับคนที่ปล้นชาติ ถือว่า พ.ต.ท.ทักษิณ หน้าด้านที่สุด


นายสนธิกล่าวต่อว่า


เมื่อหลักฐานการทุจริตชัดเจนขนาดนี้ พ.ต.ท.ทักษิณจะมาบอกว่าข้อกล่าวหาที่มีต่อเขานั้นไม่มีมูลความจริง(groundless) ได้อย่างไร และที่จริงมีความพยายามที่จะตรวจสอบการทุจริตมานาน

แต่ถูกพ.ต.ท.ทักษิณขัดขวาง ยกตัวอย่างกรณีการซื้อที่ดินรัชดาของคุณหญิงพจมาน ซึ่งนายวีระ สมความคิดไปแจ้งความกับตำรวจกองปราบ แต่ตำรวจก็อ้างว่าเป็นหน้าที่ของ ป.ป.ช. เมื่อนายวีระไปยื่นหนังสือให้ป.ป.ช. ก็ถูกยันกลับมาว่า เป็นหน้าที่ของตำรวจ ก็กลับมาแจ้งความที่กองปราบอีก แล้วพล.ต.ต.วินัย ทองสอง ตอนเป็นผู้การกองปราบก็ดองเรื่องเอาไว้

กรณีที่พ.ต.ท.ทักษิณอ้างว่าการเดินทางไปสิงคโปร์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นเพียงการไปตีกอล์ฟและพบกับเพื่อนเก่านั้น นายสนธิกล่าวว่า อยากให้ลองทบทวนเหตุการณ์เมื่อปีใหม่ 2549 ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัวเดินทางไปสิงคโปร์เป็นเวลา 4 วัน

ซึ่งมีการตั้งข้อสงสัยกันว่าเป็นการไปเจราจาขายหุ้นชินคอร์ปฯ แต่พ.ต.ท.ทักษิณก็ปฏิเสธอ้างว่าไปพักผ่อนปีใหม่กับครอบครัว แต่เมื่อกลับมาไม่กี่วันก็ประกาศขายหุ้นให้สิงคโปร์ทันที คราวนี้ก็บอกไปเล่นกอล์ฟกับเจอเพื่อน โดยมีวัตถุประสงค์อื่นอยู่เบื้องหลัง แต่พ.ต.ท.ทักษิณก็ยังโกหกเรื่องเดิม เพราะโกหกไว้มากจนจำไม่ได้ว่าเคยโกหกอะไรไว้บ้าง จนกลายเป็นผู้นำที่โกหกมากที่สุดในประเทศไทย


สำหรับกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ


อ้างว่าการขายหุ้นชินคอร์ปนั้นเป็นการขายผ่านตลาดหุ้น เป็นข้อยกเว้นทางกฎหมาย ไม่ใช่เพราะเป็นนายกรัฐมนตรี นายสนธิ กล่าวว่า เป็นการพูดเพียงด้านเดียวของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะการขายในตลาดหลักทรัพย์ไม่ต้องเสียภาษีนั้นถูกต้อง

แต่กรณีนี้มีการขายกันก่อนหน้าที่จะมีการซื้อขายในตลาดทรัพย์ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้ตีความไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า ไม่ว่าการขายหุ้นจะขายกันกี่ทอดก็ต้องเสียภาษีทุกครั้ง ยกเว้นเพียงกรณีที่ซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเรื่องนี้นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์ อธิบดีกรมสรรพากร ซึ่งถูกลงโทษไล่ออกจากราชการฐานกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่อย่างร้ายแรงสมัยที่เป็นรองอธิบดี เป็นผู้ที่วินิจฉัยว่ากรณีดังกล่าวไม่ต้องเสียภาษี หลังจากนั้นจึงได้ขึ้นเป็นอธิบดี แต่สุดท้ายก็ต้องมารับกรรมในที่สุด

นายสนธิ ยังได้กล่าวถึงกรณีการแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งมีการอุ้มฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์กว่า 1,800 คน ว่า พ.ต.ท.ได้ใช้มาตรการที่รุนแรงในการแก้ไขปัญหา โดยเริ่มจากการยุบ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.)

จากนั้นได้ส่งตำรวจ-ทหารเข้าไปแทน และมีการอุ้มฆ่าประชาชนไป 1,800 คน ซึ่งในจำนวนนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีประชาชนผู้บริสุทธิ์รวมอยู่ด้วย แต่ที่สำคัญ พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีการพูดถึงกรณีการหายตัวไปของนายสมชาย นีละไพจิตร ประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม

ซึ่งยืนหยัดต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมให้กับผู้ต้องหาชาวมุสลิม จนถึงขณะนี้ยังไม่พบตัว ซึ่งทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ รู้ตัวผู้ที่ลงมืออุ้ม ซึ่งเป็นตำรวจในระบอบทักษิณ ยศ พล.ต.อ. พล.ต.ท. และพล.ต.ต. ขณะนี้อยู่ระหว่างการค้นหาหลักฐาน


พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ไม่มีใครเชื่อว่าตนเองอยู่เบื้องหลังเหตุการไม่สงบในประเทศไทย


ส่วนกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า เพราะทุกคนรู้ว่าตนเป็นใคร ตนเองมาจากการเลือกตั้ง นายสนธิ กล่าวว่า ไม่มีใครเชื่อคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ

เพราะไปแล้วไม่ได้อยู่อย่างเงียบๆ แต่กลุ่มลิ่วล้อ สุนัขรับใช้ ไม่ได้หยุดการเคลื่อนไหว มีเหตุการณ์เผาโรงเรียนทางภาคเหนือและอีสาน มีการจัดคนเคลื่อนไหวเพื่อลดความน่าเชื่อถือของ คมช. เอาคนมากล่าวหา พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี

เรื่องที่ดินเขายายเที่ยง กล่าวหาว่า พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธาน คมช.จดทะเบียนสมรสซ้อน แม้ พ.ต.ท.ทักษิณจะปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่หากโยงไปโยงมาพบว่าเป็นฝีอของกลุ่มลิ่วล้อของ พ.ต.ท.ทักษิณทั้งสิ้น นอกจากนี้ยังมีการบินไปหากันตลอด แม้กระทั่งตำรวจยศ พล.ต.ต.มีการบินไปหาที่โรงแรมแมนดารินโอเรียนเต็ล เหมือนกับวางแผนเอาไว้ และไปรายงานว่าต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้

นายสนธิ กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ อ้างว่าเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งว่า หลังมีการยึดอำนาจตนได้เดินสายไปชี้แจงในต่างประเทศ เพราะการได้อำนาจมาของ พ.ต.ท.ทักษิณ มาจากการเลือกตั้งที่ไม่ชอบธรรม มีการซื้อเสียง ใช้อำนาจรัฐไปกำกับการเลือกตั้ง ที่สำคัญมีการใช้อำนาจรัฐที่อ้างว่ามาจากประชาชน มาหลอกประชาชน

โดยเอาเงินที่มาจากภาษีของประชาชนไปแจกประชาชนในรูปแบบของกองทุนหมู่บ้าน บ้านเอื้ออาทร แท็กซี่เอื้ออาทร ซึ่งไม่ใช่การสอนให้คนไทยพึ่งพาตนเอง สอนให้คนไทยรับสินบาทคาดสินบนจากรัฐบาล เป็นการมอมเมาประชาชน เพื่อให้ได้มาซึ่งคะแนนเสียง


เงื่อนไขของความเป็นประชาธิปไตยนั้น ประการแรก


นายสนธิ กล่าวว่า เงื่อนไขของความเป็นประชาธิปไตยนั้น ประการแรก ต้องไม่มีการปิดกั้นสื่อมวลชน พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี สื่อถูกปิดกั้นหมด ทีวีทุกช่องยกเว้นเอเอสทีวี เสนอข่าวเพียงด้านเดียว เฉพาะข่าวด้านบวกของรัฐบาล ข่าวด้านลบไม่รายงาน

นอกจากนี้มีการแทรกแซงการทำงานของข้าราชการประจำ ให้เข้าข้างพวกตนเอง เอื้อประโยชน์ในการเลือกตั้ง นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช สั่งผู้ว่าราชการจังหวัดทุกคนให้ช่วยพรรคไทยรักไทย พล.อ.อ.คงศักดิ์ วันทนา ออกคำสั่งทุกอย่างเพื่อพรรคไทยรักไทยทั้งหมด ขณะเดียวยังมีการแทรกแซงองค์กรอิสระ โดยเฉพาะคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) จนทำให้ กกต.ทั้ง 4 คนถูกดำเนินคดี

พ.ต.ท.ทักษิณ ได้คะแนนเสียงโดยใช้อำนาจไปปล้นมา เมื่อประชาชนไปตะโกนขับไล่ มีการให้ พ.ต.อ.ฤทธิรงค์ เทพจันดา ผกก.สส.น.6 และกลุ่มชายฉกรรจ์ ไปกระทืบประชาชนจนเลือดกบปาก สิทธิเสรีภาพตรงนี้คุณไม่ให้เขา แล้วจะไปอ้างได้อย่างไรว่ามาจากประชาชน นายสนธิ กล่าว


ทักษิณ กล่าวถึงการทางกลับประเทศไทย


ส่วนกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ หากให้มาให้การสู้คดี ก็จะกลับ แต่ตอนนี้ที่ยังไม่กลับเพราะเป็นห่วงเรื่องความสมานฉันท์ อยากให้รัฐบาลทำให้เกิดความสมานฉันท์ อยากให้ทุกคนมาร่วมพัฒนาประเทศ

นายสนธิ กล่าวว่า เป็นการพูดเข้าข้างตัวเอง เพราะที่ผ่านมามีการชี้แจงชัดแล้วว่า หากจะมาสู้คดีไม่ต้องกลับมา เดียวเขาจะไปหา ส่วนเรื่องความสมานฉันท์ หาก พ.ต.ท.ทักษิณ จะทำอะไรเพื่อบ้านเมือง ดีที่สุดคือ การฆ่าตัวตาย เพื่อชดใช้กรรม รองลงมา คือ การทำเรื่องขอโทษประชาชน และจะไม่กลับประเทศไทยสักระยะ พาครอบครัวไปต่างประเทศ ตัดขาดไม่ให้บรรดาพลพรรคเข้าพบ บอกให้บรรดาญาติๆ ไม่ต้องเอาเงินไปจ่ายให้กับใคร

นายสนธิ กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ พูดถึงอนาคตพรรคไทยรักไทยว่าตนเป็นเพียงสมาชิกพรรค อนาคตของพรรคขึ้นอยู่กับหัวหน้าและกรรมการพรรค และสมาชิกพรรค กว่า 14 ล้านคน

โดยนายสนธิได้นำไปเปรียบเทียบกับกรณีการขายหุ้นชินคอร์ป ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ อ้างว่านายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย และ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร บุตรสาวเป็นเจ้าของหุ้น ทั้ง 2 คนอยากให้ตนไปเล่นการเมือง เป็นการตัดสินใจของลูก

ซึ่งเมื่อนายพานทองแท้ไปให้การกับ คตส.ว่าจำไม่ได้ ไม่รู้เรื่อง เลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมานเป็นคนทำให้หมด เป็นบทพิสูจน์ชัดว่านายพานทองแท้ไม่ใช่เจ้าของหุ้นที่แท้จริง แต่เป็นเพียงมีชื่อในทางกฎหมายเท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ โกหกตลอด


ทักษิณ ตอบคำถามของผู้ดำเนินรายการ


ส่วนกรณีที่ พ.ต.ท.ที่ถามถึงกรณีผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ โดยระบุว่าไม่เคยพูดถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในแง่นั้น ยืนยันว่าตนเองมีความจงรักภักดีต่อพระองค์ท่าน และสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่เป็นการพูดถึงบุคคลซึ่งอยู่เบื้องหลัง

ซึ่งจะเป็นพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีหรือรัฐบุรุษหรือไม่ ไม่อยากจะเอ่ยชื่อ แต่เป็นคนที่คอยขัดขวางการทำงานนั้น นายสนธิ กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เคยจงรักภักดีต่อสถาบันอย่างจริงจังและจริงใจ ซึ่งไม่จำเป็นต้องออกมาจากคำพูด

แต่การกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็พิสูจน์ชัด กรณีคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ซึ่งมีการจงใจดึงเรื่องเอาไว้ ทั้งที่ ยังไม่มีพระบรมราชโองการให้ลาออก แต่กลับไปปลด มิหนำซ้ำยังเสนอชื่อคนใหม่เข้าไป การกระทำ ตลอดจนคำพูดมันตรงกันข้ามกับที่ให้สัมภาษณ์

คนคนนี้ให้สัมภาษณ์ผ่านซีเอ็นเอ็นอย่างหน้าด้านๆ และเจ้าเล่ห์แสนกล ทั้งที่รู้ว่าตัวเองโกหก เขารู้ดีว่าเราจะจับไต๋เขาออก โต้เขาได้ แต่เขาก็ยังต้องการสัมภาษณ์ให้ออกไปทั่วโลก เขาพูดโกหกอย่างหน้าด้านๆ ออกไปเพื่อทำให้ภาพพจน์เขาดี ให้เห็นว่าเขามาจากประชาชนแต่ถูกทหารปฏิวัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเอ่ยถึงในหลวง เป็นเกมที่เลวร้ายอย่างยิ่ง นายสนธิ กล่าว

ขอขอบคุณ


ข้อมูลที่มีคุณภาพ
จาก หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์