วิวาทะเดือดว่าด้วยใครจงรักภักดีมากกว่ากัน?

ไฮไลท์ของการอภิปรายวันแถลงนโยบายรัฐบาล ยิ่งลักษณ์  วันแรก จับจ้องไปที่การแถลงนโยบาย 44 หน้ากระดาษที่ใช้เวลาอ่าน 2 ชั่วโมงครึ่งของนายกฯยิ่งลักษณ์

ตามด้วยการโชว์ฟอร์มถนัดของ ว่าที่ผู้นำฝ่ายค้าน อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ   ที่ไล่ขยี้ นโยบายของพรรคเพื่อไทย  เรื่องค่าแรง 300 บาท และค่าตอบแทน 15,000 บาท/เดือน พร้อมกับทวงถามว่า ทำได้ทันทีตามที่หาเสียงไว้หรือไม่

จากนั้น เวทีอภิปรายก็ถูกปลุกให้ตื่นด้วย คลิปลับ โดยสายสืบของ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่เปิดโปงบ่อนกลางกรุงเทพ ที่ห่างจาก สถานีตำรวจ ไม่ถึง 200 เมตร เรียกเสียงฮือฮา  ตามด้วยภาพถ่ายการซื้อขายยาเสพติดในแหล่งบันเทิง    ผลงานของ ชูวิทย์  ไม่ทำให้รัฐบาลสะดุ้ง แต่กลับทำให้ ตำรวจใหญ่นั่งไม่ติด

  

ในช่วงบ่าย อุณหภูมิ เผ็ดร้อน ราวกับมีการสาดน้ำมันใส่กองไฟ  ในสองประเด็นสำคัญ หนึ่ง คือ พิมพ์เขียว การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ออกมาจาก ปากของ นพ. เหวง โตจิราการ  และร.ต.อ. เฉลิม อยุ่บำรุง อย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก
    
   

สองคือ ประเด็นว่าด้วย กฎหมายอาญา มาตรา 112  ที่ว่าด้วยการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ  ความร้อนแรงของประเด็นนี้ เสมือนเป็นการประกาศว่า  ใครจงรักภักดีมากกว่ากันระหว่าง พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคเพื่อไทย   

    

ขอให้ลองดู วิวาทะของนักการเมืองใหญ่ต่อไปนี้  


นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย

 " ไม่อยากให้การเมืองเป็นเรื่องการหาเสียงลมปากแล้วบิดพลิ้วไม่ทำตามที่หาเสียงไว้ ที่เสียดายคือนโยบายความมั่นคงแห่งรัฐข้อ 2.1 ในการเทิดทูนสถาบันฯ ซึ่งรัฐบาลไม่มีถ้อยคำเชิงรุกในนโยบายให้เห็นว่าจะทำอย่างไรเพื่อปกป้องสถาบัน ปฏิเสธไม่ได้ว่าสถาบันฯได้รับผลกระทบจากการเมือง วันนี้นายกฯยังมีจุดยืนอย่างไรตามที่เคยให้สัมภาษณ์หนังสือดิอินดิเพนเดนซ์ว่าจะแก้กฎหมายอาญามาตรา 112 ขอให้ยืนยันว่ายังมีแนวคิดนี้หรือไม่ เพราะมีนักวิชาการและคนเสื้อแดงบางกลุ่ม เคลื่อนไหวให้ยกเลิกมาตรานี้  วันนี้นายกฯยืนยันได้หรือไม่ว่า แม้เป็นผู้สนับสนุนแต่ถ้ามีพฤติกรรมล่วงละเมิด นายกฯก็จะจัดการ เพราะต้องยอมรับว่าในเสื้อแดงก็มีจำนวนไม่น้อย "


ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ

"    ไม่แปลกใจที่พรรคภูมิใจไทยอภิปรายทำนองนี้ เพราะพรรคนี้รณรงค์หาเสียงทั่วประเทศต่อต้านรัฐไทยใหม่  ซึ่งภายหลัง คณะกรรมการการเลือกตั้ง วินิจฉัยว่าห้ามเอาเรื่องสถาบันมาหาเสียงว่าใครรักกว่าใคร  พรรคเพื่อไทยยืนยันว่าไม่เคยคิดตั้งรัฐไทยใหม่  ผมขอยืนยันว่า พรรคที่มีนายทหารนายตำรวจที่เคยเข้าเวรเข้าเฝ้าฯมากที่สุดคือพรรคเพื่อไทย เรามีอดีตผบ.ทบ. แม่ทัพ ทหารยศพลเอก เดินหัวแทบชนกัน และ ไม่มีคนที่ไม่จงรักภักดี"


 “พวกผมไม่มีหรอกที่จะคิดแก้ไข มาตรา 122 อะไรที่เป็นเกราะปกป้องเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินเราต้องคงไว้  แต่เห็นตอนนายชวรัตน์ ชาญวีระกูล เป็นรมว.มหาดไทย ย้ายข้าราชการ 3 ฤดูยังทำได้ ทำทุกอย่างได้ยกเว้น เหาะ ทำไมไม่ทำเรื่องนี้ ยืนยันว่าทุกสีจงรักภักดีเท่ากันหมด ไม่มีใครจงรักภักดีน้อยกว่าพรรคภูมิใจไทย”
 

 น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ   รมว. กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที)

 "   จากข้อมูลกระทรวงไอซีที ช่วงเดือนมิ.ย. 2554 อยู่ในรัฐบาลใครไม่ทราบ แต่มีข้อมูลเกี่ยวกับเว็บไซด์ละเมิดสถาบันถึง 116 เรื่อง ซึ่งพบว่ามีการโอนงบในส่วนที่เกี่ยวข้องไปให้กระทรวงยุติธรรม จึงไม่สงสัยว่าทำไมจึงมีเว็บไซด์พวกนี้เกิดขึ้นมากในยุครัฐบาลที่แล้ว  "

 นายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ   อดีตนายกรัฐมนตรี ว่าที่ผู้นำฝ่ายค้าน
 

“ เมื่อรัฐบาลผมดำเนินการเรื่องนี้ มีกลุ่มที่เคลื่อนไหวในต่างประเทศ เกี่ยวข้องกับนายใจ  อึ๊งภากรณ์ และเสื้อแดงในต่างประเทศจริง ไปจุดประเด็นว่าการปิดเว็บไซด์เป็นการละเมิดพื้นฐานประชาธิปไตย มีแกนนำเสื้อแดงบางส่วนไปสร้างกระแสเรื่องนี้ในต่างประเทศตลอดเวลาว่า มาตรา112 ไม่สอดคล้องกับประชาธิปไตย เมื่อมีความเคลื่อนไหวเกี่ยวข้องกับคนเสื้อแดงพรรคเพื่อไทยจะปฏิเสธไม่ได้ เพราะในความเคลื่อนไหวหลายแห่งของคนเสื้อแดง มีการพูดถึงมาตรา 112 ซึ่งถ้าพรรคเพื่อไทยเป็นเนื้อเดียวกันก็ขอให้ห้ามด้วย ดังนั้นที่ปัดว่ามาตรา 112 ไม่เกี่ยวกับเสื้อแดง หรือทุกกลุ่มไม่เกี่ยวกับความไม่จงรักภักดีนั้นไม่จริง แต่ถ้ารัฐบาลยืนยันว่าจะปกป้องสถาบัน เราจะได้สบายใจ”

วิวาทะร้อนของอดีตนายกฯอภิสิทธิ์  ทำให้ สารวัตรเฉลิม ต้องออกตัวและให้คำมั่นสัญญา กลางสภาว่า

“พรรคเพื่อไทยไม่มีวันแก้ไขมาตรา 112 โดยเด็ดขาด นี่คือจุดยืนของพรรคเพื่อไทย”


นายจุติ ไกรฤกษ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคปชป. อดีตรมว.ไอซีที

"  เว็บหมิ่นเป็นเรื่องที่ดำเนินการยากมาก รัฐบาลที่แล้วดำเนินการอย่างจริงจัง แต่ปิดแล้ว 6 ชั่วโมงขึ้นที่อยู่ใหม่ ไล่ตามปิดไม่หวาดไม่ไหวไปถามฝ่ายความมั่นคงได้ และจากนี้จะขอทำงานจ้ำจี้จ้ำไชรัฐบาลในทุกเช้า ว่ามีเว็บไหนต้องปิดบ้าง เพราะตามแกะรอยโจรมานานแล้ว     บางวันได้ปิดเว็บไซต์ถึง 2,695 เว็บไซต์ จนปิดกันไม่ไหว  ผมได้ทำงานถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งวันนี้ก็ยังมีเว็บไซต์ที่ยังไม่ได้ปิดอีก"


"ผมจะหายใจรดต้นคอรัฐบาลในเรื่องนี้ และหวังว่าเว็บหมิ่นทั้งหลายจะหมดไปจากประเทศไทยในอีก 4 ปีข้างหน้า  ที่จริงแล้วจากข้อมูลของกมธ.การทหาร เคยพบว่าเว็บหมิ่นเกิดขึ้นมากเมื่อปี 2550 และเกิดมากที่สุด ขึ้นเป็นดอกเห็ดนับแต่วันที่ศาลฎีกาพิพากษานักการเมืองทุจริต "

หลังวิวาทะว่าด้วยความจงรักภักดีเงียบเสียงลง

ประชาชนคนฟังก็ตัดสินไม่ได้อยู่ดีว่า ใครหรือพรรคใด จงรักภักดีภักดีมากกว่ากัน ? 


เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์