มีชัย ถามหาความรับผิดชอบ แม้ว ไม่แจง ใคร ผู้มีบารมี

มติชน

04 ก.ค. 2549

"มีชัย" เขียนบทความลงบนเว็บไวต์ส่วนตัว ถามหาความรับผิดชอบ "ทักษิณ ชินวัตร" กรณีประชุมข้าราชการระดับสูงเมื่อ 29 มิ.ย. ที่ระบุถึง "ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ" ชี้ในความเข้าใจคนทั่วไป ผู้มีบารมีมากสุดและเป็นที่รักของคนทุกคนคือ พระเจ้าอยู่หัว ส่วนคนที่เคยอยู่ในแวดวงการเมืองที่มีบารมีและคนยังเคารพนับถือคือ "ป๋าเปรม" จี้ "แม้ว" แจงให้ชัดเจน ไม่เช่นนั้นประชาชนแคลงใจว่า นายกฯ ทำผิด มาตรา 8 รธน.

นายมีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธานวุฒิสภา ได้เขียนบทความคอลัมน์ "ความคิดเสรีของมีชัย" เรื่อง "ความรับผิดชอบของนายกรัฐมนตรี" ลงในเว็บไซต์ www.meechaithailand.com โดยมีข้อความดังต่อไปนี้

------------------------------------------

ตลอดระยะเวลาที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ได้เคยมีการประชุมข้าราชการระดับสูงมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ดูเหมือนการประชุมเมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๔๙ จะเป็นครั้งเดียวที่เขียนมาอ่าน ซึ่งน่าจะต้องแปลว่าท่านได้ไตร่ตรองและระดมมันสมองที่อยู่ใกล้ตัวมาอย่างรอบคอบแล้ว ว่าต้องการสื่อให้ตรงตามที่คิดไว้ทุกประการ

การเริ่มต้นด้วยการอัญเชิญพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๔๙ มากล่าวเพื่อชักจูงใจให้ข้าราชการที่อยู่กันพร้อมเพรียงกัน ณ ที่นั้นให้ปฏิบัติตาม นับว่าเป็นสิ่งที่ดีงาม โดยเฉพาะพระราชดำรัสประการแรก ที่ว่า

"การที่ทุกคนคิด พูด ทำ ด้วยความเมตตา มุ่งดี มุ่งเจริญต่อกัน และประการที่สาม ที่ว่า การที่ทุกคนประพฤติ ปฏิบัติตนอยู่ในความสุจริต ในกฎ กติกา และในระเบียบแบบแผนโดยเท่าเทียมเสมอกัน"


ท่านนายกรัฐมนตรีได้ย้ำให้ข้าราชการนำพระราชดำรัสดังกล่าวใส่เกล้าใส่กระหม่อม

แต่ข้อความในแต่ละตอนที่ท่านกล่าวในวันนั้น ดังจะได้นำมาแสดงให้เห็นดังต่อไปนี้ ดูเหมือนจะส่งผลตรงกันข้ามกับพระราชดำรัสที่ท่านขอให้ข้าราชการใส่เกล้าใส่กระหม่อม

-"วันนี้องค์กรนอกรัฐธรรมนูญไม่ใช่ในรัฐธรรมนูญ คือบุคคลซึ่งดูเหมือนมีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ เข้ามาวุ่นวายองค์กรที่มีในระบบรัฐธรรมนูญมากไป มีการไม่เคารพกติกา"

-"บางคนยังเข้าใจว่าตัวเองมีความสำคัญมากกว่าคนจำนวนมาก เพราะฉะนั้นเสียงของตัวเองต้องดังและมีความหมายกว่าเสียงของคนอื่น ไม่เคารพการตัดสินใจของประชาชน"

-"มีคนอยากเป็นนายกรัฐมนตรีมาตรา ๗ ทั้ง ๆ ที่มีพระราชดำรัสรับสั่งออกมาแล้วว่ามาตรา ๗ นั้นไม่เป็นประชาธิปไตย เลยทำให้วุ่นวายกัน"

-"ตอนท่านรองนายกรัฐมนตรีวิษณุ เครืองาม ท่านเลขาธิการคณะรัฐมนตรีบวรศักดิ์ อุวรรณโณ มาขอลาออก ก็ยังพูดกับผมถึงเรื่องแรงจูงใจที่มีคนมาขอให้ออกไ

-"บางองค์กรหัวหน้าองค์กรถึงขนาดยอมทำให้ระบบขององค์กรตัวเองเสีย เพื่อที่จะทำตามนโยบายผู้ที่ร้องขอบางราย"

-"ท่านทำหน้าที่ของท่านไปตรงนั้น นั่นคือ ธง ไม่ต้องรออีกธงหนึ่งเลย ธงเดียว และใครมาแอบสั่งราชการ อย่าปฏิบัติ เพราะหน้าที่ของท่านทำตามนั้นแล้ว คนที่จะสั่งราชการของท่านคือผู้บังคับบัญชาโดยตรง ประเภทแอบสั่งราชการนั้นผมขอร้องทั้งคนแอบสั่งและคนปฏิบัติ"

-"ผมจะไม่ยอมให้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่ไม่ผ่านกระบวนการประชาธิปไตยโดยเด็ดขาด ผมจะขอปกป้องประชาธิปไตยของชาติ....ใครก็แล้วแต่จะนำพาประเทศถอยหลังเข้าคลองโดยทิ้งประชาธิปไตย ผมไม่ยอม ขอย้ำอีกครั้งว่าผมจะปกป้องประชาธิปไตยด้วยชีวิต"



ในระหว่างที่ท่านนายกรัฐมนตรีอารมณ์ดี ๆ ลองอ่านทบทวนข้อความดังกล่าว (ซึ่งเพื่อให้เกิดความถูกต้องอย่างแท้จริง ผมได้คัดจากสำเนาคำกล่าวของท่านโดยมิได้ลอกจากหนังสือพิมพ์ ) ท่านจะตระหนักได้ดีว่า มิได้มีสิ่งใดที่จะแสดงให้เห็นถึง ความเมตตา มุ่งดี มุ่งเจริญ ต่อกันเลย ทั้งยังไม่อาจกล่าวได้ว่า อยู่ในความสุจริต ในกฎ กติกา และในระเบียบแบบแผนโดยเท่าเทียมเสมอกัน

เมื่อมีคนไปถามท่านว่าท่านหมายถึงใครที่มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญแล้วเข้ามาวุ่นวายในองค์กรต่าง ๆ ท่านไม่ตอบแต่กลับจะร้องเพลงให้ฟัง


เมื่อท่านไม่ตอบจึงเป็นธรรมดาที่สื่อมวลชนและผู้คนทั่วไปจะแปลกันไปต่าง ๆ นานา

เมื่อคนทั้งประเทศเชื่อกันว่าคนที่มีบารมีมากที่สุดและเป็นที่รักของคนทุกคน ก็คือ พระเจ้าอยู่หัว ส่วนคนที่เคยอยู่ในแวดวงการเมืองที่มีบารมีและคนยังเคารพนับถือ ก็คือ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งบัดนี้ท่านก็พ้นจากแวดวงการเมืองไปดำรงตำแหน่งประธานองคมนตรี อันเป็นตำแหน่งที่อยู่ใกล้ชิดพระเจ้าอยู่หัว

ประชาชนที่เป็นคนไทยล้วนต่างเคารพ รัก และเทิดทูนพระเจ้าอยู่หัวอย่างไร ท่านนายกรัฐมนตรีย่อมประจักษ์แก่ใจดี จากภาพที่ปรากฏในช่วงเวลาที่มีการเฉลิมฉลองการครองราชย์ครบ ๖๐ ปี

ประชาชนจึงไม่อยากให้อะไรที่อึมครึมมาระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทได้

เขาจึงเพียรพยายามขอให้นายกรัฐมนตรีออกมาระบุให้ชัดเจนว่าท่านหมายถึงใคร


ในส่วนตัวของผมไม่คิดว่าใครก็ตามที่เขียนคำกล่าวให้ท่านนายกรัฐมนตรีอ่านในวันนั้นจะบังอาจ เหิมเกริม หรือเลวร้าย ถึงขนาดที่จะเขียนให้นายกพูดอะไรให้มีความหมายไปในทางที่คนเขาสงสัยกันได้

แต่เขาก็สะเพร่าหรือจงใจทำให้นายกรัฐมนตรีตกอยู่ในฐานะเป็นที่คลางแคลงใจของผู้คนได้ โดยเฉพาะความที่เขาเขียนให้ท่านอ่านถึงระบอบประชาธิปไตย ท่านลองย้อนกลับไปดูเถอะว่า เขาจงใจใช้คำว่า ประชาธิปไตย ห้วน ๆ ในทุกแห่ง ทั้ง ๆ ที่เราเรียนรู้กันมาแต่อ้อนแต่ออกว่าระบอบประชาธิปไตยของไทยนั้น เป็น ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งเป็นระบอบที่แตกต่างไปจากประเทศที่มีระบอบประชาธิปไตยอื่น ๆ และในรัฐธรรมนูญจะใช้คำว่า ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ในทุกแห่ง

ดูเหมือนเขาจะจงใจให้คนเชื่อกันว่าข่าวลือเกี่ยวกับ ปฏิญญาฟินแลนด์ นั้นเป็นเรื่องจริง

ความคลางแคลงใจของประชาชนที่มีต่อคำกล่าวของท่านนายกรัฐมนตรี จะผิดหรือถูกเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ที่สำคัญก็คือว่า รัฐธรรมนูญมาตรา ๘ บัญญัติว่า องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้

และก่อนที่ท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีทุกคนจะเข้ารับตำแหน่ง ต่างก็ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าพระพักตร์ว่า "ข้าพระพุทธเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้ และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ"

โดยภาระหน้าที่และคำสัตย์ปฏิญาณ ท่านนายกรัฐมนตรีจึงมีหน้าที่ต้องปกป้องมิให้ใครมากระทำการใดอันเป็นการละเมิดมาตรา ๘ ของรัฐธรรมนูญได้

บัดนี้ ประชาชนคลางแคลงใจในคำกล่าวของท่านนายกรัฐมนตรีเป็นทำนองว่าท่านนายกรัฐมนตรีเองนั่นแหละที่ละเมิดมาตรา ๘ ของรัฐธรรมนูญ ท่านนายกรัฐมนตรีจะนิ่งเฉยอยู่ได้อย่างไร

จริงอยู่ในทางการเมืองท่านนายกรัฐมนตรีอาจไม่อยู่ในฐานะที่จะระบุว่าหมายถึงใคร แต่ถ้านายกรัฐมนตรีมิได้มุ่งหมายอย่างที่คนเขาคลางแคลงใจ ท่านนายกรัฐมนตรีจะนิ่งเฉยโดยไม่ปฏิเสธให้เกิดความชัดเจนว่าท่านมิได้มุ่งหมายอย่างที่ประชาชนเขาคลางแคลงใจได้หรือ

เพราะสิ่งที่เขาคลางแคลงใจนั้น ถ้าไม่เป็นความจริง ก็แก้ไขได้ง่าย ๆ เพียงท่านออกมาบอกให้ประชาชนทราบว่า ท่านมิได้หมายความอย่างที่เขาสงสัย ยังไม่หนักหนาถึงขนาดที่ต้องสละชีวิตเพื่อปกป้อง

ถ้าท่านจะถือว่าเป็นเรื่องของคนเข้าใจผิด ไม่ใช่หน้าที่ของท่านที่จะต้องทำความเข้าใจ ท่านก็จะได้ชื่อว่ามิได้ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเสียเอง โดยมิได้ดูแลให้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมาตรา ๘ เกิดความศักดิ์สิทธิ์ และไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณไว้

ถ้าท่านยังนึกไม่ออก ก็ลองนึกดูว่า คำพูดของท่านที่ว่า บุคคลซึ่งดูเหมือนมีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ เข้ามาวุ่นวายองค์กรที่มีในระบบรัฐธรรมนูญมากไป.....ใครมาแอบสั่งราชการอย่าปฏิบัติ ....ประเภทแอบสั่งราชการนั้นผมขอร้องทั้งคนแอบสั่งและคนปฏิบัติ นั้น ถ้าสื่อมวลชนและประชาชนต่างเข้าใจกันว่า ท่านหมายถึงคุณหญิงพจมานของท่านและคุณผดุงที่อยู่ติดกับท่าน เพราะอันที่จริงแล้วดูเหมือนคุณหญิงท่านมีบารมีอยู่ในพรรคไม่น้อย และเป็นบารมีที่มิได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญและกฎหมายพรรคการเมือง อีกทั้งคุณผดุงก็เป็นคนที่อยู่นอกรัฐธรรมนูญที่เวลาไปสั่งอะไรข้าราชการ ๆ ก็มักจะเกรง ๆ ใจอยู่อย่างที่เขาชอบลือกัน ซึ่งจะจริงเท็จอย่างไรก็ไม่รู้

แต่ถ้าเขาเข้าใจกันอย่างนั้น ท่านจะออกมาปฏิเสธหรือไม่ ท่านจะออกมาด่ากราดผู้สื่อข่าวหาว่าเขาเข้าใจเลอะเทอะไปหรือไม่ ท่านจะตอบเพียงว่าจะร้องเพลงให้ฟัง หรือเมื่อยแข้งเมื่อยขาหรือไม่ และท่านจะมีกะใจไปดูบอลโลกโดยยังไม่ทำความชัดเจนให้เกิดขึ้นได้หรือไม่

ในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศ ท่านจึงมีหน้าที่ที่จะต้องทำความชัดเจนให้เกิดขึ้น ถ้าท่านมิได้หมายความอย่างที่คนเขาคลางแคลงใจ แม้ท่านจะไม่อยู่ในฐานะที่จะบอกได้ว่าหมายถึงใคร แต่ท่านก็อยู่ในฐานะที่จำต้องออกมาบอกให้ชัดเจนว่าท่านมิได้หมายถึงใคร

ถ้าท่านยังไม่ทำ ท่านจะอ้างได้อย่างไรว่าท่านจะปกป้องระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขไว้ด้วยชีวิต หรือท่านจะยอมให้คนเขาเข้าใจว่าท่านหมายความอย่างที่เขาคลางแคลงใจจริง ๆ

ในตอนท้ายของคำกล่าวของท่าน ท่านกล่าวว่า ถ้าหากทุกท่านได้กลับไปทำกันตรงนี้ แล้วรัฐบาลยึดมั่นคงในแนวทางที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา ในแนวทางที่ได้ปฏิญาณตนต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่าข้าพเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ

ในส่วนข้าราชการทั้งหลายนั้น เขาคงทำตามคำแนะนำของท่านแล้ว ถึงตอนนี้จึงถึงคราวของท่านที่จะต้องปฏิบัติตามหน้าที่ที่ได้ปฏิญานไว้

*********************

นอกจากนี้ บทความของนายมีชัย ยังมีหมายเหตุที่ท้ายบทความด้วย โดยระบุว่า " ไหน ๆ คนในรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ก็ไปปล่อยข่าวกับหนังสือพิมพ์มติชนว่า ผมเป็นที่ปรึกษาลับๆ ให้กับนายกรัฐมนตรี ทั้งๆ ที่ไม่เป็นความจริง (อันที่จริงการอุปโลกน์นี้มีมาตั้งแต่ตอนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีใหม่ ๆ แล้ว ซึ่งผมก็ได้ปฏิเสธไปทุกครั้งที่มีการกล่าวอ้าง ปฏิเสธทั้งในที่ประชุมสัมมนา ทาง meechaithailand.com และต่อสื่อมวลชน แต่การปล่อยข่าวทำนองนี้ก็ดูเหมือนจะมีอยู่ร่ำไป) ข้อเขียนนี้ขอให้ถือเสียว่าเป็นคำปรึกษาของคนที่ถูกอุปโลกน์ให้เป็นที่ปรึกษาก็แล้วกัน"

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์