ยกฟ้องชูวิทย์ด่าเติ้งไร้สัจจะ-ไม่มีจุดยืน

ยกฟ้องชูวิทย์ด่าเติ้งไร้สัจจะ-ไม่มีจุดยืน

12 ธ.ค.55 ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ อ.304/2551 ที่ นายบรรหาร ศิลปอาชา

ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา และอดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย มอบอำนาจให้นายนิกร จำนง อดีตกรรมการบริหารพรรคชาติไทย เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย อดีตรองหัวหน้าพรรคชาติไทย เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328, 332

               
 โดยคดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 29 ม.ค.51 ระบุว่า ระหว่างวันที่ 18 - 21 ม.ค.51 นายชูวิทย์ จำเลย ตั้งโต๊ะแถลงข่าวหน้าพรรคชาติไทย

กล่าวเปรียบเทียบโจทก์ เหมือนเป็นหลงจู๊ และวิจารณ์การร่วมรัฐบาลของพรรคชาติไทย กับพรรคพลังประชาชนว่าโจทก์ ไร้สัจจะ ไม่มีจุดยืน  สังคมผิดหวังโกหกประชาชน หลอกลวงชาวบ้าน หลังจากที่โจทก์เคยให้สัมภาษณ์ว่า จะไม่ร่วมรัฐบาลพรรคพลังประชาชน เหตุเกิดหน้าที่ทำการพรรคชาติไทย แขวง - เขตดุสิต  แขวงอนุสาวรีย์ เขตพญาไท และที่อื่นเกี่ยวพันกัน ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 24 ส.ค. 52 ให้ยกฟ้อง เนื่องจากเห็นว่า การกระทำของจำเลย ได้วิจารณ์การกระทำโจทก์ในฐานะเป็นหัวหน้าพรรคชาติไทย และเคยเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งถือเป็นบุคคลสาธารณะ อยู่ในวิสัยที่จำเลย ซึ่งเป็นนักการเมืองและประชาชนสามารถวิพากษ์วิจารณ์การทำงาน รวมทั้งการเข้าร่วมรัฐบาล ซึ่งรัฐธรรมนูญ ปี 2550 มาตรา 45 ให้การรับรองคุ้มครองสิทธิการแสดงความคิดเห็น การกระทำของจำเลยจึงยังไม่เข้าข่ายความผิด ต่อมาโจทก์จึงยื่นอุทธรณ์

                
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า คำพูดที่จำเลยกล่าวถึงหลงจู๊
 
และกล่าวว่าโจทก์ ไร้สัจจะ เป็นการเปรียบเทียบถึงการกระทำ ที่โจทก์เคยให้สัมภาษณ์ที่ศูนย์เยาวชนไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง ในการรับสมัครเลือก สส.เมื่อปี 2551 โดยโจทก์ ระบุว่า จะไม่เข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชน แต่ภายหลังต่อมาพรรคชาติไทยได้เข้าร่วมรัฐบาล ซึ่งโจทก์เองก็เคยกล่าวในที่ประชุมสามัญของพรรค และสื่อมวลชนยังได้ตีพิมพ์เผยแพร่ว่า สัจจะที่จะถือก็ต้องพิจารณาจากสถานการณ์ด้วย

ซึ่งการโจทก์ที่ต้องเข้าร่วมรัฐบาลถือว่าเพื่อประโยชน์ของชาติ เนื่องจากหลัง คมช.ยึดอำนาจ เศรษฐกิจก็ย่ำแย่ลง

โดยการกล่าวของจำเลย ไม่ได้แสดงเจตนาที่จะกลั่นแกล้งให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียง แม้จำเลยจะเคยเป็นรองหัวหน้าพรรคชาติไทยแล้วไม่ได้มีรายชื่อในการลงสมัคร สส.สัดส่วนตามอันดับ แล้วจำเลยลาออกก่อนวันที่จะมีการแถลงข่าว แต่ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยมีเจตนาที่จะกล่าวเพื่อให้ตนเองได้รับประโยชน์แต่อย่างใด และแม้คำที่กล่าวจะมีความรุนแรงแต่ไม่ใช่ถ้อยคำหยาบคายที่กล่าวต่อตัวโจทก์ ขณะที่เวลานั้นโจทก์เป็นหัวหน้าพรรคชาติไทย และ สส. ก็ชอบที่จะมีการวิจารณ์ถึงการทำหน้าที่ การกระทำของจำเลยจึงยังถือว่าเป็นการหมิ่นประมาทตามที่โจทก์อ้างว่าได้รับความเสียหาย แต่เป็นการวิจารณ์โดยสุจริต ตามมาตรา 329 (3) ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องนั้น  ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย จึงพิพากษายืน

                
ภายหลังฟังคำพิพากษานายชูวิทย์ ได้ยกมือไหว้ผู้พิพากษา ขณะที่นายชูวิทย์ กล่าวว่า
 
คำพิพากษานี้เป็นแนวทางให้บรรดานักการเมืองไทยซึ่งไม่เคยได้รับความไว้วางใจจากประชาชนเท่าใดนัก ต้องรับผิดชอบคำพูดตัวเองมากขึ้น การพูดสิ่งใดต่อสาธารณชนต้องรักษาคำพูด จะพูดแล้วเอาประโยชน์เฉพาะตัวอย่างเดียว แล้วไปฟ้องคนอื่นเพราะเขาไปวิจารณ์นั้นก็ไม่ได้ ซึ่งตนอยากฝากให้สังคมได้ดูนักการเมืองไทย และให้นักการเมืองไทยรักษาคำพูด รักษาสัจจะ ไม่ใช่ชูนโยบายสัจจะนิยมแล้วก็บอกว่าต้องร่วมรัฐบาลเพราะบ้านเมืองจะไปไม่รอด โดยหลายครั้งที่ประชาชนรู้สึกผิดหวังกับนักการเมืองเพราะคำพูดของนักการเมืองก่อน กับหลังเลือกตั้งนั้นแตกต่างกัน

                
“ ก็จำไว้ละกันครับว่า ผมจับปลาไหลที่สุพรรณได้ อีกทั้งที่ ผมจะไปจับอีกคือ ที่บางบอน ผมจำไม่ค่อยพลาดหรอกครับ เพราะผมจับแน่ และผมจับแล้วก็ไม่ปล่อย
ดังนั้นสู้ที่ไหนผมก็สู้ เพราะถือว่าผมพูดโดยสุจริตใจ และแนวคำพิพากษาครั้งนี้ทำให้เห็นว่านักการเมืองต้องระวังให้ดีด้วย ” นายชูวิทย์ ระบุ

                
ส่วนการเดินหน้าจะนำเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เข้าสู่สภาเพื่อลงมติวาระที่ 3 นายชูวิทย์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย กล่าวเปรียบเทียบว่า ในสภา ตนก็เหมือนอยู่ระหว่างเขาควาย 2 เขา ตนอยู่ตรงกลางก็อยู่ด้วยความยากลำบาก และเสียงของตนก็ไมพอที่จะมาเป็นคน จึงต้องแสร้งทำเป็นควายเหมือนกัน โดยตนเชื่อว่าการแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้จะเป็นปัญหา เพราะมีคนที่เขาอยากจะให้เกิดความรุนแรงและเป็นเรื่องอยู่แล้ว ขณะที่บางคนก็พยายามจะหาเรื่อง ดังนั้นถ้าคนฉลาดก็ต้องพยายามหลีกเลี่ยงการแก้ไข เพื่อบ้านเมือง แต่จากคำพิพากษาคดีของตนในวันนี้ก็สะท้อนให้เห็นว่านักการเมืองบางคนเห็นแต่ผลประโยชน์ของตัวเองพรรคตัวเองมากกว่าประเทศชาติซึ่งคือปัญหา ทั้งนี้หากจะมีการเดินหน้าโหวตวาระ 3 จริงๆ ตนไม่ได้ตัดสินใจว่าดำเนินการอย่างไร แต่ตนเป็นฝ่ายค้านก็จะยืนยันการทำหน้าที่ตรงนี้ให้ดีที่สุด    


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์