ยก ทักษิณ เก่งกว่า พรรคคอมมิวนิสต์ แค่ 5 ปีทำสังคมไทยแตกแยก

ยก ทักษิณ เก่งกว่า พรรคคอมมิวนิสต์ แค่ 5 ปีทำสังคมไทยแตกแยก

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 12 มีนาคม 2549 07:37 น.

วรพล ศิริวัฒน์วิมล ยกคำ ชัยอนันต์ ระบุพรรคคอมมิวนิสต์ต้องใช้ถึง 40 ปีจึงสร้างความแตกแยกในสังคมไทย แต่ ทักษิณ ใช้เวลาแค่ 5 ปีก็ทำได้แล้ว พร้อมเปิดปูมเส้นทางชีวิต แม้ว ดูที่มาแห่งเหตุจูงใจในการขายชาติ ทำธุรกิจใดๆ ก็ไม่สำเร็จ ยกเว้นสัมปทานผูกขาด กังขานำสัมปทานของรัฐไปขายให้ชาติคู่แข่งได้อย่างไร

นายวรพล ศิริวัฒน์วิมล อดีตเลขาธิการสมาพันธ์ประชาธิปไตย กลุ่มเศรษฐศาสตร์การเมือง ได้ขึ้นเวทีการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ณ สนามหลวง เมื่อวันที่ 12 มี.ค.เวลา 00.05 น. โดยกล่าวว่าผู้ที่ทำให้สังคมไทยแตกแยกความสามัคคีนั้นคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยเมื่อหลายวันก่อน ศ.ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช ผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัย ได้อภิปรายบอกว่าพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ต้องใช้เวลากว่า 40 ปีจึงสามารถทำให้สังคมไทยแตกแยก แต่ พ.ต.ท.ทักษิณใช้เวลาเพียงแค่ 5 ปีสังคมก็แตกแยกได้ขนาดนี้

ที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็น 14 ตุลา 16, 6 ตุลา 19 และพฤษภา 35 ผู้คนต่างก็สามัคคีกัน แต่ ณ วันนี้แม้แต่คนเดือนตุลาก็แตกออกไปเป็น 2 พวก จริงๆ แล้วอยากเรียกร้องให้นายกฯ ทักษิณเสียสละเพื่อประเทศชาติ มีคำกล่าวว่าพึงสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ พึงสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต พึงสละชีวิตเพื่อรักษาประเทศ วันนี้ทักษิณจะยอมไหม

ทั้งนี้ นายวรพลกล่าวว่า ตามตำราพิชัยสงคราม (สามก๊ก) ซุนวูบอกว่า รู้เขารู้เรา รบ 100 ครั้งชนะ 100 ครั้ง จึงทำให้นายวรพลนำข้อมูลประวัติของ พ.ต.ท.ทักษิณ มาเล่าให้ประชาชนที่มาชุมนุมฟังเพื่อทราบถึงเบื้องหน้าเบื้องหลัง

หลายท่านอาจจะทราบเพียงว่านายกฯ ทักษิณเป็นคนเชียงใหม่เป็นคนร่ำรวย จบด็อกเตอร์ ย้อนกลับไปดู พ.ต.ท.ทักษิณเป็นลูกชองนายเลิศ ชินวัตร ส.ส.เชียงใหม่ เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ปู่ของ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นคนเชียงใหม่ แต่พ่อของปู่เป็นคนจีนมาตั้งรกแรงที่จันทบุรี ได้แต่งงานกับสาวไทยชื่อทองดี มีอาชีพเป็นนายอากรบ่อนเบี้ย ต่อมานางทองดีถูกฆ่าตาย ทำให้ทวดของ พ.ต.ท.ทักษิณซึ่งชื่อนายชุนเส็ง แซ่คู ได้ย้ายไปตั้งรกรากที่เชียงใหม่

มาถึงสมัยปู่ของนายกฯ ทักษิณ ชื่อว่าปู่เชียง ได้ทำธุรกิจผ้าไหม แต่ปรากฏว่าพ่อของนายกทักษิณ แทนที่จะสืบทอดธุรกิจของปู่ เชื่อว่าน่าจะมีปัญหากันในครอบครัว เลยย้ายไปอยู่อำเภอสันกำแพง เปิดร้านกาแฟเล็กๆ พ.ต.ท.ทักษิณเติบโตที่สันกำแพง จนกระทั่งขึ้นชั้น ป.3 ได้ย้ายไปเรียนที่มงฟอร์ต แต่ต้องเรียน ป.3 ซ้ำเพราะภาษาอังกฤษของ พ.ต.ท.ทักษิณไม่แข็งแรง จนกระทั่ง ม.3 ได้มาสอบที่โรงเรียนเตรียมทหาร แต่ตรวจร่างกายไม่ผ่าน เพราะที่ปอดมีจุด จึงต้องกลับไปเรียนถึง มศ.4 แล้วกลับมาสอบที่โรงเรียนเตรียมทหารอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ไม่รู้ว่าปอดที่มีจุดหายไปแล้วหรือว่าเพราะพ่อเป็น ส.ส.หรืออย่างไรถึงได้เรียน

ต่อมา พ.ต.ท.ทักษิณได้แยกไปเรียนโรงเรียนนายร้อยตำรวจ และได้ดูแล พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ พี่ชายคุณหญิงพจมาน ตอนนั้น พ.ต.ท.ทักษิณมีอายุมากกว่าคนอื่นเพราะเรียนซ้ำชั้นตอน ป.3 และสอบเข้าได้ตอน ม.4 ขณะที่คนอื่นสอบได้ตอน ม.3 มาอยู่ที่โรงเรียนนายร้อยสามพราน ต่อมา พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ให้ พ.ต.ท.ทักษิณไปเอาเสื้อที่บ้านก็เจอเข้ากับคุณหญิงอ้อ ที่ตอนนั้นเรียนอยู่เซนต์โยเซฟ พอเรียนจบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ พ.ต.ท.ทักษิณก็ได้ไปเรียนต่อที่ปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยในเทกซัส

เมื่อกลับมาก็ได้เข้าสู่การเมือง โดยเข้ามาทางนายปรีชา รัตนถาบุตร เลขนุการของ รมต.สำนักนายกฯ ในสมัยรัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช จนรัฐบาลคึกฤทธิ์ล่มสลาย พ.ต.ท.ทักษิณก็แต่งงานกับคุณหญิงพจมานแล้วพากันไปที่สหรัฐอเมริกา เรียนต่อด็อกเตอร์ นายพานทองแท้เกิดที่เทกซัส หลังจากเรียนด็อกเตอร์จบกลับมา พ.ต.ท.ทักษิณก็ได้รับราชการเป็นตำรวจ ขณะที่คุณหญิงพจมานอยากดำเนินธุรกิจ

ธุรกิจแรกที่ร่วมกันทำมาค้าขาย คือการขายผ้าไหม เปิดอยู่เดือนเดียวก็เจ๊ง จากนั้นก็นำหนังไปฉายตามต่างจังหวัดเนื่องจากพ่อเคยทำโรงหนังมาก่อน จากนั้นก็มาทำโรงหนังแถวราชวัตรก็ขาดทุน ทำคอนโดฯ แถวราชวัตรก็ขาดทุน ต่อมาทำบัสซาวนด์ก็เจ๊งไม่เป็นท่า จากนั้นก็เช่าคอมพิวเตอร์จาก บ.ไอบีเอ็มมาให้ตำรวจเช่า เพราะตอนนั้น พ.ต.ท.ทักษิณทำหน้าที่สารสนเทศของกรมตำรวจ ก็ปรากฏว่าขาดทุนเช่นกัน

พ.ต.ท.ทักษิณกับคุณหญิงพจมานทำธุรกิจมาเกือบ 10 ปีก็ขาดทุนย่อยยับ เป็นหนี้กว่า 200 ล้านบาท พ.ต.ท.ทักษิณเกือบล้มละลายต้องถูกฟ้อง ทำให้วิ่งแลกเช็คหัวซุกหัวซุน ต่อมาไปทำธุรกิจแพคลิงค์ โฟนลิงค์ เลยได้รู้จักกับสิงคโปร์ และต่อมาได้พบกับนักการเมืองคนหนึ่งและเห็นนักการเมืองคนนั้นได้ใช้โทรศัพท์มือถือเป็นกระเป๋าหิ้ว เสียงขาดๆ หายๆ พ.ต.ท.ทักษิณจึงเกิดความคิดเอามือถือมาขาย

ทีนี้ พ.ต.ท.ทักษิณสรุปบทเรียนแล้วว่า 10 ปีที่ผ่านมา ถ้าไม่ทำธุรกิจผูกขาดไม่ได้ทำสัมปทาน สงสัยจะเจ๊งอีกแน่ เลยได้พยายามวิ่งเต้น จ่ายเงินใต้โต๊ะจนได้เป็นเจ้าของสัมปทานมือถือ วันนั้นถือมือที่มีต้นทุนเพียงไม่กี่บาทมา แต่เครื่องแรกที่เข้าขายเมืองไทยนั้นราคาสูงถึง 120,000 บาท จากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณเลยร่ำรวยจากกิจการผูกขาด

เมื่อมาถึงสมัย รสช. พ.ต.ท.ทักษิณได้วิ่งเต้นเข้าบ้านเมียน้อยของ พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ก็ได้สัมปทานอีกเช่นกัน คราวนี้ได้ดาวเทียม ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาพระราชทานนามว่า ไทยคม พ.ต.ท.ทักษิณได้สัมปทานโครงข่ายดาวเทียมของประเทศ จะเห็นได้ว่าความร่ำรวยของนายกฯ ผู้นี้มาจากสัมปทานที่ตนเองได้จากรัฐ มาวันนี้ไม่เชื่อเลยที่คนอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณที่ไม่จำเป็นต้องขายกิจการแต่อย่างใด แต่นายกฯ ผู้นี้คิดว่าตัวเองรวยไม่พอ ขายสัมปทานของชาติให้แก่ต่างชาติ

ทั้งนี้ นายวรพล กล่าวว่า เมื่อวานนี้ (10 มี.ค.) เขาได้ดูรายการ ถึงลูกถึงคน ของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ที่สัมภาษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณจึงเกิดความคิดอยากถาม พ.ต.ท.ทักษิณ 3 ข้อ คือ 1.พ.ต.ท.ทักษิณขายธุรกิจที่ได้รับสัมปทานจากรัฐให้ต่างชาติได้อย่างไร ซึ่งเป็นต่างชาติที่เป็นคู่แข่ง 2.บริษัท แอมเพิล ริช ที่ถือหุ้นชินฯ ถ้านายกฯ ทักษิณตรงไปตรงมา ขายให้กับผู้ซื้อคือเทมาเส็กสิงคโปร์ จะต้องเสียภาษี 15% หุ้นแอมเพิล ริช 329 ล้านหุ้นต้องเสียภาษี 3 พันล้าน แต่นายกฯ ไม่อยากเสียภาษีจึงให้แอมเพิล ริช ขายหุ้นชินฯ ให้ลูกชาย-ลูกสาว 20 ม.ค และวันที่ 23 ม.ค.ค่อยให้ลูกชาย-ลูกสาวขายให้ผู้ซื้อเลยไม่ต้องเสียภาษี ความจริงถ้า พ.ต.ท.ทักษิณตรงไปตรงมาจะต้องเสียภาษี

และ 3.พ.ต.ท.ทักษิณได้รับชำระค่าหุ้นครบหมดยัง และได้เสียภาษีหรือไม่ และจะเอาไปลงทุนในกิจการใด หรือว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะลงทุนในกิจการที่กำลังจะเข้าตลาดหลักทรัพย์คือการไฟฟ้าฝ่ายผลิต และเรื่องหุ้นทีพีไอที่มีคนไปล็อบบี้กับรัฐบาลจีนที่สนใจจะซื้อว่า อย่ามาซื้อทีพีไอ เพราะมีผู้ใหญ่ในบ้านสนใจ

ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณซื้อทีพีไอจริงก็จะเปลี่ยน ทีพีไอ เป็น ทักษิณ พจมาน อินดัสทรี ส่วน วันตำบล-วันพรอวินซ์ ให้เปลี่ยนเป็น วันทักษิณ-วันพจมาน ดีกว่าไหม ส่วนโฆษณาที่เอไอเอสลงไว้เบ้อเริ่มเทิ่มว่า คนไทยแข็งแรง ประเทศไทยแข็งแรง ตอนนี้คงเปลี่ยนว่า ประเทศไทยแข็งแรง สิงคโปร์แข็งแรง ดีกว่า นายวรพล กล่าว

นอกจากนี้ นายวรพลยังทิ้งท้ายด้วยการยกคำพูดของประธานาธิบดีลินคอล์นของสหรัฐฯ ที่กล่าวว่า จะโกหกคนบางคนบางเวลาเป็นไปได้ แต่จะบอกว่าจะโกหกทุกคนตลอดเวลาเป็นไปไม่ได้ ส่วนประธานาธิบดีเคนเนดี้ ก็กล่าวว่า อย่าถามว่าประเทศจะให้อะไรกับท่าน แต่จงถามว่าท่านจะให้อะไรแก่ประเทศได้บ้าง

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์