ยงยุทธ เขินเก้าอี้ประธานสภาฯ

เมื่อเวลา 13.30 น. วันเดียวกัน นายยงยุทธ ติยะไพรัช ส.ส.สัดส่วน กลุ่มที่ 1 พร้อมด้วย น.ส.ละออง ติยะไพรัช และนายอิทธิเดช แก้วหลวง ส.ส.เชียงราย พรรคพลังประชาชน

ได้เดินทางมารับหนังสือรับรอง ที่อาคารศรีจุลทรัพย์ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดยนายยงยุทธได้กล่าวถึงกรณีที่พรรคพลังประชาชนจะเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเพียงข่าว ขณะนี้พรรคพลังประชาชนยังไม่ได้มีการประชุมหารือกันในเรื่องนี้ หากพูดไปก่อนจะเป็นการเร็วเกินไป เมื่อถามว่า เรื่องร้องคัดค้านของนาย ยงยุทธที่ยังพิจารณาไม่แล้วเสร็จ จะเป็นปัญหาต่อการดำรง ตำแหน่งประธานสภาฯหรือไม่ นายยงยุทธตอบว่า เรื่องนี้ เร็วเกินไปที่จะตอบ
 

เมื่อถามถึงกรณีที่นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคประชาธิปัตย์ จะยื่นเรื่องให้ กกต.ตรวจสอบ

เพื่อส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรคพลังประชาชน นายยงยุทธตอบว่า เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวน การของกฎหมายที่นายไชยวัฒน์สามารถทำได้ บ้านเมืองเรามีหลักเกณฑ์ แต่ถ้านำสิ่งต่างๆมาตีความ ให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบ สังคมจะเกิดความแตกแยก ขัดแย้งขึ้นทุกวัน 


“ผมไม่เคยทะเยอทะยาน อยากเป็นโน่นเป็นนี่ ตำแหน่งประธานสภาฯยังไม่รู้จริงๆ ไม่ได้โกหก แต่การเป็นพรรคร่วมรัฐบาลนั้น จะอยู่ที่ข้อตกลงร่วมกัน ไม่ได้ เป็นกฎหมาย บางครั้งก็สามารถคุยกันได้ว่า ถ้าพรรคร่วม รัฐบาลไม่อยากเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ  ก็สามารถให้พรรคพลังประชาชน ส่วนจะขอโควตา รมช.แทนได้หรือไม่นั้น ต้องมาคุยกัน” นายยงยุทธกล่าว 



นายยงยุทธกล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เรื่องการ เสนอชื่อประธานสภาฯ มีหลายคนที่ถูกเสนอชื่อ แต่ยังไม่ตกผลึก

และขณะนี้ทราบว่ามีผู้ที่เหมาะสมประมาณ 4-5 คน และคาดว่าวันที่ 21 ม.ค. น่าจะได้ข้อสรุป เมื่อถามว่า ตำแหน่งประธานสภาฯมีส่วนสำคัญในการพิจารณาเรื่องนิรโทษกรรมอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 คน ใช่หรือไม่ นายยงยุทธตอบว่า เป็นเรื่องที่เร็วเกินไปที่จะพูด เพราะการแก้ไขสิ่งต่างๆตามรัฐธรรมนูญ จะต้องได้รับการ เห็นชอบจากการเมืองภาคประชาชน ไม่ใช่จากในสภาฯเท่านั้น

นายยงยุทธให้สัมภาษณ์อีกครั้ง ที่รัฐสภา หลังมา รายงานตน โดยกล่าวว่า ยังเร็วเกินไปที่จะตอบว่าจะได้เป็น ประธานสภาผู้แทนราษฎร ตามที่นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้า พรรคพลังประชาชน ระบุหรือไม่

เพราะยังมีกระบวนการทางพรรคที่จะเลือกใคร ตอนนี้ยังไม่ได้พูดคุยกัน หากพูด ออกไปจะเหมือนสายล่อฟ้า และเห็นว่ามีหลายคนในพรรค เหมาะสม หากให้พูดก่อนจะกลายเป็นเรื่องอวดดีเกินสมาชิก พรรค พูดมากเกรงเสียมารยาท ถึงเวลาคุยกันอีกครั้ง ผู้สื่อข่าว ถามว่า หากได้เป็นประธานสภาจะมีปัญหาหรือไม่ เพราะยังมีคดีทุจริตเลือกตั้งค้างอยู่ที่ กกต. นายยงยุทธตอบว่า สบายใจที่สุด แม้มีการถอนคำร้องออกไป แต่อยากให้มีกระบวนการสอบสวนต่อไป มั่นใจในกระบวนการ เมื่อคน ทำไม่ได้ร้อง คนร้องไม่ได้ทำ จึงเกิดเรื่อง และมีคนที่ไม่ใช่ กกต.ไปใช้อำนาจชี้นำกล่าวร้ายพรรค และสถาบัน ถ้าพูดต่อ จะทำลายความสงบสุข ศีลธรรมอันดี เกิดความแตกแยก เรื่องจะลุกลาม ไม่ใช่คนทะเยอทะยาน มักใหญ่ใฝ่สูง ความ มั่นคงของประเทศจะไม่เกิดถ้าประชาชนเกิดความแตกแยก 


นายยงยุทธกล่าวต่อว่า ประเทศไทยมีศูนย์รวมแห่งจิตใจที่แข็งแรงที่สุด

ถ้าหากมีเหตุเกินเลยอะไรไป อยากเห็นความมั่นคงสงบสุข แต่หากติดกับดักต่อไปหนีไม่พ้นหลุมดำ คนเป็นเหยื่อหนีไม่พ้นประชาชน วันนี้นักการเมืองมีหน้าที่ขจัดอุปสรรค ให้การเมืองผ่านไปได้ การเมืองมีอายุขัย  เมื่อครบอายุก็ถูกตรวจสอบโดยประชาชน  ถ้าการเมืองเดินไปตามนี้ก็ไปได้ แต่อย่าให้ผิดธรรมชาติ เพราะอะไรที่บังคับเกินไปบางทีอาจไม่เข้ารูปเข้าร่างได้ หวังว่าพรรคการเมือง นักการเมืองต้องลดทิฐิมานะ ทัศนคติที่ไม่ดีต่อกัน และมุ่งเน้นประโยชน์ประเทศ

ต่อข้อถามถึงความคืบหน้าในการจัดสรรโควตารัฐมนตรี นายยงยุทธตอบว่า

ครั้งนี้ชื่นใจ ทุกพรรคการเมืองอยากให้บ้านเมืองไปได้ บางพรรคไม่ได้พูดเรื่องโควตาหรือตำแหน่ง ขอช่วยให้บ้านเมืองไปได้พ้นหลุมดำ ไม่เหมือนในอดีตที่พรรคร่วมรัฐบาลจะต่อรองหรือทุบโต๊ะ และแม้จะ เป็นรัฐบาลผสมที่มี 315 เสียงก็ไม่ได้ปริ่มน้ำ เพราะกึ่งหนึ่งของสภามากกว่า 60 เสียง แต่เสถียรภาพไม่ได้อยู่ที่มือในสภาฯ แต่อยู่ที่การเมืองนอกสภาด้วย 


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์