มาร์คยังไม่หายป่วยเลิกหาเสียงพรุ่งนี้


 คมชัดลึก : นายกฯอภิสิทธิ์ยังไม่หายป่วย ยกเลิกหาเสียง - เปิดตัวผู้สมัคร กาญจนบุรีพรุ่งนี้ เอแบคโพลล์ ชี้ ประชาชนโดนใจนโยบายปชป.มากกว่าเพื่อไทย ถ้าวันนี้เลือกตั้งเลือกปาร์ตี้ลิสต์ปชป.45.5% เพื่อไทยเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส.ที่ จ.เชียงราย ทั้ง 7 เขต "โสภณ"ปลุกคนบุรีรัมย์เลือกพรรคภูมิใจไทยมั่นใจได้70ที่นั่ง


 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันพรุ่งนี้ (16พ.ค.) แต่เดิมนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี มีกำหนดการไปหาเสียง และเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครในจังหวัดกายจนบุรี  ล่าสุดจากการตรวจสอบปรากฏว่านายอภิสิทธิ์ได้ยกเลิกกำหนดการดังกล่าวแล้ว โดยระบุว่ายังไม่หายป่วย แต่ยังไม่แน่ว่าในวันพรุ่งนี้นายอภิสิทธิ์ จะเข้าไปทำงานที่พรรคประชาธิปัตย์หรือไม่


เอแบคโพลชี้ปชช.โดนใจนโยบายปชป.มากกว่าพท.
 


 ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง ประชันนโยบายของพรรคการเมืองในความชื่นชอบของประชาชน กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปใน 17 จังหวัดของประเทศ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร กำแพงเพชร เชียงราย เชียงใหม่ สระแก้ว ราชบุรี สมุทรปราการ ชลบุรี นครพนม สกลนคร ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ อุดรธานี ขอนแก่น ตรัง สงขลา และนครศรีธรรมราช จำนวนทั้งสิ้น 2,447 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่าง 8 - 14 พฤษภาคม 2554 ที่ผ่านมา โดยใช้การเลือกตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่มเชิงชั้นภูมิหลายชั้นและช่วงความคลาดเคลื่อนบวกลบร้อยละ 7 พบว่า ประชาชนให้ความชื่นชอบต่อนโยบายที่นำมาสอบถามประชาชนหลายนโยบายอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเพราะทิ้งห่างเกินกว่าช่วงความคลาดเคลื่อนที่ค้นพบ โดยพบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 57.0 ชอบนโยบายส่งเสริมระบบคุณธรรมในสังคมไทยของพรรคประชาธิปัตย์ ในขณะที่ร้อยละ 35.7 ชอบของพรรคเพื่อไทย และร้อยละ 7.3 ระบุของพรรคอื่นๆ นอกจากนี้ ร้อยละ 55.9 ชอบนโยบายปรองดองแห่งชาติของพรรคประชาธิปัตย์ ในขณะที่ร้อยละ 36.2 ชอบของพรรคเพื่อไทย และร้อยละ 7.9 ระบุของพรรคอื่น ๆ


เมื่อถามถึงนโยบายการใช้แนวทางสันติวิธีในการแก้ปัญหาภาคใต้ พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 55.8 ชอบของพรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 36.7 ชอบของพรรคเพื่อไทย ร้อยละ 7.5 ชอบของพรรคการเมืองอื่นๆ และนโยบายเด็กและเยาวชน พบว่า ร้อยละ 55.5 ชอบของพรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 38.0 ชอบของพรรคเพื่อไทย และร้อยละ 6.5 ชอบของพรรคอื่นๆ


ประเด็นที่น่าพิจารณา นโยบายเศรษฐกิจตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง พบว่า ร้อยละ 55.4 ชอบของพรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 38.7 ชอบของพรรคเพื่อไทย และร้อยละ 5.9 ชอบของพรรคอื่นๆ และนโยบายการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพของกองทัพ พบว่า ร้อยละ 54.2 ชอบของพรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 38.9 ชอบของพรรคเพื่อไทย และร้อยละ 6.9 ชอบของพรรคอื่นๆ


สำหรับนโยบายควบคุมพื้นที่เสี่ยงต่อความมั่นคง พบว่า ร้อยละ 52.9 ชอบของพรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 40.0 ชอบของพรรคเพื่อไทย และร้อยละ 7.1 ชอบของพรรคอื่นๆ นอกจากนี้เมื่อถามถึงนโยบายแก้ปัญหาทุจริตคอรัปชั่น พบว่าร้อยละ 52.8 ชอบของพรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 39.7 ชอบของพรรคเพื่อไทย และร้อยละ 7.5 ชอบของพรรคอื่นๆ


ที่น่าสนใจคือ นโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า รักษาสุขภาพของประชาชน พบว่า ร้อยละ 52.0 ชอบของพรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 42.5 ชอบของพรรคเพื่อไทย และร้อยละ 5.5 ชอบของพรรคอื่นๆ นอกจากนี้ นโยบายแก้ปัญหาราคาเชื้อเพลิง เช่น แก๊ส น้ำมันเชื้อเพลิง พบว่า ร้อยละ 51.7 ชอบของพรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 41.3 ชอบของพรรคเพื่อไทย และร้อยละ 7.0 ชอบของพรรคอื่นๆ และนโยบายเพื่อชาวนาและเกษตรกร พบว่า ร้อยละ 51.7 ชอบของพรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 42.7 ชอบของพรรคเพื่อไทย และร้อยละ 5.6 ชอบของพรรคอื่นๆ


ประเด็นที่น่าพิจารณาอย่างยิ่งเพราะเสียงสนับสนุนไม่ได้ทิ้งห่างกันเกินช่วงความคลาดเคลื่อนที่ค้นพบคือ นโยบายควบคุมราคาสินค้าอุปโภคบริโภค โดยพบว่า ร้อยละ 49.0 ชอบของพรรคประชาธิปัตย์ แต่ร้อยละ 43.6 ชอบของพรรคเพื่อไทย และร้อยละ 7.4 ชอบของพรรคอื่นๆ เช่นเดียกันกับ นโยบายแก้ปัญหาหนี้สินของประชาชน ร้อยละ 49.0 ชอบของพรรคประชาธิปัตย์ แต่ร้อยละ 45.6 ชอบของพรรค เพื่อไทย และร้อยละ 5.4 ชอบของพรรคอื่นๆ และนโยบายแก้ปัญหาสังคม เช่น ยาเสพติด อาชญากรรม พบว่า ร้อยละ 47.7 ชอบของพรรคเพื่อไทย ในขณะที่ร้อยละ 46.7 ชอบของพรรคประชาธิปัตย์ และร้อยละ 5.6 ชอบของพรรคอื่นๆ


เมื่อถามว่า ถ้าวันนี้เป็นวันเลือกตั้ง ท่านตั้งใจจะเลือกพรรคการเมืองใดในระบบบัญชีรายชื่อ และวิเคราะห์เฉพาะคนที่ตัดสินใจเลือกแล้ว พบว่า สัดส่วนของคนที่จะเลือกพรรคประชาธิปัตย์เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 34.1 มาอยู่ที่ร้อยละ 45.5 และคนที่จะเลือกพรรคเพื่อไทยเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 36.4 มาอยู่ที่ร้อยละ 40.5 แต่ไปลดลงจากพรรคการเมืองอื่นๆ จากร้อยละ 29.5 มาอยู่ที่ร้อยละ 14.0 ตามลำดับ


อย่างไรก็ตามสัดส่วนของคนที่จะเลือกพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทยยังอยู่ในช่วงความคลาดเคลื่อนที่ค้นพบ นั่นหมายความว่า ผลการเลือกตั้งจริงอาจเปลี่ยนแปลงไปได้จากข้อมูลที่ค้นพบในครั้งนี้


จากการพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 47.9 เป็นชาย ร้อยละ 52.1 เป็นหญิง ตัวอย่างร้อยละ 4.8 อายุน้อยกว่า 20 ปี ร้อยละ 20.1 อายุระหว่าง 20-29 ปี ร้อยละ 19.7 อายุระหว่าง 30-39 ปี ร้อยละ 20.7 อายุระหว่าง 40-49 ปี และ ร้อยละ 34.7 อายุ 50 ปีขึ้นไป ตัวอย่างร้อยละ 64.5 สำเร็จการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี ร้อยละ 26.7 สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี และร้อยละ 8.8 สำเร็จการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี ตัวอย่างร้อยละ 32.1 ระบุอาชีพเกษตรกร/รับจ้างทั่วไป ร้อยละ 27.6 ระบุอาชีพค้าขาย/ธุรกิจส่วนตัว ร้อยละ 11.6 ระบุเป็นพนักงานเอกชน ร้อยละ 10.5 ระบุข้าราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 9.0 ระบุเป็นนักเรียนนักศึกษา ร้อยละ 7.1 เป็นแม่บ้าน/พ่อบ้าน/เกษียณอายุ ร้อยละ 2.1 ว่างงาน/ไม่ได้ประกอบอาชีพ


เพื่อไทยเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส.ที่จ.เชียงรายทั้ง7เขต


 เมื่อเวลา 19.00 น. ที่สนามโรงเรียนบ้านหนองหล่ม ต.เจดีย์หลวง อ.แม่สรวย จ.เชียงราย  พรรคเพื่อไทยได้เปิดเวทีหาเสียงโหมการเลือกตั้ง ด้วยการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้ง 7 เขตของจังหวัดเชียงราย ได้แก่ เขต1 นายสามารถ แก้วมีชัย ,เขต 2 นายสุรสิทธิ์ เจียมวิจักษ์, เขต 3 นางสาววิสาระดี เตชะธีราวัฒน์, เขต 4 นายรังสรรค์ วันไชยธนวงศ์, เขต 5 นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน, เขต 6 นายอิทธิ เดชแก้วหลวง และ เขต 7 นางสาวละออง ติยะไพรัช โดยมีพระเอกหนุ่มบรุ๊ค ดนุพร ปุณกันต์ อดีตผู้แทนราษฎรพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย ดร.สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดเชียงใหม่พรรคเพื่อไทย อดีตประธานกรรมาธิการการคลัง การธนาคาร และสถาบันการเงินฯ  เดินทางเข้าร่วมงานครั้งนี้ท่ามกลางความสนใจของประชาชน อ.แม่สรวย อ.เวียงป่าเป้าและ อ.แม่ลาว กว่า 4,000 คนเข้ารับฟัง


การปราศรัยในครั้งนี้  พระเอกหนุ่มบรุ๊ค ดนุพร เปิดตัวด้วยการกล่าวถึงผลงานที่ล้มเหลวของรัฐบาล ที่ก่อหนี้ผูกพันธ์ให้ประเทศและประชาชนนับแสนแสนล้านบาท อีกทั้งยังมีใช้เงินภาษีของราษฎรอย่างชวนให้มีข้อสงสัยในหลายโครงการ


ในขณะที่นายสามารถ แก้วมีชัย อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ได้กล่าวถึงรัฐบาลและพรรคคู่แข็งอย่างภูมิใจไทย  ลอกเลียนนโยบายประชานิยม แต่ก็ทำไม่เป็น  อย่างเช่นนโยบายเรียนฟรี 15 ปี ที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ นำมาแต่ยอด แต่ผู้ปกครองกลับต้องจ่ายเงินเป็นจำนวนมาก เป็นค่าอื่นๆเช่นค่ากิจกรรม ค่าครูภาษาอังกฤษ อื่นๆ  จนเป็นภาระของผู้ปกครองไม่ตรงต่อตามหลักการเดิมที่ ดร.ทักษิณ ได้ทำไว้


นายสุรสิทธิ์ เจียมวิจักษ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 และนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 5  ได้วอนขอความเห็นใจจากพี่น้องประชาชนว่าในขณะนี้ตนเองและว่าที่ผู้สมัครพรรคพรรคเพื่อไทยทั้ง 7 เขตต้องต่อสู้กับอำนาจ รัฐและอำนาจเงิน  โดยในเขต 2 นายสุรสิทธิ์ ต้องแข่งขันกับคนหน้าสวยจากพรรคภูมิใจไทย ที่ใช้วิธีการหลอกลวงให้ประชาชน ที่หนุนพรรคเพื่อไทย และรัก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้าใจผิดว่าตัวเขาเองรักท่านทักษิณเหมือนพวกเราและต้องการให้ท่านทักษิณ กลับประเทศไทย  ดังนั้นหากเลือกพรรค ก็เลือกพรรคเพื่อไทย แต่เลือกตัวบุคคลให้เลือกหล่อน สร้างเสียงโห่ฮาให้กับประชาชนคนเสื้อแดงที่มานั่งฟังคำปราศรัย

 นอกจากนี้ นายพิเชษฐ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 5 เพื่อไทยยังกล่าวว่า  ในครั้งนี้ทางพรรคคู่แข่งที่ส่งลูกสาวที่บิดาเคยเป็นอดีต ส.ส.เชียงราย ในนามพรรคเพื่อไทย ลงสนามเลือกตั้ง ซึ่งประชาชนคงทราบดีว่ามีทั้งเงิน และอำนาจรัฐหนุนหลัง โดยมีกระแสข่าวว่าน่าจะมีการใช้เงินซื้อเสียงอย่างมหาศาล 1,000 บาท ต่อคน เพื่อให้พวกเขาไปสู่เป้าหมาย

 นายอิทธิเดช แก้วหลวง  กล่าวว่า  ระยะเวลาบริหารงาน 2 ปี ของรัฐบาลที่มีนายอภิสิทธิ์ เป้นายกทำให้ประชาชนมีหนี้สิน ต่อครอบครัวมากขึ้น เศรษฐกิจย้ำแย่ ข้าวของราคาแพง ทั้งน้ำมันปาล์ม ไข่ไก่ และอื่นๆ นโยบายหนึ่งที่จะช่วยประชาชนสามารถลืมตาอ้าปากได้คือการเพิ่มกองตั้งตัว พักหนี้เกษตรกร


สำหรับเกษตรที่มีหนี้ต่ำกว่า 500,000 บาท เป็นเวลา 3 ปีเพิ่มราคาพืชผลทางการเกษตร รับจำนำข้าวเปลือกเจ้า 15,000 บาทต่อเกวียน ข้าวหอมมะลิ 20,000 บาทต่อเกวียน ทำบัตรเครดิตเกษตรกรในการใช้จ่ายซื้อปัจจัยการเกษตร คืนภาษีรถ เพิ่มเงินเดือน ปริญญาตรีเป็น 15,000 บาท เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท

 นางสาวละออง ติยไพรัช  กล่าวปิดท้ายว่า ประชาชนจะอยู่ดี กินดีด้วยนโยบายประชานิยมของพรรคเพื่อไทย เลือกคนที่เรารักพรรคที่ท่านชอบ ทั้ง ส.ส.แบ่งเขตและปาตี้ลิสต์ เบอร์เดียวกัน พรรคเพื่อไทย เพื่อให้ได้ ส.ส. จำนวนมากที่สุด ที่จะได้เป็นพรรครัฐบาลพรรคเดียว ที่จังหวัดเชียงรายต้องเลือกเราทั้ง 7 คน หากสามารถพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งและเป็นพรรคที่สามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ ภายใน 3 เดือน หลังจัดตั้งรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะได้เดินทางกลับบ้านอย่างมีศักดิ์ศรีสู่อ้อมกอดประชาชนที่รักท่าน


ประการสำคัญเชียงรายจะได้รัฐมนตรี 1 ท่าน และท่านประธานสภาราษฎรอีก1 ตำแหน่งด้วย จากนั้นว่าที่ผู้สมัครได้ลุกขึ้นก่อนชูมือแสดงถึงความสามัคคีร่วมแรงร่วมใจเป็นหนึ่งเพื่อเอาชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ให้จงได้ท่ามกลางเสียงตบมือดีใจของประชาชนเสื้อแดงที่ให้การสนับสนุน


 ทั้งนี้ในวันนี้นางสาววิสาระดี ว่าที่ผู้สมัครเขต 3 เชียงราย ไม่ได้เดินทางเข้าร่วมปราศรัยในครั้งนี้เพราะติดภาระกิจพบฐานเสียง ในพื้นที่ตำบลแม่อ้อแม่แก้ว อ.พาน


"โสภณ"ปลุกคนบุรีรัมย์เลือกพรรคภูมิใจไทยมั่นใจได้70ที่นั่ง

     
 ที่สนามกีฬาโรงเรียนอนุบาลหนองกี่ อ.หนองกี่ จ.บุรีรัมย์ นายโสภณ ซารัมย์ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แกนนำพรรคภูมิใจไทย เปิดเวทีปราศรัยหาเสียงช่วย นายประกิจ พลเดช ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.บุรีรัมย์ เขต  7 พรรคภูมิใจไทย โดยประกาศคว้าเก้าอี้ ส.ส.บุรีรัมย์ ในการเลือกตั้งวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ยกทีมทั้งหมด 9 เขต พร้อมชูนโยบายประชานิยม สังคมเป็นสุขเดินหน้าโครงการรถไฟสายใหม่ของภาคอีสาน ปลอดหนี้ให้กับเกษตรกร เพิ่มเงินสวัสดิการให้กับ อสม.และสูงอายุท่ามกลางฝนโปรยปรายลงมาอย่างเนื่อง  โดยมีประชาชนจาก 4 อำเภอ ได้แก่ อ.หนองกี่, ปะคำ, หนองหงส์ และ อ.โนนสุวรรณ   มาร่วมรับฟังกว่า 12,000 คน


 นายโสภณ แกนนำพรรคภูมิใจ กล่าวว่า การเลือกตั้งในวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 นี้ พื้นที่ จ.บุรีรัมย์ เราไม่หนักใจ โดยจะส่งผู้สมัครรับการเลือกตั้งครบทั้ง 9 เขต และมั่นใจว่าจะได้รับความไว้วางใจจากประชาชนชาวบุรีรัมย์เลือกผู้สมัครพรรคภูมิใจไทย  เข้าไปทำหน้าที่เป็นปากเสียงแทนพี่น้องประชาชน ครบทั้ง 9 เขต โดยเฉพาะ นายประกิจ พลเดช ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.บุรีรัมย์ เขต 7 ซึ่งเชื่อว่าจะได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.อย่างแน่นอน เนื่องจากเป็นบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ และซื่อสัตย์


 นายโสภณ กล่าวว่า วันนี้อยากบอกพี่น้องประชาชนถึงผลงานของพรรคภูมิใจไทย เพราะเราต้องการคะแนนระบบบัญชีรายชื่อ จึงมาสร้างความนิยมให้กับประชาชนและปลุกกระแสความเป็นพรรคของคนบุรีรัมย์ เพราะนักการเมืองและพรรคการเมืองใด  หากได้รับเลือกเข้าไปแล้ว ทำประโยชน์ให้ กับชาวบ้านได้ ก็จะสร้างความนิยมให้กับชาวบ้าน  ถือว่าเป็นการประกาศนโยบายของพรรคอีกทางหนึ่ง


 "สำหรับนโยบายพรรค คือนโยบายประชานิยม สังคมเป็นสุข ปลดหนี้ให้กับเกษตรกร  เพิ่มเงินสวัสดิการให้กับ อสม.และผู้สูงอายุเป็นคนละ 1,000 บาท นำความผาสุก กลับคืนสู่พี่น้องประชาชน   เชื่อมั่นว่าความมุ่งมั่นและวิสัยทัศน์ของนักการเมืองของพรรคจะได้รับความนิยมจากพี่น้องประชาชน  ดังนั้น ในการเลือกตั้งครั้งนี้ มั่นใจว่า พรรคภูมิใจไทยจะได้อันดับที่ 3  ซึ่งจะเป็นพรรคร่วมรัฐบาลเข้าไปสานงานต่ออย่างแน่นอน ส่วนที่ว่าจะจับมือกับพรรคไหนในการจัดตั้งรัฐบาลนั้น การเมืองไม่มีอะไรแน่นอน  เหมือนกับถ้าเรียนหนังสือก็คือการประสานประโยชน์ ดังนั้น  การเมืองคือ การประสานประโยชน์ ถ้าสิ่งไหนทำแล้วเป็นประโยชน์กับประชาชน เราทำทั้งนั้น "นายโสภณกล่าวและว่า


แต่กรณีที่ว่าหนักใจหรือไม่หากแข่งกับพรรคเพื่อไทยในพื้นที่ภาคอีสาน แกนนำพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ไม่หนักใจจะเจอกับพรรคไหน แม้แต่พรรคเพื่อไทย แต่ยอมรับว่าในพื้นที่ภาคอีสานสู้เพื่อไทยไม่ได้ ยอมรับว่าแพ้ แต่ว่าเราก็สามารถรักษาพื้นที่เดิมและสร้างพื้นที่ใหม่ได้เกินคาด  ซึ่งธงที่ตั้งไว้ 70 คน มั่นใจว่าได้เกิน 70 แน่นอน



เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์