มอง′สัจธรรม′ผ่าน พาสสปอร์ต′ทักษิณ′

วรรัตน์ ตานิกูจิ

คอลัมน์ วิเทศวิถีโดย วรรัตน์ ตานิกูจิ worrarat@matichon.co.th


กลายเป็นประเด็นใหญ่ส่งท้ายปีสำหรับการประกาศเดินหน้าคืนหนังสือเดินทางหรือพาสสปอร์ตไทยเพื่อเป็นของขวัญวันคริสต์มาสให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ของนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ด้วยเหตุผลว่าเป็นการคืนสิทธิพื้นฐานของประชาชนไทยตามรัฐธรรมนูญ



ประเด็นทั้ง "คืน" และ "ยึด" หนังสือเดินทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเรื่องเป็นราวมาตั้งแต่ครั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณต้องพ้นจากอำนาจหลังการปฏิวัติรัฐประหารในปี 2549 ก่อนจะมาถึงวันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณเคยถูกยึดหนังสือเดินทางมาแล้วหลายรอบ ทั้งหนังสือเดินทางทูตหรือที่เรียกกันติดปากว่าพาสสปอร์ตแดง และหนังสือเดินทางธรรมดา


ในส่วนของหนังสือเดินทางทูตนั้น หลังจากถูก "ยึด" ไปรอบแรก ก็ได้กลับคืนไปเมื่อนายนพดล ปัทมะ มาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก่อนจะถูกถอนหนังสือเดินทางทั้งหมดอีกครั้งหลังเหตุกลุ่มคนเสื้อแดงบุกเข้าไปยังโรงแรมรอยัล คลีฟ บีช รีสอร์ท พัทยา เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2552 จนทำให้รัฐบาลไทยนำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ณ ขณะนั้นต้องตัดสินใจประกาศยกเลิกประชุมสุดยอดอาเซียนแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะเป็นการตัดสินใจประกาศยกเลิกการประชุมทั้งที่ผู้นำอาเซียนและประเทศคู่เจรจาเดินทางมาถึงเมืองไทยทั้งหมดแล้ว เรียกได้ว่าสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ประเทศไทยไปทั่วโลก



เหตุผลของการประกาศถอนหนังสือเดินทางไทยทุกเล่มในครั้งนั้น คือ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นบุคคลที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศ เพราะประกาศตัวชัดเจนว่าเป็นผู้สนับสนุนการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงที่เป็นสาเหตุให้การประชุมสุดยอดอาเซียนต้องล่ม


มอง′สัจธรรม′ผ่าน พาสสปอร์ต′ทักษิณ′

อย่างไรก็ดี ดูเหมือนว่าการถอนพาสสปอร์ตไทยจะไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเดินทางหรือการใช้ชีวิตในต่างแดนของ พ.ต.ท.ทักษิณแต่อย่างใด

เพราะแม้จะไม่มีหนังสือเดินทางไทย พ.ต.ท.ทักษิณก็ยังมีหนังสือเดินทางของมอนเตเนโกรและนิการากัวอยู่ในมือ เพียงแต่การเดินทางไปไหนมาไหนในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์อาจทำได้ยากลำบาก เพราะรัฐบาลได้ขอความร่วมมือจากประเทศต่างๆ ในการสกัดกั้นการเดินทางเข้าประเทศรวมถึงการเคลื่อนไหวทางการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณ

พอมาถึงวันนี้ เมื่อฟ้าเปลี่ยนสี การเมืองเปลี่ยนขั้วอีกครั้ง ประเทศต่างๆ ที่เคยให้ความ "ร่วมมือ" ในสมัยรัฐบาลไทยชุดก่อน ก็พากันเปลี่ยนท่าที ไล่เรียงกันมาตั้งแต่ญี่ปุ่น และประเทศในสหภาพยุโรปหลายประเทศ เพราะรัฐบาลชุดปัจจุบัน ไม่ได้มองว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นภัยคุกคามของประเทศอีกต่อไป

เมื่อท่าทีของรัฐบาลเป็นเช่นนี้ บวกกับข้อเท็จจริงที่รับรู้กันทั่วไปว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็น "พี่ชาย" ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จึงเป็นธรรมดาที่ประเทศต่างๆ ย่อมต้องอ้าแขนรับ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะไม่ว่าใครในประเทศจะให้เหตุผลอย่างไรก็ตาม แต่สำหรับชาติอื่นแล้ว คำว่าผู้นำที่ถูกโค่นอำนาจจากการรัฐประหาร ยังเป็นสิ่งที่ "ขายได้" อยู่เสมอ เช่นเดียวกับ "รัฐบาลเสียงข้างมาก" ที่มาจากการเลือกตั้ง

"สัจธรรม" ในเวทีระหว่างประเทศและในชีวิตก็เป็นเช่นนี้ เมื่อมีอำนาจในมือจะพูด จะทำ หรือจะเรียกร้องขอความร่วมมือในสิ่งใดก็ได้ดังประสงค์ แม้ใครจะชอบหรือชังก็อาจไม่พูดหรือไม่กล้าแสดงออกให้เห็นชัดเจนนัก แต่เมื่อพ้นไปจากอำนาจเมื่อใด จึงจะได้เห็นกันว่าใครคิดและรู้สึกอย่างไรกับเราอย่างแท้จริง

วันนี้เมื่อพรรคเพื่อไทยกลับมาเป็นรัฐบาล จึงเป็นธรรมดาที่การ "คืน" หนังสือเดินทางให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นหนึ่งในประเด็นที่ถูกคาดเดาได้ล่วงหน้าว่าจะต้องเกิดขึ้น ประเด็นอยู่ที่จะ "ช้า" หรือ "เร็ว" เท่านั้น และที่คนจับตาดูคือจะใช้อะไรเป็น "เหตุผล" ในการคืนหนังสือเดินทางครั้งนี้

นายสุรพงษ์ระบุว่า การออกหนังสือเดินทางเป็นการดำเนินการภายใต้ "ระเบียบกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ.2548" เมื่อเป็นกฎกระทรวงจึงเป็นอำนาจของรัฐมนตรี เพราะการยึดพาสสปอร์ตของ พ.ต.ท.ทักษิณในอดีต ก็เป็นการดำเนินการที่ไม่มีคำสั่งศาลหรือคำสั่งจากตำรวจในฐานะเจ้าพนักงานซึ่งมีอำนาจตามกฎหมายแต่อย่างใด

หันกลับมาดูรายละเอียดของ "ระเบียบกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ.2548" ในหมวดที่ 8 ว่าด้วยการยกเลิกหนังสือเดินทาง การยกเลิกหนังสือเดินทางของ พ.ต.ท.ทักษิณในปี 2552 เป็นไปตามข้อ 23 ที่ระบุว่าพนักงานเจ้าหน้าที่สามารถยกเลิกและเรียกคืนหนังสือเดินทางได้เมื่อปรากฏภายหลังว่า (7) พิจารณาเห็นว่า หากให้ผู้ถือหนังสือเดินทางยังคงอยู่ในต่างประเทศต่อไป อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศไทยหรือต่างประเทศได้

ซึ่งเมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ผู้ชุมนุมเสื้อแดงบุกโรงแรมที่จัดประชุมสุดยอดอาเซียน นายกษิตจึงใช้อำนาจในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศยกเลิกหนังสือเดินทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่เมื่อมาถึงนาทีนี้ นายสุรพงษ์ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พิจารณาเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับประเทศ จึงจะอาศัยอำนาจคืนหนังสือเดินทางให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ

เรียกว่ากฎระเบียบเดียวกัน แต่เมื่อต่างเวลา ต่างยุคสมัย ต่างคนต่างก็ตีความไปตามมุมมองของแต่ละฝ่ายนั่นเอง

เพราะในการถอนหนังสือเดินทางของ พ.ต.ท.ทักษิณเมื่อปี 2552 ก็เป็นการใช้อำนาจในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ดังนั้นการจะคืนหนังสือเดินทางให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็เป็นไปภายใต้หลักการเดียวกัน แต่หนังสือเดินทางที่จะคืนให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ จะมีเพียงหนังสือเดินทางธรรมดา

ในส่วนของหนังสือเดินทางทูตหรือพาสสปอร์ตแดงนั้น ต้องบอกว่าเป็นอีกกรณี เพราะสำหรับผู้ที่พ้นจากตำแหน่งทางการเมืองไป จะมีเพียงอดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเท่านั้น ที่ได้รับสิทธิให้ถือหนังสือเดินทางทูตต่อไป เพราะถือเป็นการให้เกียรติแก่บุคคลนั้นๆ

ดังนั้น เพียงแค่สถานะของการเป็นนักโทษที่หนีคดีซึ่งศาลตัดสินเป็นที่สุดแล้วของ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงเป็นเหตุผลเพียงพอสำหรับการยกเลิกหนังสือเดินทางทูต
 
ซึ่งถือเป็นการให้หนังสือเดินทางซึ่งแสดงถึงสถานะ "พิเศษ" ของบุคคลนั้นๆ และสถานะพิเศษดังว่าก็ไม่ควรให้กับผู้ต้องหาหนีคดี แม้อาจจะมีความพยายามที่จะอธิบายว่าคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นคดีการเมืองก็ตามที

กระนั้นก็ดียังเป็นที่ถกเถียงกันว่า ในประเด็นของ "เสรีภาพในการเดินทาง" ซึ่งเป็นเรื่องที่ได้รับการรับรองภายใต้รัฐธรรมนูญนั้น ครอบคลุมแค่ไหนเพียงไร เพราะแม้จะมีการระบุว่าหนังสือเดินทางเป็นเอกสารสำคัญประจำตัวบุคคลไม่ต่างจากบัตรประชาชน ที่แม้ว่าเจ้าของจะต้องคดีหรือหนีคดีอย่างไร ก็ไม่สมควรที่จะถูกยกเลิก "สิทธิ" ของความเป็นคนไทย แต่การยกเลิกหนังสือเดินทางนั้นมีความหมายครอบคลุมการยกเลิกสิทธิของความเป็น "พลเมืองไทย" ด้วยหรือไม่ หรือเป็นเพียงกลไกที่ดำเนินการเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ต้องหาสามารถเดินทางไปยังต่างประเทศเพื่อหลบหนีการดำเนินคดีในประเทศได้ นั่นเป็นประเด็นที่ต้องถกแถลงกันในหมู่นักกฎหมาย

และเนื่องจากคดีความที่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นดัง "เผือกร้อน" ที่ไม่มีหน่วยงานใดอยากจะยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวนัก
 
เพราะหวั่นปรากฏการณ์ฟ้าเปลี่ยนสีอย่างที่ว่ามา ทำให้แม้แต่ในรัฐบาลประชาธิปัตย์ก็ไม่เคยมีการประสานมาจากเจ้าพนักงานตามกฎหมายให้ยกเลิกหนังสือเดินทางทั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนักโทษหลบหนีคดี จะมีก็แต่ประเด็นเรื่องการขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนเมื่อมีข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณไปปรากฏตัวอยู่ที่ประเทศต่างๆ เท่านั้น แต่ก็เป็นไปในลักษณะของการโยนเรื่องกันไปมาของหน่วยงานในประเทศ

นับจากนาทีนี้ไปการคืนหนังสือเดินทางให้ พ.ต.ท.ทักษิณจะกลายเป็นเรื่องที่เพิ่มอุณหภูมิในเวทีการเมืองไทยให้ร้อนระอุขึ้นมาอีกครั้ง แต่ไม่ว่าใครจะร้อน ใครจะร้องโวยวาย หรือใครจะยื่นถอดถอนใครอย่างไร ไม่เกินปีใหม่นี้ พ.ต.ท.ทักษิณจะได้เป็นเจ้าของหนังสือเดินทางไทยเล่มใหม่ค่อนข้างแน่นอน


เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์