สดศรีปัดกกต.กลัวแพ้ขออสส.ช่วยคดียุบปชป.-โวยไม่ได้จับมือดีเอสไอจ้องเล่นงาน

ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ ถนนวิภาวดี เมื่อวันที่ 2 กันยายน   นางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวถึงกรณีกกต.เห็นชอบให้นายกิตินันท์ ธัชประมุข อัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 5 สำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.)มาช่วยกกต.ว่าความคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ในศาลรัฐธรรมนูญว่า 


เพราะที่ประชุม กกต.เห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่และเป็นครั้งแรกที่มีการยุบพรรคตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองที่ต่างจากการยุบพรรคที่ผ่านมาที่เป็นไปตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งและการได้มาซึ่งส.ว. ที่มีคำพิพากษาศาลฎีกาไว้เป็นบรรทัดฐานแล้ว โดยที่ประชุมกกต.เห็นว่านายกิตินันท์ เป็น1ใน7ของคณะทำงานร่วมระหว่างอสส.และกกต. ที่เคยพิจารณาสำนวนเงินบริจาค 258ล้านบาทแล้ว จึงถือว่านายกิตินันท์รู้ข้อมูลในคดีดังกล่าวดี อีกทั้งคดียังมีความเชื่อมโยงกับคดีการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง 29ล้านบาทของพรรคประชาธิปัตย์ที่ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ด้วย กกต.จึงได้ขอความร่วมมือให้มาช่วยว่าคดี
 
ผู้สื่อข่าวถามว่า กกต.ให้อัยการมาช่วยสู้คดีเพราะเกรงว่าอาจแพ้คดีในศาลหรือไม่ นางสดศรี ว่า โดยข้อเท็จจริงกกต.ได้ขอความร่วมมือไปยังอัยการตั้งแต่เมื่อวันที่20กรกฎาคมแล้ว จนต่อมาอสส.เห็นควรให้ส่งนายกิตินันท์มาให้กกต.เมื่อวันที่ 31 สิงหาคมที่ผ่านมาแม้จะมีการสืบพยานผ่านไปแล้ว 3 นัดก็ตาม แต่ก็เป็นการเบิกความของพยานเพื่อรับรองเอกสารเท่านั้น ดังนั้นเมื่อมีการสืบพยานฝ่ายของพรรคประชาธิปัตย์แล้วกกต.ก็จำเป็นที่จะต้องใช้มืออาชีพที่เคยว่าคดีมามากแล้ว ซึ่งนายกิตินันท์รู้ถึงสำนวนดังกล่าวดี
 
คดีจะแพ้ชนะอยู่ที่ดุลพินิจของศาลรัฐธรรมนูญ แต่การขออัยการมาเป็นทนายให้กกต.ก็เพื่อช่วยกกต.ในการซักถามในชั้นศาลเพื่อทำลายน้ำหนักของพยาน เมื่อถึงเวลาสืบพยานฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์อัยการจะได้ช่วยซักค้านให้ เพราะหากยังให้เจ้าหน้าที่กกต.ที่ไม่ได้มีความรู้ในการว่าคดีก็คงเหมือนเป็นมวยวัดที่สู้เขาไม่ได้”นางสดศรี กล่าว
 

นางสดศรี กล่าวว่า การให้ปากคำของนายประจวบ สังขาว อดีตกรรมการผู้จัดการบริษัท เมซไซอะ บิซิเนส แอนด์ ครีเอชั่น จำกัดล่าสุดนั้น ตนเห็นว่าเมื่อครั้งที่นายประจวบมาให้การให้ชั้นกกต.ก็ได้มีการบันทึกภาพและเสียงแล้ว และยังได้จัดส่งเป็นสำนวนให้กับศาลทั้งหมดแล้ว ดังนั้นที่มีข่าวว่ากกต.อุบคำให้การของพยานไว้ยืนยันไม่เป็นความจริง เพราะกกต.ได้ส่งคำให้การให้กับศาลหมดแล้ว และศาลก็จะต้องส่งคำให้การให้คู่กรณี ซึ่งกกต.ไม่ปกปิดคำให้การพยานเพื่อเอาไว้หวังที่จะชนะคดี
 
“ที่กล่าวหาว่ากกต.ร่วมมือกับดีเอสไอเพื่อที่จะยุบพรรคประชาธิปัตย์หากกล่าวหาแบบนี้ถือว่าหมิ่นประมาทได้ หากกล่าวหาแบบนี้จะต้องพมีพยานหลักฐาน แต่เรื่องนี้มีผู้ยื่นคำร้องมากกต. ทำให้กกต.ต้องดำเนินการไต่สวนและลงมติหากไม่ปฏิบัติก็อาจถูกเล่นงานตามมาตรา 157 ของกฎหมายอาญาฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้ ดังนั้นที่กล่าวหาว่ากกต.มีอคติกับพรรคใดถือว่าไม่ให้ความเป็นธรรมกับกกต.” นางสดศรี กล่าว


เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์