ระทึกคดียุบปชป. เทพเทือก-อภิสิทธิ์ ติวเข้มโร่แจงกกต.

แนวหน้า

เมื่อวันที่ 13 มิถุนายนถาวร เสนเนียม รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะคณะทำงานด้านกฎหมาย ยืนยันว่า พรรคพร้อมที่จะชี้แจงทุกข้อกล่าวหาตามที่คณะอนุกรรมการสืบสวนสอบสวนของ คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ในวันที่ 14 มิถุนายน กรณีพรรคไทยรักไทยร้องให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ เชิญมา โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค และตน จะเข้าชี้แจงด้วยตนเอง ซึ่งเบื้องต้นจะมีการนำเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับข้อกฎหมายต่างๆ ไปชี้แจง เช่น เอกสารของผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ซึ่งเขียนว่า ไม่มีใครอยู่เบื้องหลังการชุมนุมของประชาชนใน จ.สงขลา หรือการขัดขวางการออกมาใช้สิทธิของประชาชน และยืนยันว่า ไม่รู้สึกกังวลกับข้อกล่าวหาต่างๆ เพราะเห็นว่าไม่มีเนื้อหาสาระเพียงพอที่จะมีความผิดถึงขั้นยุบพรรคประชาธิปัตย์ได้ เว้นแต่จะเป็นการกลั่นแกล้งของ กกต.มากกว่า

อย่างไรก็ตามในวันเดียวกัน นายสุเทพ และนายอภิสิทธิ์ ได้เดินทางมาที่พรรคประชาธิปัตย์เพื่อซักซ้อมข้อมูลก่อนไปให้ปากคำกับ อนุกกต.

"เทพเทือก"บอกไม่ได้หนักใจ


นายสุเทพ ให้สัมภาษณ์ในเวลาต่อมาว่า ไม่หนักใจอะไรเพราะข้อหาระบุว่าพรรคประชาธิปัตย์ไปว่าจ้างพรรคพัฒนาชาติไทยและพรรคชีวิตที่ดีกว่าใส่ร้ายพรรคอื่น ซึ่งตนมีหลักฐานข้อเท็จจริงที่จะไปยืนยันกับกกต.ได้ว่าไม่ได้เป็นอย่างที่ถูกกล่าวหา โดยข้อมูลจะมีมากกว่าที่เคยยื่นไปแล้วซึ่งขณะนี้กำลังรวบรวมหลักฐานอยู่เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่ามีความเป็นจริงอย่างไรและจะต้องมีการประมวลข้อมูลให้เกิดความชัดเจนว่ามีลำดับขั้นตอนความเป็นมาอย่างไร

เมื่อถามว่าที่ผ่านมาพยานจากพรรคเล็กบางส่วนกลับคำให้การจากที่เคยมาแถลงร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่เป็นความจริงเป็นการเข้าใจผิด เพราะคนที่ไปให้การกับกกต.แล้วกกต.เอามาเป็นข้ออ้างคือหัวหน้าพรรคพัฒนาชาติไทย ซึ่งตนไม่อ้างหัวหน้าพรรคดังกล่าวมาเป็นพยานตั้งแต่ต้นแล้ว แต่ตนได้พยานหลักฐานแล้วไปแสดงให้กกต.ทราบเมื่อกกต.ได้วินิจฉัยและสั่งยุบพรรคพัฒนาชาติไทยไปแล้วต่อมาเกิดอะไรขึ้นไม่ทราบแต่ต่อมากลับมาอ้างหัวหน้าพรรคพัมนาชาติไทยกลับคำให้การ ซึ่งจะไปชี้แจงเรื่องนี้ด้วย เพราะเห็นว่าการกลับคำให้การไม่ได้ทำให้ข้อเท้จจริงเปลี่ยนแปลง

เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า สำหรับกรณีกล่าวว่าพรรคประชาธิปัตย์ไปว่าจ้างพรรคชีวิตที่ดีกว่า จะไปชี้แจงให้กกต.ทราบว่าไม่เคยพบกับพรรคชีวิตที่ดีกว่า ประเด็นอาจจะมีเรื่องที่มีการอ้างว่านายไทกร พลสุวรรณ ผู้ประสานเครือข่าวอีสานกู้ชาติ ได้ไปพบกับพรรคชีวิตที่ดีกว่าโดยมีเจ้าหน้าที่ปลอมตัวไปบันทึกเทปไว้ได้ ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องของนายไทกร ไม่เกี่ยวกับตนและพรรคประชาธิปัตย์ และคิดว่าน่าจะมีประเด็นอยู่เท่านี้ ส่วนกรณีอื่นๆ คงจะมีการสอบถามโดยรวมในส่วนที่เป็นเลขาธิการพรรค แต่คงเป็นประเด็นที่มุ่งตั้งข้อกล่าวพรรคโดยตรงที่หัวหน้าพรรคมากกว่า

พร้อมจะไปประชุมร่วมกับกกต.

เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ยังกล่าวถึงกรณีกกต.เรียกประชุมนายทะเบียนพรรคการเมืองเพื่อพิจารณาประเด็นการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองซ้ำซ้อนในวันที่ 14 มิ.ย.ว่า พรรคประชาธิปัตย์มอบหมายให้นายชินวรณ์ บุญยเกียรติ นายทะเบียนของพรรคไปชี้แจง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดีจะได้สะสางปัญหาสมาชิกที่ซ้ำซ้อนกันเพราะค่อนข้างมีปัยหา เนื่องจากมีบางคนเป็นสมาชิกหลายพรรค ไม่ว่าจะเป็น พรรคไทยรักไทย ชาติไทย มหชาชน และประชาธิปัตย์ การลงสมัครส.ส.จึงวุ่นวายเพราะเมื่อลาออกแล้วแต่ชื่อยังคงอยู่กับอีกพรรคหนึ่งจึงทำให้เป็นปัญหาได้
เมื่อถามว่าแสดงเชื่อว่าในวันที่ 15 ต.ค.นี้จะไม่มีการเลือกตั้งเกิดขึ้น นายสุเทพกล่าวว่า อาจจะต้องใช้เวลานานกว่านั้นเล็กน้อยหากจะต้องการให้การเลือกตั้งเกิดความบริสุทธิ์ยุติธรรม เพราะได้เสียเวลาของบ้านเมืองมามากแล้ว ก็ควรที่จะทำให้การเลือกตั้งครั้งต่อไปบริสุทธิ์ยุติธรรม จะได้นับหนึ่งกันดีๆ ส่วนเรื่องแพ้ชนะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

นายปกครอง สุนทรสุทธิ์ รองเลขาธิการด้านกิจการพรรคการเมือง กกต. กล่าวเรียกร้องให้ทุกพรรคการเมืองที่ได้รับหนังสือเชิญจากกกต.เข้าประชุมโดยพร้อมเพรียงกันในวันที่ 14 มิถุนายนเพื่อตรวจสอบเรื่องสมาชิกพรคที่ซ้ำซ้อน ร่วมกัน

กกต.ย้ำตรงไปตรงมาสอบยุบ-ไม่ยุบ ปชป.

นายสุริยา ทรงวิทย์ อดีตรองอัยการสูงสุด ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีพรรคไทยรักไทย ร้อง กกต. ให้สอบสวนเพื่อยุบพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรอบการสรุปสำนวน ว่า วันที่ 14 มิ.ย.จะมีการเชิญหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และเลขาธิการพรรค มาชี้แจงข้อกล่าวหา หลังจากนั้น ต้องดูว่าการให้ข้อมูลดังกล่าวมีการพาดพิงไปถึงบุคคลอื่นอีกหรือไม่ ถ้าพาดพิงก็ต้องเชิญมาชี้แจง แต่ถ้าไม่พาดพิงถึงใครก็จบได้เร็ว

ส่วนแนวทางการสรุปสำนวนเพื่อยื่นให้ประธาน กกต.นั้น นายสุริยา กล่าวว่า เมื่ออนุฯได้ข้อมูลจนเป็นที่ยุติแล้วก็จะรวบรวมพยาน ข้อเท็จจริงว่า ข้อกล่าวหาฟังได้หรือไม่ และฟังได้แค่ไหนเพียงไร ลักษณะการสรุปสำนวนของอนุฯเปรียบเทียบได้กับเจ้าพนักงานสอบสวนที่สรุปสำนวนไปให้อัยการ จากนั้นอัยการอาจสั่งสอบเพิ่ม หรือจะสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องก็เป็นได้ ดังนั้น กรณีนี้ความเห็นของอนุฯจึงไม่ได้เป็นไปอย่างเด็ดขาดแต่ขึ้นกับ กกต.จะสรุปอย่างไรในท้ายที่สุด

เมื่อถามว่า หากได้ข้อมูลจนเป็นที่ยุติแล้วพบว่ามีความผิด อนุฯต้องชี้ไปถึงขั้นสมควรยุบพรรคหรือไม่ นายสุริยา กล่าวว่า คงไม่พูดไปถึงว่ามีมูลสมควรยุบพรรค แต่เป็นการรวบรวมพยานและข้อเท็จจริงส่งไปว่าข้อกล่าวหาฟังได้แค่ไหน และตนไม่ทราบว่า อนุฯชุด นายนาม ยิ้มแย้ม ที่เป็นประธานสอบกรณีพรรคใหญ่จ้างพรรคเล็กลงสมัครเลือกตั้งส่งไปในรูปแบบใด แต่คงจะเอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้ เพราะแต่ละชุดก็เป็นอิสระ และขอยืนยันว่า จะทำหน้าที่ตรงไปตรงมาอย่างดีที่สุด ขอให้อดใจรอฟังผลอีกหน่อย

ทรท.ขู่ถ้าโดนยุบเท่ากับบอนไซปชต.

นายสุทิน คลังแสง รองโฆษกพรรคไทยรักไทย กล่าวจากนี้ไปแผ่นดินจะสุขสงบ การเมืองมีทางออกที่ดี แต่ขึ้นอยู่กับจิตใจของนักการเมืองแต่ละคนด้วย อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาจะเห็นว่าห้ำหั่นเอาเป็นเอาตายถึงขั้นพยายามยุบพรรค การเมืองบ้านเราไม่เคยเข้ามุมอับถึงขนาดนี้ แม้แต่ยุคเผด็จการที่ไม่มีรัฐธรรมนูญ พรรคการเมืองยังสามารถดำเนินการไปได้ ไม่เคยมีใครคิดจ้องทำลายถึงขั้นสลายกลุ่มหรือยุบพรรคการเมืองกัน แต่ขณะนี้ไม่ใช่ยุคเผด็จการ อีกทั้งมีรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุด แต่ทำไมต้องเล่นแรงถึงขั้นยุบพรรคกันด้วย เท่ากับจ้องประหารชีวิตกันเลย การยุบพรรคการเมืองจะคำนึงถึงหลักนิติศาสตร์อย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องคำนึงถึงหลักรัฐศาสตร์และประวัติศาสตร์ควบคู่ไปด้วย

"ขอเตือนว่าถ้าพรรคใหญ่พรรคใดพรรคหนึ่งหรือทั้ง 2 พรรคถูกยุบไป ด้วยเหตุผลแค่การหาเรื่องกลั่นแกล้งกัน ประวัติศาสตร์ทางการเมืองจะต้องจารึกว่ากระบวนการประชาธิปไตยของไทยได้ถูกบอนไซครั้งยิ่งใหญ่ ประชาชนจะขวัญเสีย ไม่เชื่อมั่นต่อระบอบประชาธิปไตย บ่งบอกว่าประชาธิปไตยของเราเปราะบาง สิทธิเสรีภาพทางการเมืองของประชาชนบางเบา ไร้หลักประกัน เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตยให้เข้มแข็งได้" นายสุทินกล่าว และมั่นใจว่าจะมีการเลือกตั้งวันที่ 15 ตุลาคมนี้แน่นอน

สมาชิกทรท.ทำใจถูกยุบพรรค

นายอิทธิเดช แก้วหลวง อดีต ส.ส.เชียงรายพรรคไทยรักไทย ว่าแม้ในอนาคตพรรคไทยรักไทยจะโดนยุบพรรคลงไป ไม่ว่าเหตุผลใดๆก็ตาม แล้วมีการตั้งพรรคใหม่ขึ้นมาซึ่งมีอดีต ส.ส.ไทยรักไทยเข้าไปอยู่พรรคนั้น ชาวบ้านก็ยังยืนยันว่าจะเลือกพรรคที่มีคนของไทยรักไทยอยู่ดี

"วันนี้ชาวบ้านเจ็บแค้น โกรธแค้น ผู้ที่ไม่ยอมประณีประนอมและสร้างสถานการณ์ให้เป็นแบบนี้ เพราะชาวบ้านกำลังลืมตาอ้าปากได้กลับต้องมาจบลงเพราะความวุ่นวายทางการเมือง วันนี้ยาบ้าก็กลับมาแล้ว แต่หลายคนก็ทำใจ เพราะรู้สึกว่ายังมีอีกหลายเรื่องที่มันซับซ้อนและชาวบ้านยังไม่รับรู้และเข้าใจไม่ถึง ผมว่าสถานการณ์มันจะเลวร้ายไปกว่านี้อีกเยอะ ถ้าไม่มีการพูดคุยกันของผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง เพื่อหาทางยุติปัญหา"อดีต ส.ส.เชียงรายพรรคไทยรักไทยกล่าว
ด้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย รักษาการนายกฯยังไม่ยอมให้สัมภาษณ์ใดๆในทางการเมืองช่วงมีพระราชพิธีสำคัญ

ปรับโครงสร้างกกต.ใหม่

มีรายงานข่าวจากกกต. แจ้งว่า กกต.มีมติเห็นชอบให้มีการปรับโครงสร้างการบริหารงานองค์กรใหม่ เพื่อแก้ไขปัญหาความไม่เชื่อมั่นของสังคมที่มีต่อกกต. โดยขณะนี้ให้มีการตั้งคณะทำงานเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างฯ มีเลขาธิการกกต. เป็นประธาน ไปร่วมหารือและรับฟังความคิดเห็นจากเลขานุการประธานศาลฎีกา เนื่องจากต้องการขอความร่วมมือและขอรับการสนับสนุนบุคลากรมาร่วมปฏิบัติงานเพื่อลดกระแสกดดันให้กกต.ลาออก

สำหรับเหตุผลหนึ่งที่ต้องปรับโครงสร้าง เนื่องจากกกต.มีรูปแบบเชิงราชการมากเกินไป ขาดการมีส่วนร่วมของภาคสังคม แม้กกต.จะปฎิบัติตามกฎหมายอย่างสุจริต แต่ก็ยังเป็นที่สงสัย จึงต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน ซึ่งมีรายงานข่าวยว่างบประมาณที่จะใช้ปรับโครงสร้างใหม่ของกกต.สูงถึง 45.6ล้านบาท
โคทมยำซ้ำกกต.ไร้ความน่าเชื่อถือ

นายโคทม อารียา อดีตกกต. กล่าวว่า ปัญหารุนแรงของกกต.ในตอนนี้คือ ไม่ได้รับความไว้วางใจจากสังคม แม้จะปรับโครงสร้างใหม่ ถึงคนนอกเข้ามาทำงาน ก็ไม่ได้แน่ใจว่าจะ แก้ไข

ด้านนายคมสัน โพธิ์คง อาจารย์นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ซึ่งเคยทำงานอยู่ในกกต.ชุดแรก กล่าวว่า รูปแบบโครงสร้างที่จะปรับไม่ใหม่เลย เป็นรูปแบบที่ตำรวจหรือมหาดไทยชอบใช้ เมื่อราชการมีข้อพิพาทกับประชาชนหรือเอ็นจีโอ ปัญหาสำคัญของโครงสร้างแบบนี้คือสุดท้ายก็ทำงานไม่ได้ เพราะเป็นแค่โครงสร้างซื้อเวลา ลดกระแสเท่านั้น เพราะความเห็นของคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นกกต.จะเอาหรือไม่ก็ได้ สุดท้ายคนที่ถูกตั้งก็เป็นแค่คนถูกเชิดขึ้นมา ทางออกที่ดีที่สุดในปัจจุบันคือ กกต.ชุดนี้ควรลาออก

มีชัย´ย้ำใช้ พ.ร.ฎ.กลางเดือน ส.ค. รองรับการเลือกตั้ง 15 ต.ค.นี้

วันเดียวกันนายมีชัย ฤชุพันธ์ อดีตประธานวุฒิสภา ตอบคำถามเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันผ่านเว็บไซต์www.meechaithailand.com ในหลายประเด็น เกี่ยวกับการเลือกตั้ง โดยเฉพาะที่กำหนดวันเลือกตั้ง 15 ตค.นั้นรัฐบาลต้องออกพระราชกฤษฎีกากลางเดือนสิงหาคม ประมาณวันที่ 15 หรือ 16 ซึ่งจะเป็นไปตามเงื่อนไขที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้60วันภายหลังมีพระราชกฤษฎีกา

เตือนกกต.อย่าดื้อดึง-เชื่อไม่ถึงยุบทรท.

นายเกษม ศิริสัมพันธ์ อดีตเลขาธิการพรรคกิจสังคม กล่าวว่า ตนเคยแนะนำให้กกต.ลาออกแล้วแต่ยังดื้อดึง ทำตัวเป็นเป็นทำตัวเป็นจระเข้ขวางคลองแบบนี้ทุกอย่างก็ติดขัดไปหมด ทำอะไรไม่ได้เลย อย่าลืมว่าเมื่อเร็วๆนี้ศาลได้สั่งจำคุกกับอดีตประธานคตง.ไปแล้วในเรื่องการทำงาน เรื่องนี้จะเป็นตัวอย่างที่กกต.ควรนำไปประกอบการพิจารณา หากยังไม่สนใจกับสิ่งที่ศาลเคยแนะนำแล้ว กกต.อาจโดนจำคุกด้วยคดีใดคดีหนึ่งที่เกี่ยวกับการจัดการเลือกตั้งก็มีความเป็นไปได้มากทีเดียว "กรณีอดีตประธานคตง.เป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู หากกกต.ยังดื้อแบบนี้อีกโดนแน่ๆ" นายเกษม กล่าวและเชื่อว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับการจ้างพรรคเล็กพรรคไทยรักไทยคงไม่ถึงถูกยุบ

นายสุขุม นวลสกุล อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง กล่าวว่าการเมืองมันพลิกได้แทบทุกวัน เพราะฉนั้นต้องมองกันวันต่อวัน แต่ตอนนี้แรงกดดันทั้งหลายทั้งปวงตกอยู่ที่ กกต.เพราะกำลังขาดความน่าเชื่อถือและน่าจะพิจารณาตัวเองได้แล้ว หากกกต.ยังดึงดันทำงานต่อไปอาจโดนบีบให้ออกจากตำแหน่งด้วยคดีใดคดีหนึ่งที่กำลังพิจารณาอยู่ในช่วงนี้ก็เป็นได้

อัยการสูงสุดนัดประชุม15มิย.

แหล่งข่าวจากอัยการสูงสุดระบุถึงความคืบหน้าในการสืบสวนของคณะกรรมการรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีมีผู้เสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดดำเนินการตามความในมาตรา 63 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งได้รับมอบหมายให้ตรวจสอบข้อมูลกรณีที่กกต.ได้ส่งสำนวนให้อัยการดำเนินการส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญดำเนินการยุบพรรคไทยรักไทย โดยมีนายชัยเกษม นิติศิริ รองอัยการสูงสุด เป็นประธานฯ ว่า ขณะนี้คณะกรรมการทั้ง 11 คน ได้รับมอบหมายให้ตรวจสอบเอกสารต่าง ๆ ที่กกต.ส่งมาให้และระหว่างวันหยุดคณะกรรมการหลายคนก็มีการประสานงานเพื่อหารือถึงข้อกฎหมายในการพิจารณาเรื่องดังกล่าว เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่ที่ทางอัยการสูงสุดจะต้องพิจารณาให้เร็วและรอบคอบ เนื่องจากเป็นคดีการเมืองที่ประชาชนให้ความสนใจ

แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า ส่วนหลักฐานที่คณะกรรมการฯ แต่ละคนนำไปพิจารณานั้นประกอบด้วยเอกสาร 5 อย่าง ประกอบด้วย 1.สำนวนของกกต. 2.ผลสอบกรณีพรรคใหญ่จ้างพรรคเล็กลงสมัครรับเลือกตั้งของคณะอนุกรรมการฯ ที่มีนายนาม ยิ้มแย้ม เป็นประธานฯ 3.มติของกกต. 4.ผลการประชุมของคณะอนุกรรมการฯ ชุดนายนาม และ 5.รายงานการประชุมกกต หากหลักฐานเพียงพอ อสส.ก็พร้อมจะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย

โดยคณะทำงานของอัยการจะประชุมกันในวันที่ 15 มิถุนายนเวลา 09.00 น.เพื่อสรุปหลักฐานและข้อมูลสำคัญเสนอให้คณะกรรมการพิจารณา

เลขาพีเน็ตจี้ให้กกต.รีบไขก๊อก

นายวรินทร์ เทียมจรัส เลขานุการมูลนิธิองค์กรกลางเพื่อการเลือกตั้ง(พีเน็ต) กล่าวถึงกรณีที่กกต.ไม่ได้ชี้มูลความผิดของพรรคไทยรักไทยใน การส่งผลการสอบสวนคดีว่าจ้างพรรคผู้สมัครพรรคการเมืองขนาดเล็กลงเลือกตั้งให้กับอัยการสูงสุดว่า ช่วงนี้มีผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าวต่างประเทศหลายแห่งได้ให้ความสนใจในคดีนี้ ซึ่งก็ได้มีการโทรศัพท์มาสอบถามถึงปัญหาดังกล่าวเช่นกัน ตนก็ตอบไปว่ามันจัดการเลือกตั้งไม่ได้แน่นอน ซึ่งตนคิดว่าตอนนี้กกต.คงกำลังดันทุรังปัญหาไว้อยู่ ซึ่งถ้าหากยังมีปัญหาอยู่อีกทางออกปัญหานี้ก็ยังมีศาลอีก 3 ศาลที่จะทำหน้าที่ต่อจากอัยการสูงสุด ทั้งนี้ก็ยังเชื่อมั่นว่าการเลือกตั้งที่ได้กำหนดว่าให้เลือกในวันที่ 15 ตุลาคมนี้ก็ยังจัดการเลือกตั้งไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะองค์คณะของกกต.ไม่ครบ 4 ใน 5 ก็จะประชุมไม่ได้ ทางออกในเรื่องนี้คือ กกต.ต้องลาออกโดยไม่มีเงื่อนไข ถ้าไม่ลาออกศาลคงให้หวยกกต.แน่

ปลาไหลเปิดตัวผู้สมัคร 19 มิย.

นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รองหัวหน้าพรรคชาติไทย ได้เสนอแนะ พล.ต.ต.เอกชัย วารุณประภาเลขาธิการ กกต. มีความพยายามที่จะขอค่าตอบแทนให้ตัวเอง โดยให้พิจารณาว่าทำงานคุมกับค่าตอบแทนที่ผ่านมาหรือไม่

ส่วนเรื่องการไปประชุมกับกกต.ในวันที่ 14 มิถุนายนนี้นายสมศักดิ์ยืนยันว่า พรรคชาติไทยจะส่งนายเกษม สรศักดิ์เกษม รองเลขาธิการพรรคชาติไทย ในฐานะฝ่ายกฎหมายพรรคชาติไทย ไปร่วมหารือกับกกต.ซึ่งคาดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร และเมื่อหารือแล้วก็จะมารายงานให้พรรคชาติไทยทราบอีกครั้ง

ส่วนความคืบหน้าการเปิดตัวผู้สมัครพรรคชาติไทยนั้น ในวันที่ 19 มิ.ย. นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยจะแถลงข่าวเปิดตัวผู้สมัครด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้ยังไม่ขอพูดว่าผู้สมัครในระดับรัฐมนตรีนั้นเป็นใคร ให้ฟังคำตอบจากนายบรรหารเองจะดีกว่า

จ่ายเงินเดือน ส.ว.เก่า-ใหม่ทำให้รัฐเสียประโยชน์

นายคณิน บุญสุวรรณ อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรมนูญ (ส.ส.ร.) กล่าวถึงกรณีที่สำนักงานเลขาธิการ วุฒิสภา จ่ายเงินเดือนให้แก่ ส.ว. ชุดรักษาการ กับว่าที่ ส.ว.ใหม่ ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศรับรองผล รวมกันเป็นเงินตกเดือนละเกือบ 35 ล้านบาท ว่าการจ่ายเงินเดือนทั้ง 2 กรณี ถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่และตีความกฎหมายที่ทำให้รัฐเสียประโยชน์ ถ้าไม่รีบตัดไฟแต่ต้นลม ต่อไปสำนักงานเลขาธิการ วุฒิสภา จะมีปัญหาฟ้องร้องเรียกเงินคืน เหมือนอดีต ส.ส. และ ส.ว. จำนวนหลายสิบคนที่ถูก กกต. ให้ใบแดงและถูกฟ้องเรียกเงินคืน จนเวลาผ่านไปหลายปีแล้วยังไม่ได้เงินคืน

นายคณิน กล่าวว่า หลักการตีความกฎหมายมหาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐธรรมนูญต้องตีความให้เกิดประโยชน์กับ "รัฐ" และเกิดประโยชน์กับ "ส่วนรวม" ไม่ใช่ตีความเพื่อให้ "บุคคล" มาเอาเปรียบรัฐ ในส่วนของ ส.ว. 200 คน ชุดที่มี นายสุชน ชาลีเครือ เป็นประธานวุฒิสภานั้น ครบวาระไปตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม 2549 แล้ว ดังนั้น สถานภาพของการเป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือแม้แต่การเป็นประธานวุฒิสภาก็สิ้นสุดลงไปนับตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคมเป็นต้นมา ทั้งนี้ เป็นไปตามมาตรา 133 (1)

นายคณิน กล่าวว่า การนำมาตรา 131 วรรคสอง มาอ้างเพื่อรับเงินเดือนต่อไป ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เป็น ส.ว. แล้ว เป็นการอ้างที่ไม่ชอบด้วยเหตุผล เพราะถ้าดูให้ดีมาตรา 131 วรรคสอง บัญญัติว่าเพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตามมาตรา 168 ให้สมาชิกวุฒิสภาที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในวันที่อายุของวุฒิสภาสิ้นสุดลงทำหน้าที่ต่อไป จนกว่าสมาชิกวุฒิสภาที่ได้รับเลือกตั้งใหม่จะเข้ารับหน้าที่นั้น เป็นเรื่องของการประชุมเพื่อแต่งตั้งองค์กรอิสระและถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเท่านั้น
จะรับเงินเดือนได้ต้องปฎิญานตนก่อน

นายคณิน กล่าวด้วยว่า ส.ว.ใหม่ 140 คน ที่ กกต. ประกาศรับรองผล ซึ่งสำนักงานเลขาธิการ วุฒิสภา ได้จ่ายเงินเดือนให้นับตั้งแต่วันเลือกตั้ง โดยไปยึดติดกับข้อความในมาตรา 132 ที่ว่า "สมาชิกของวุฒิสภาเริ่มตั้งแต่วันเลือกตั้ง" ถือเป็นการตีความที่ผิด ไม่รักษาประโยชน์ของส่วนรวม และทำให้รัฐเสียหาย ด้วยเหตุที่ว่าสมาชิกภาพของ ส.ว. เริ่มตั้งแต่วันเลือกตั้งก็จริง แต่มาตรา 150 ระบุไว้ชัดว่า "ก่อนเข้ารับหน้าที่สมาชิกวุฒิสภาต้องปฏิญาณตนในที่ประชุมแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิก" ดังนั้น ตราบใดที่ยังไม่ได้ปฏิญาณตนจะเข้ารับหน้าที่ไม่ได้และเมื่อเข้ารับหน้าที่ไม่ได้ แล้วจะได้รับเงินเดือนได้อย่างไร

โสภณลุ้นระทักข้อหาหมิ่นศาล

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่าในที่ 14 มิถุนายนนี้ เวลา 13.30น.นายโสภณ เพชรสว่าง อดีตสมาชิกส.ส.บุรีรัมย์ กลุ่มวังน้ำยม และนายบัวสอน ประชามอญ อดีต จังหวัดเชียงราย พรรคไทยรักไทย ผู้ถูกกล่าวหาในฐานความผิดละเมิดอำนาจศาลหรือดูหมิ่นศาลหรือตุลาการ จะให้ถ้อยคำต่อศาลเกี่ยวกับแถลงข่าวและให้สัมภาษณ์ดังกล่าว ที่ศาลปกครองกลาง

โดยเหตุเกิดจากนายโสภณและพวกได้แถลงข่าววิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ของศาลปกครองในการพิจารณาคดีการเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายน ที่นายโพธิพงศ์ บรรลือวงศ์และพวก ยื่นให้ศาลปกครองเพิกถอนการเลือกตั้งวันที่ 22 เมษายน 2549เนื่องจากหันคูหาเลือกตั้งออก อันขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 104 วรรคสาม เกี่ยวกับการหันคูหาเลือกตั้งออกที่อาจจะเข้าข่ายดูหมิ่นศาลนั้นและยังมีการพาดพิงอีกว่ามีตุลาการศาลปกครองบางคนมีความใกล้ชิดพรรคประชาธิปัตย์
ด้านนายโสภณ กล่าวว่าจะไปชี้แจงต่อศาลปกครองและไม่ได้ตั้งทีมทนายสู้ซึ่งตนจะกราบเรียนศาลตรงๆ เกี่ยวกับการแถลงข่าวเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่กกต.แต่ข่าวที่ออกมากลับตรงกันข้ามกับที่ได้แถลงไป

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์