ลุ้นศาลพิจารณาคำร้อง นปก.

โปลิศเอาจริงตามรื้อ"เวที"ที่สนามหลวง


ตำรวจ 900 นายบุกรื้อเวทีม็อบ นปก.ที่ท้องสนามหลวงตอนใกล้รุ่ง “รองฯนิพนธ์” เผยเป็นส่วนหนึ่งในของกลาง ของคดีที่แกนนำถูกจับ ด้าน “เสรีพิศุทธ์” ระบุ “จักรภพ” นำข้อความในเทปลับไปแจ้งความ ตำรวจร่วมอัยการพิจารณาแล้วไม่หมิ่นประมาท จึงต้องจับในข้อหาลอบฟังโทรศัพท์ ด้าน ทนายแกนนำ นปก.ยื่นคำร้องหนา 21 หน้าต่อศาล ร้องให้ปล่อยตัวแกนนำทั้ง 8 คนโดยทันที อ้างไม่ได้ทำผิด ถูกคุมขังโดยมิชอบ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ประชุมเครียดวินิจฉัยคำร้อง จนเย็นยังเสร็จสิ้นจึงนัดฟังคำสั่งเช้าวันที่ 2 ส.ค.
ส่วน “เสน่ห์” เปิดทาง สนช.ถอด “จรัล” พ้นเก้าอี้ กก.สิทธิ ไม่หวั่น

หากถูกถอดยกก๊วน ทางด้าน “ประพันธ์ คูณมี” สนช. คาดได้ชื่อครบตามจำนวนเพื่อยื่นถอดถอน “จรัล ดิษฐาอภิชัย” พ้นกรรมการสิทธิ ชี้ กมส.ต้องสอบคนของตัวเอง ส่วน “ประสงค์” บอกให้ “จรัล” ไปพิจารณาตัวเองว่าการกระทำกระทบกระเทือนการทำงานหรือไม่ ส่วนที่หน้าเรือนจำบรรยากาศยังคึกคัก เต็มไปด้วยผู้ให้กำลังใจ

แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) ทั้ง 8 คน

ยังคงถูกควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร โดยไม่มีท่าทีว่าจะขอประกันตัวแต่อย่างใด โดยอ้างว่าไม่ผิดและต้องการให้ศาลสั่งปล่อยตัวเอง ท่ามกลางหมู่ญาติพี่น้องที่มาเยี่ยมและให้กำลังใจกันอย่าง ต่อเนื่อง จนเรือนจำคลองเปรมคึกคักอย่างยิ่งตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

แห่ให้กำลังใจแกนนำหน้าคุก


ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 1 ส.ค. ที่หน้าเรือนจำกลางพิเศษกรุงเทพฯ ที่คุมขัง 8 นปก. ตั้งแต่ช่วงเช้ามีบรรดาญาติพี่น้องเดินทางเข้ามาเยี่ยมอย่างไม่ขาดสาย จนเมื่อเวลา 08.30 น. นายเจษฎา จันทร์ดี หัวหน้าทีมทนายของ 8 นปก. ได้เดินทางเข้าพบ ใช้เวลาประมาณ 15 นาที ก่อนรีบเดินทางไปศาลอาญา รัชดาฯ

ต่อมา นายก่อแก้ว พิกุลทอง แกนนำ นปก.รุ่น 2 เดินทางเข้าเยี่ยม นปก.รุ่น 1

พร้อมเผยหลังเข้าพบว่า เดินทางมาให้กำลังใจ สอบถามความเป็นอยู่ ซึ่งแกนนำทั้งหมดก็มีสุขภาพดี แต่เป็นห่วงในเรื่องของระบบยุติธรรม เกรงว่าจะถูกให้เป็นเครื่องมือดำเนินการจับกุมผู้เรียกร้องประชาธิปไตย ทำให้ประชาชนลดความเชื่อถือลง ขณะนี้ นปก.รุ่น 2 ได้ทำหนังสือแจ้งไปยังสหประชาชาติ เรื่องประชาชนถูกละเมิดสิทธิและมีการแทรกแซงตุลาการ โดยแกนนำทั้งหมดยังคงมีจิตใจแน่วแน่ไม่ขอประกันตัว ทั้งที่ยังเป็นผู้บริสุทธิ์ และไม่ได้เซ็นเอกสารรับเป็นผู้ต้องหา

12 สิงหาจะร่วมเฉลิมฉลอง

สำหรับเรื่องการชุมนุมในวันที่ 12 ส.ค.นี้ ซึ่งตรงกับวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ขอยืนยันว่า ทางแกนนำไม่มีความคิดที่จะประชุมสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนแต่จะประสานทาง กทม. เพื่อร่วมจัดงานเฉลิมฉลองด้วย โดยอีก 1-2 วันก็จะทราบผล โดยงานนี้เป็นหน้าที่ของประชาชนทุกคน ไม่ใช่ของรัฐบาลเพียงอย่างเดียว นายสุรชัย แซ่ด่าน รองประธาน นปก. รุ่น 2 และนางประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ แกนนำ เดินทางมาเยี่ยมและให้กำลังใจ โดยทั้งคู่กล่าวว่า จะต่อสู้เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยต่อไป ส่วนเรื่องการแยกขังแกนนำหลังครบกำหนด 14 วัน จะต่อสู้เรียกร้องไม่ให้มีการแยกแกนนำทั้ง 8 ออกจากกัน ซึ่งมันเป็นการลดอำนาจของ นปก.

ต่อมามีกลุ่มอ้างเป็นนักศึกษา ม.รามคำแหงเกือบร้อยคน

นำโดย นายทองพิทักษ์ มากคง เดินทางมาตะโกนให้กำลังใจแกนนำ นปก. พร้อมถือแผ่นผ้ามีข้อความระบุ ต่อต้าน คมช. และเรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำ และไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ให้ทั้งหมดออกไปชุมนุมกันที่ด้านนอก ด้านนายธนาชัย พะยอมสวาท รอง ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่เข้ามาดูแลสถานการณ์ พร้อมเปิดเผยว่า จะไม่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมซึ่งมาให้กำลังใจเข้าไปภายในเรือนจำ โดยจะให้อยู่แต่บริเวณด้านหน้าเท่านั้น และจะไม่มีการเจรจาใด ๆ ทั้งสิ้น

"พงศ์เทพ" รุดเยี่ยม 8 แกนนำ

ต่อมาเมื่อเวลา 12.00 น. นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตแกนนำบริหารพรรคไทยรักไทย ได้เดินทางเข้าเยี่ยมแกนนำ นปก.พร้อมเผยว่า หลังจากเข้าพบทราบว่าทุกคนสบายดี มีเพียงแต่นายมานิตย์ ที่ต้องการยื่นคำร้องว่าถูกคุมขังโดยมิชอบ โดยตนก็ไม่ได้มีการแนะนำเรื่อง กฎหมาย เพราะท่านมานิตย์เป็นถึงอดีตหัวหน้าคณะศาลอาญา จึงมีความรู้ด้านกฎหมายดีกว่าตน เท่าที่ทราบทุกคนพักอยู่รวมกัน ส่วนด้านคดี ศาลอนุมัติขังเพียง 12 วัน ถ้าไม่มีการขอฝากขังเพิ่มก็จะมีการปล่อยตัว

การแสดงออกที่ผ่านมาของนปก.เป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลก

ว่าเป็นการแสดงออกซึ่งประชาธิปไตย โดยทราบข่าวว่า แนวร่วมที่ต่างจังหวัดถูกเจ้าหน้าที่รัฐปิดกั้น มีการนำรถทหารไปกั้นไม่ให้มีผู้มาร่วมชุมนุม ทุกวันนี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนเด็กทะเลาะกัน ไม่รู้จักโต เชื่อว่าเหตุการณ์อย่างนี้น่าจะอยู่ไม่นาน เดี๋ยวก็หายไป จะไม่มีใครตกอยู่ใต้อำนาจเผด็จการอย่างแน่นอน

ต่อมามีนายพันทิวา จ้าวแก้ว อายุ 37 ปี และนายโรจน์ ไม่ทราบนามสกุล

ทั้งคู่แต่งกายเรียนแบบนักโทษชาย มีการโกนศีรษะ พร้อมนำกุญแจมือและโซ่มามัดพันธนาการคล้ายนักโทษ โดยบอกจุดประสงค์ว่า ต้องการต่อต้านเผด็จการ ที่นำแกนนำ นปก.มาคุมขังโดยไม่มีความผิด ก่อนจะโดนเจ้าหน้าที่เรือนจำไล่กลับบ้าน

ทนายยื่นหนังสือศาลปล่อยตัว


ส่วนที่ศาลอาญา ถนนรัชดาฯ เมื่อเวลา 09.30 น. นายเจษฎา จันทร์ดี ทนายความผู้รับมอบอำนาจจาก นายวีระ มุสิกพงศ์ กับพวกรวม 9 คน แกนนำ นปก.ซึ่งถูกคุมขังในคดีหมายเลขดำที่ พ.1562/2550 ตามคำร้องฝากขังของพนักงานสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนผู้ถูกคุมขังโดยมิชอบด้วยกฎหมายและขอให้ศาลมีคำสั่งปล่อยตัวผู้ถูกคุมขังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญามาตรา 90 พร้อมทั้งยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งไต่สวนเป็นการด่วน และขอให้เบิกตัวผู้ถูกคุมขังทั้ง 8 คนจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครมาศาลในวันนี้ด้วย

อ้างคำสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ตามคำร้องขอให้ไต่สวนฯ 21 หน้า ระบุพฤติการณ์สรุปว่า คดีนี้สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 26 ก.ค.50 ศาลมีคำสั่งให้พนักงานสอบสวน ควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 9 ไว้ที่ สน.สามเสนเป็นเวลา 2 วัน ตามคำร้องขอออกหมายขังครั้งที่ 1 ฉบับลงวันที่ 26 ก.ค. ต่อมาวันที่ 27 ก.ค. พนักงานสอบสวนได้ยื่นคำร้องขอส่งตัวผู้ต้องหาคืนต่อศาล ซึ่งศาลได้มีคำสั่งให้นำตัวผู้ต้องหาไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เป็นเวลาอีก 10 วัน ตามคำร้องขอออกหมายขังครั้งที่ 1 โดยนายวีระ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายจักรภพ เพ็ญแข นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นพ.เหวง โตจิราการ นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย พ.อ. อภิวันท์ วิริยะชัย และนายมานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ ผู้ถูกคุมขังที่ 1-7 และ 9 เห็นว่าการยื่นคำร้องขอออกหมายขัง และการที่ศาลมีคำสั่งให้ คุมขังดังกล่าว เป็นการคุมขังโดยมิชอบด้วยกฎหมายตาม ป.วิอาญา มาตรา 90 คือผู้ถูกคุมขังทั้งหมดไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิดตามข้อกล่าวหา

นอกจากนี้ก่อนการยื่นคำร้องขอออกหมายขังดังกล่าว

ก็ไม่ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ถูกคุมขังทราบ การแจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ถูกคุมขังทราบจึงเป็นไปโดยไม่สุจริตและไม่ชอบด้วยกฎหมาย รวมทั้งขัดต่อคำสั่งศาล โดยตามคำร้องขอฝากขังครั้งที่ 1 ฉบับลงวันที่ 26 ก.ค. ในหน้าที่ 4 บรรทัดที่ 3 ระบุว่า "จากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้ง 9 ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา" นั้นเป็นความเท็จและมิชอบด้วยกฎหมาย

ยืนยันไม่ได้กระทำความผิด

ผู้ถูกคุมขังทั้งหมดยืนยันว่า ผู้ถูกคุมขังไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิดหรือไม่ได้เป็นหัวหน้า หรือผู้มีอำนาจสั่งการให้ประชาชนผู้ชุมนุมไปกระทำความผิดต่อกฎหมาย และไม่ได้ฝ่าฝืนคำสั่งหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานตำรวจ ตามข้อกล่าวหาของพนักงานสอบสวน โดยผู้ถูกคุมขังไม่เห็นด้วยกับการปฏิวัติรัฐประหารจึงชุมนุมเรียกร้องให้คณะปฏิวัติ คณะรัฐประหารและรัฐบาล รวมทั้งผู้ที่อยู่เบื้องหลังการทำรัฐประหารออกไปเพื่อให้มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย

โดยการชุมนุมผู้ถูกคุมขังไม่มีเจตนาอื่นใดแอบแฝง
 
ไม่มีการใช้อาวุธในการชุมนุมด้วย แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เกิดจากการวางแผนของผู้ที่ปฏิวัติรัฐประหาร สร้างเหตุการณ์ เพื่อเป็นการหาเหตุให้เกิดการกระทำผิดทางอาญาขึ้น ที่จะนำมากล่าวหาผู้ถูกคุมขังทั้งหมด รวมทั้งเพื่อเป็นเหตุในการออกหมายจับ โดยไม่มีการออกหมายเรียกให้ผู้ต้องหาเข้าไปให้การก่อน

พนักงานสอบสวนก็รู้ดีอยู่แล้ว

ซึ่งการวางแผนใช้กลหลอกลวงให้ผู้ถูกคุมขังทั้งหมดหลงเชื่อว่า เมื่อมารับทราบข้อกล่าวหาแล้วจะปล่อยตัวไป โดยเมื่อผู้ถูกคุมขังมาพบพนักงานสอบสวนได้ใช้วิธีการขอให้ศาลออกหมายขังผู้ถูกคุมขังทั้งหมด เพื่อให้เข้าตามหลักเกณฑ์ ป.วิอาญา มาตรา 134 วรรค 5 โดยผู้ถูกคุมขังทั้งหมดเห็นว่าขั้นตอนและกระบวนการที่พนักงานสอบสวนดำเนินการตั้งแต่การก่อเหตุให้เกิดความวุ่นวาย ในบริเวณที่ชุมนุมบ้านสี่เสาเทเวศร์ ด้วยการใช้แก๊สนำตา สเปรย์พริกไทย เพื่อเข้าจับกุมผู้ถูกคุมขังทั้งหมดโดยไม่มีการบอก กล่าวให้เลิกการชุมนุมก่อน ตลอดจนการขอออกหมายจับ การแจ้งข้อกล่าวหา และการขอออกหมายขัง ล้วนแต่อยู่ในแผนการที่พนักงานสอบสวนผู้ปฏิวัติรัฐประหารและผู้อยู่เบื้องหลังได้วางแผนมาตั้งแต่ต้น ทั้งที่พนักงานสอบสวนรู้อยู่แล้วว่าผู้ถูกคุมขังทั้งหมดและกลุ่มแกนนำไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิด หรือก่อความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง

เสมือนทุกคนถูกคำพิพากษา

ผู้ถูกคุมขังยังเห็นว่า การที่ศาลมีคำสั่งให้ควบคุมและคุมขังทั้งที่ยังอยู่ในชั้นพิจารณาการออกหมายจับ ซึ่งพนักงานสอบสวนยังทำการสอบสวนไม่แล้วเสร็จ อีกทั้งยังไม่มีคำสั่งฟ้องและที่สำคัญศาลยังไม่ได้มีคำพิพากษา ดังนั้นการที่ผู้ถูกคุมขังทั้ง 9 คน ได้ปรากฏตัวต่อหน้าศาลเมื่อวันที่ 26 ก.ค. 50 จึงเสมือนศาลได้มีคำพิพากษาลงโทษจำคุกผู้ถูกคุมขังไปก่อนแล้ว อันถือว่าเป็นคำสั่งที่ขัดต่อข้อสันนิษฐานของกฎหมายที่ว่า คดีอาญาก่อนมีคำพิพากษาถึงที่สุด ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่า ผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด ตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2540 มาตรา 33 แต่กลับปรากฏข้อเท็จจริงว่า ได้มีการจับกุมผู้ถูกคุมขังทั้ง 9 โดยใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ คอมมานโดเป็นจำนวนมากเข้ามาจับกุมในห้องพิจารณาคดีของศาล ซึ่งได้มีการบังคับขู่เข็ญ นายมานิตย์ ผู้ถูกคุมขังที่ 9 ซึ่งเคยเป็นอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ ทั้งที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีคำร้องขอออกหมายจับ

ไม่มีพฤติการณ์ที่จะหลบหนี

ผู้ถูกคุมขังทั้งหมดเห็นว่า การขอออกหมายจับและการฝากขังครั้งที่ 1 ถือว่ากระบวนการยังอยู่ในชั้นสอบสวนของพนักงานสอบสวนเท่านั้น ซึ่งการควบคุมตัวจะต้องเป็นไปตาม ป.วิ อาญามาตรา 87 คือ การควบคุมตัวผู้ต้องหาเพื่อมาให้การต่อพนักงานสอบสวนเท่านั้น และเมื่อเสร็จจากการสอบสวนต้องปล่อยตัวผู้ต้องหาไป เว้นแต่กรณีจะมีเหตุจำเป็นว่า ผู้ต้องหาจะหลบหนี หรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือ ก่อเหตุร้ายตามที่บัญญัติไว้ตาม ป.วิอาญามาตรา 66 ซึ่งพนักงานสอบสวนจะขอให้ศาลออกหมายขังได้ แต่เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงในการพิจารณาคำร้องการขอออกหมายจับของศาลจะเห็นได้ว่า พนักงานสอบสวนยอมรับแล้วว่า ผู้ถูกคุมขังทั้ง 9 ไม่มีพฤติการณ์ที่จะหลบหนี หรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือก่อเหตุร้ายแต่อย่างใด โดยเมื่อพนักงานสอบสวนนำตัวผู้ถูกคุมขังทั้ง 9 ไปทำบันทึกประวัติ แล้วก็ยื่นคำร้องขอคืนตัวต่อศาล จึงแสดงให้เห็นว่าพนักงานสอบสวนไม่มีเหตุจะต้องควบคุมผู้ถูกคุมขังทั้ง 9 ไว้ระหว่างการสอบสวนอีกต่อไป

ขอให้ปล่อยตัวทั้งหมดในทันที

เมื่อการคุมขังนี้เกินกว่าจำเป็น ตามพฤติการณ์แห่งคดี ตาม ป.วิอาญา มาตรา 87 วรรค 1 จึงถือเป็นการคุมขังโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นเมื่อการกระทำของพนักงาน สอบสวนทั้งหมดเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วย กฎหมายจึงไม่มีเหตุที่จะขอให้ศาลออกหมายจับ และขอออกหมายขัง ผู้ถูกคุมขังทั้ง 9 คน ตามคำร้องขอออกหมายจับลงวันที่ 24 กรกฎาคม ในคดีหมายเลขดำ จ.1605/50 และคำร้องขอฝากขังครั้งที่ 1 ลงวันที่ 26 ก.ค. จึงขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนผู้ถูกขังที่มิชอบด้วยกฎหมายและมีคำสั่งให้ปล่อยตัวผู้ถูกคุมขังในทันที
โดยศาลรับคำร้องไว้พิจารณาเบื้องต้น และส่งคำร้องให้นางจิราวรรณ สุญาณวานิชกุล อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ตรวจสอบคำร้อง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการประชุมหารือองค์คณะผู้พิพากษา

ศาลรับคำร้องไว้พิจารณา

ภายหลังนายเจษฎา จันทร์ดี ทนาย ความ กล่าวว่า หลังจากนี้ต้องรอคำสั่งศาลว่าจะวินิจฉัยอย่างไร หากศาลมีคำสั่งยกคำร้องตามกฎหมายให้สิทธิไว้ที่ยื่นอุทธรณ์หรือฎีกาได้ หรือว่าจะมีการยื่นประกันตัว แต่อย่างไรก็ดีการตัดสินใจนั้น ต้องเป็นไปตามติของแกนนำ นปก. ทั้งหมดว่าจะเลือกดำเนินการอย่างไรต่อไป การยื่นคำร้องเป็นการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ซึ่งแกนนำนปก.ทั้ง 8 เห็นว่าการดำเนินการทั้งหมดของพนักงานสอบสวนที่ผ่านมาไม่ชอบด้วยกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญามาตรา 134 วรรค 5 เรื่องการแจ้งข้อกล่าวหาและการถามคำให้การ ผู้ต้องหา ซึ่งแกนนำทั้ง 8 เห็นว่าการกระทำ ของพนักงานสอบสวนปฏิบัติโดยขัดต่อพฤติการณ์แห่งข้อเท็จจริงข้อกฎหมายและหลักแห่งความสุจริต

"เสน่ห์" เปิดทาง สนช.ถอด "จรัล"

ที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) นายเสน่ห์ จามริก ประธาน กสม. กล่าวถึงการเตรียมประชุม กสม.เพื่อพิจารณาทบทวนบทบาทการทำหน้าที่ของนายจรัล ดิษฐาอภิชัย กรรมการ กสม. เนื่องจากถูกคุมขังในข้อหาปลุกปั่นทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง เมื่อวันที่ 22 ก.ค.ที่ผ่านมาว่า เดิม กสม.ได้นัดประชุมกันเพื่อขอความคิดเห็นและมติของ กสม.ต่อเรื่องนี้ ไว้แล้ว แต่ติดขัดว่ากรรมการบางคนยังไม่ว่าง ทำให้ไม่ครบองค์ประชุมประกอบกับในวันนี้ (1 ส.ค.) สนช.จะมีการยื่นญัตติถอดถอนนายจรัล ออกจากตำแหน่งต่อที่ประชุม กสม.จึงต้องการฟังผลการประชุมก่อน ทำให้ต้องเลื่อนประชุม กสม.เป็นวันที่ 2 ส.ค. เวลา 09.30 น.

นายเสน่ห์ กล่าวอีกว่า ปัญหาดังกล่าวไม่ใช่เป็นครั้งแรก

ที่มีคนเสนอเข้ามาว่าให้พิจารณาปลดนายจรัล ออกจากตำแหน่ง กสม. ซึ่งโดยกฎหมายแล้ว กสม.ไม่มีอำนาจปลดใคร เว้นแต่เจ้าตัวจะมีวุฒิภาวะยอมลาออกเอง แต่โดยส่วนตัวแล้วในฐานะเพื่อนร่วมงาน ก็ได้ให้คำแนะนำหลายครั้ง ซึ่งการที่ สนช.ยื่นญัตติถอดถอนนายจรัล ตนเห็นว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ เพราะปัจจุบัน สนช.ทำหน้าที่แทน ส.ว.อยู่แล้วมีอำนาจถอดถอน ไม่เช่นนั้น กสม.ทุกคนก็สามารถทำอะไรก็ได้ ส่วนหากว่า สนช.จะพิจารณาถอดถอน กสม.ทั้งชุดก็เป็นสิทธิที่สามารถทำได้ เนื่องจากที่ผ่านมาสังคมสื่อมวลชนมองว่ากสม.ไม่มีผลงานหรือยอมทำอะไรเลย ทั้งที่เราพยายามชี้แจงตลอด  "เรื่องนี้ผมรู้สึกเฉย ๆ เพราะเราได้ทำงานมาเต็มที่แล้ว วันนี้ กสม.ยังทำหน้าที่รักษาการและยืนยันว่าทันทีที่การสรรหา กสม.ชุดใหม่ แล้วเสร็จ พวกผมก็พร้อมที่จะไป" นายเสน่ห์ กล่าว

"ประพันธ์" คาดชื่อครบถอดถอน

ที่รัฐสภา เมื่อเวลา 10.00 น. นายประพันธ์ คูณมี สนช. กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีการรวบรวมรายชื่อเพื่อยื่นถอดถอน นายจรัล ดิษฐาอภิชัย คณะกรรมการ กสม. และแกนนำ นปก.ออกจากตำแหน่งว่า นายคำนูณ สิทธิสมาน สนช.เตรียมยื่นญัตติเสนอประธาน สนช. แล้ว โดยต้องใช้สมาชิก 1 ใน 5 ซึ่งขณะนี้รวบรวมรายชื่อได้กว่า 30 ชื่อแล้ว หากครบก็จะยื่นในช่วงเย็นเพื่อให้ประธานสนช.บรรจุในระเบียบวาระการประชุม มั่นใจว่าการรวบรวมรายชื่อ 50 ชื่อ เพื่อยื่นญัตติจะได้ครบแน่นอน เพราะทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่า นายจรัล มีพฤติกรรมและปฏิบัติตนไม่น่าเป็นกสม.ที่ต้องอิสระ และเป็นกลางแต่นายจรัล ทำตรงข้าม คือกลับไปร่วมขบวนการคุกคามสิทธิเสรีภาพ ร่วมกับ 8 แกนนำ นปก.ก่อความวุ่นวายจลาจล โจมตีประธานองคมนตรี ถือว่าเป็นปฏิปักษ์กับระบอบการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข คือต่อต้านระบบการปกครองและสถาบัน

ยันตำรวจไม่ได้หักหลังใคร


ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส รรท.ผบ.ตร. กล่าวถึง กรณีแกนนำ นปก.ทั้ง 8 คนที่ถูกฝากขัง ได้ ยื่นหนังสือคัดค้านการฝากขังว่า เรื่องปกติที่ทั้ง 8 คนต้องดิ้นรนให้ออกมา แต่ตำรวจดำเนินการตาม กฎหมายมาโดยตลอด ตั้งแต่แรกก็ได้มีการรวบรวมพยานหลักฐานเสนอต่อศาล ขออนุมัติหมายจับ แต่ศาลไม่ได้อนุมัติในขณะนั้น จึงมีการเรียกมาไกล่เกลี่ย แต่ทางตำรวจไม่ได้เป็นคู่กรณีกับผู้ต้องหา ที่ต้องมีการไกล่เกลี่ย ตำรวจเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่จึงต้องดำเนินคดีไปตามกฎหมาย เมื่อผู้ต้องหามาปรากฏต่อหน้าที่ศาล จึงได้ควบคุมตัว และขออนุมัติต่อศาลฝากขังทันที

ส่วนกลุ่มแนวร่วม นปก.ที่ออกมาโจมตีการทำงานตำรวจนั้น

การจับกุมเป็นการดำเนินการตามกฎหมายไม่น่าจะมีปัญหา ใครที่ออกมาโจมตี หากพบว่ากระทำผิดก็จะจับกุมดำเนินคดีอีก และการออกมาโจมตีว่า ตำรวจหักหลังนั้น ตำรวจจะไปหักหลังใคร เพราะตำรวจทำงานซื่อตรงปฏิบัติตามกฎหมาย เมื่อศาลอนุมัติเราก็ดำเนินการตามกฎหมายทุกอย่าง

ระบุ "จักรภพ" นำเทปมาให้เอง

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ยังกล่าวถึงการดำเนินคดีกับ นายจักรภพ เพ็ญแข กรณีนำเทปลับอ้างเป็นเสียงการสนทนาระหว่าง 2 ตุลาการมาเปิดเผยบนเวที นปก.ที่ท้องสนามหลวงว่า นายจักรภพเป็นผู้นำเทปดังกล่าวไปแจ้งความดำเนินคดีกับ พล.อ.เปรม และคู่สนทนาทั้ง 2 คน ตำรวจได้ตรวจสอบแล้วไม่มีข้อความที่แสดงการหมิ่นประมาท ทั้งตำรวจและอัยการเห็นตรงกันว่า ไม่มีการฟ้อง ก็จบ แต่มีประเด็นที่ว่า นายจักรภพไปนำเทปซึ่งเป็นการดำเนินการที่ผิดกฎหมายมาเผยแพร่ ซึ่งผิด พ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม ตำรวจต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย ว่ากันไม่ได้

ผู้การชุมนุมควรจะจบได้แล้ว

"การชุมนุมของกลุ่ม นปก.ขณะนี้ไม่มีความหนักใจ และควรจะจบได้แล้ว เพราะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย แต่เราก็พยายามอะลุ้มอล่วยให้อิสระ อยากแสดงความคิดเห็นก็ไปสนามหลวง แต่อย่าออกมาจากตรงนั้น ถ้าออกมาก็จะดำเนินคดีทันที" พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าว และว่า ส่วนการจะดำเนินการรื้อถอนเวทีของกลุ่ม นปก.ตนยังไม่ทราบเรื่อง เพราะเป็นรายละเอียดของผู้ปฏิบัติ จะรื้อหรือไม่ เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนที่จะมองว่าเวทีเป็นของกลางหรือไม่ ถ้าเป็นเรื่องผิดกฎหมายก็ต้องยึด

ตร. 900 เตรียมรื้อเวที นปก.

ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล เมื่อเวลา 16.20 น. พล.ต.ต.นิพนธ์ ภุมรินทร์ รอง ผบช.น.รับผิดชอบงานกิจการพิเศษดูแลความสงบเรียบร้อยกลุ่มผู้ชุมนุม เปิดเผยว่า บช.น.ได้เตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ 191 กองร้อยปราบจลาจล 6 กองร้อย 900 นาย เข้าทำการรื้อเวทีปราศรัยของกลุ่มผู้ชุมนุม นปก. บริเวณท้องสนามหลวง ในเวลา 05.00 น. วันที่ 2 ส.ค. เนื่องจากเวทีปราศรัยดังกล่าวเป็นของกลางอย่างหนึ่งในสำนวนคดี และเป็นหลักฐานในการดำเนินคดีกับแกนนำ นปก.ทั้งหมด ที่ถูกจับกุมก่อนหน้านี้ เบื้องต้นอยู่ระหว่างการเจรจาประสานกับแกนนำที่เหลือว่า จะทำการรื้อเองด้วยสันติวิธีหรือไม่ แต่หากไม่ยอมหรือไม่สามารถตกลงกันได้เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะกระทำการรื้อในทันทีตามเวลาที่กำหนด

ทั้งนี้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจดังกล่าวที่เข้ากระทำการในครั้งนี้ไม่มีอาวุธใด ๆ

มีเพียงโล่กำบังเท่านั้น ขณะเดียวกันได้ประสานกับวิศวกรไว้แล้วว่าขั้นตอนการรื้อต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง คงไม่น่ามีปัญหาอะไร และต้องรื้อเวทีอย่างแน่นอน เพราะตำรวจผ่อนผันให้มานานแล้ว เนื่องจากทาง กทม. จะใช้พื้นที่บริเวณดังกล่าวในการจัดกิจกรรมวันแม่แห่งชาติด้วย อย่างไรก็ตามหากรื้อเวทีดังกล่าวแล้ว กลุ่มผู้ชุมนุมจะขออนุญาตในการตั้งเวทีทำกิจกรรมการเมืองใหม่ก็สามารถทำได้ แต่ต้องเป็นช่วงเวลาหลังจากที่มีกิจกรรมวันแม่แห่งชาติแล้ว

ศาลนัดฟังคำสั่งไต่สวน 2 ส.ค.

เมื่อถึงเวลา 16.30 น. องค์คณะผู้พิพากษาพิจารณาคำร้องยังไม่แล้วเสร็จ จึงนัดฟัง คำสั่งในวันที่ 2 ส.ค.นี้ เวลา 09.00 น. โดยนางจิราวรรณ สุญาณวนิชกุล อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา กล่าวย้ำว่า ศาลจะต้องตรวจสอบและพิจารณาคำร้องที่เกี่ยวข้องในคดีทั้งหมดโดยครบถ้วนเพื่อให้การพิจารณาเป็นไปด้วยความรอบคอบ และเพื่อให้การพิจารณาเพื่อมีคำสั่งเป็นไปตามข้อกฎหมายและด้วยความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย.

เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์