ฟันแก๊งซีทีเอ็กซ์ อดีต รมต. กับ ขรก.รวม7คน

"บ้านเมืองเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ยังไว้ใจอะไรไม่ได้"


แม้สถานการณ์บ้านเมืองจะเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ มีเสียงขานรับในแง่บวกหลังคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(คปค.) เข้าทำรัฐประหารล้มล้างอำนาจรัฐบาลพรรคไทยรักไทย แต่ คปค.ก็ยังไม่ไว้วางใจต่อสถานการณ์อย่างเต็มที่ ล่าสุดได้มีคำสั่งห้ามดักฟังโทรศัพท์ โดยได้กำหนดโทษถึงขั้นยึดสัมปทาน พร้อมเร่งสะสางปัญหาทุจริตคอรัปชันที่หมักหมมมานาน โดยจะเริ่มจากโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน และโครงการจัดซื้อเครื่องซีทีเอ็กซ์ 9000 รวมทั้งไฟเขียวให้เปิดทำการสนามบินสุวรรณภูมิในวันที่ 28 ก.ย.นี้นั้น

คปค.ไฟเขียวสุวรรณภูมิ 28 ก.ย.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 24 ก.ย. ที่กองบัญชาการกองทัพบก คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) โดยมี พล.อ.เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ ประธานที่ปรึกษาคณะปฏิรูปฯ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะปฏิรูปฯ พล.ร.อ.สถิรพันธุ์ เกยานนท์ พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองหัวหน้าคณะปฏิรูปฯ และ พล.อ.วินัย ภัททิยกุล เลขาธิการคณะปฏิรูปฯ ได้เรียก พล.อ.สิริชัย ธัญญสิริ ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ รอง ผบ.ทหารสูงสุด และผู้บริหารของท่าอากาศสุวรรณภูมิ

เข้าร่วมประชุมพร้อมกับรายงานการเตรียมความพร้อมในการเปิดใช้ สนามบินสุวรรณภูมิในวันที่ 28 ก.ย.นี้ ซึ่งผู้บริหารการท่าอากาศยานยืนยันว่า มีความพร้อมทางการปฏิบัติ การบิน 100% โดยมีการทดสอบทางการบินทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งเวลากลางวันและกลางคืน โดยระบบภายในทุกระบบเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะปฏิรูปฯเห็นตรงกันว่าจะมีการใช้กำลังพลจากกองบัญชาการทหารสูงสุดจำนวน 800 นาย ในการเคลื่อนย้ายสิ่งของและการปฏิบัติงานต่อเนื่อง 90 วัน อย่างไรก็ตามคณะปฏิรูปฯจะเดินทางไปตรวจเยี่ยมภายใน 2-3 วันนี้

เตรียมลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสุวรรณภูมิ

พล.ต.ทวีป เนตรนิยม รองโฆษกคณะปฏิรูปฯ แถลงว่า ที่ประชุม คปค.ได้เห็นชอบและตอบรับในการที่ คปค.จะเดินทางไปตรวจเยี่ยมความเรียบร้อยสนามบินสุวรรณ ภายใน 2-3 วันนี้ ก่อนที่จะมีการเปิดใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 28 ก.ย. ทั้งนี้ คปค.ได้เชิญนายวันชัย ศารทูลทัต ปลัดกระทรวงคมนาคม และคณะผู้บริหารที่รับผิดชอบท่าอากาศสุวรรณภูมิ มารายงานความพร้อมในด้านต่างๆของท่าอากาศยาน โดยเฉพาะความพร้อมทางการปฏิบัติการทางการบินนั้น ยืนยันว่ามีความพร้อม 100%

เนื่องจากได้มีการทดสอบทางการบิน มาเป็นระยะเวลาหนึ่ง ทั้งในและต่างประเทศ ทั้งเวลากลางวันและกลางคืน ส่วนปัญหาการเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ ต่างๆ ทาง บก.ทหารสูงสุดได้สนับสนุนกำลังพลจำนวน 800 นาย โดยจะอยู่อำนวยความสะดวกต่างๆ เพื่อให้ สนามบินแห่งใหม่ปฏิบัติงานด้วยความราบรื่นประมาณ 90 วัน อย่างไรก็ตาม สำหรับการเริ่มต้นปฏิบัติการทาง การบินคงเป็นไปตามกำหนดเวลาในวันที่ 28 ก.ย.นี้

ผู้บริหาร ทอท.เข้าพบคณะปฏิรูปฯ

นายสมชัย สวัสดิผล ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กล่าวว่า คณะผู้บริหารกระทรวงคมนาคมและ ทอท. โดยการนำของนายวันชัย ศารทูลทัต ปลัดกระทรวงคมนาคม ได้เดินทางเข้าพบ คปค. เพื่อรายงานความพร้อมการเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระหว่างคืนวันที่ 27-28 กันยายนนี้ โดยรายงานให้ คปค.ทราบถึงความพร้อมด้านต่างๆ

ไม่ว่าจะเป็นระบบเช็กอินผู้โดยสาร ระบบนำร่องอากาศยาน และการเตรียมพื้นที่ต่างๆ เพื่อรองรับผู้โดยสาร การจัดระบบขนส่งต่างๆ ในการเข้าออกท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้แจ้งให้ คปค.ทราบว่า ทุกระบบของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิมีความพร้อมมากที่สุด นอกจากนี้ ยังได้แจ้งถึงกำหนดการที่เตรียมไว้ ทั้งการพิธีอำลาท่าอากาศยานกรุงเทพ และตารางบินเที่ยวบินสุดท้ายที่ออกจากท่า อากาศยานกรุงเทพจนถึงตารางการบินทั้งขาเข้าขาออกของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

การบินไทยพร้อมย้ายฐานปฏิบัติ


นายกอบชัย ศรีวิลาศ ที่ปรึกษาฝ่ายกิจกรรมพิเศษ บมจ.การบินไทย กล่าวถึงความพร้อมในการย้ายฐานปฏิบัติการของการบินไทย จากท่าอากาศยานกรุงเทพ มาที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อพร้อมเปิดให้บริการในเชิงพาณิชย์ วันที่ 28 ก.ย.นี้ ว่า ขณะนี้ได้เตรียมการไว้พร้อมเต็มที่แล้ว ส่วนการโยกย้ายอุปกรณ์ก่อนการเปิดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ การบินไทยได้ย้ายอุปกรณ์ กว่า 800 เที่ยว ในช่วงที่ผ่านมา และในวันที่ 24 ก.ย. นี้ จะมีการขนย้ายอุปกรณ์อีกประมาณ 100 เที่ยว โดยจะทยอยขนย้ายให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 26 กันยายน ส่วนการขนย้ายครั้งใหญ่จะมีการขนย้ายในวันที่ 27 ก.ย. ประมาณ 1,076 เที่ยว

คืนวันที่ 27 ก.ย. อุปกรณ์ขนาดใหญ่ที่ใช้กับเครื่องบินจะมีการขนย้ายให้เสร็จทั้งหมด ส่วนหลังเปิดใช้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในวันที่ 28 ก.ย. จะต้องใช้ เวลา 2 สัปดาห์ในการขนย้ายอุปกรณ์ที่ต้องขนส่งอยู่ ประมาณ 600 เที่ยว จากท่าอากาศยานกรุงเทพมาที่ท่า อากาศยานสุวรรณภูมิได้ทั้งหมด ที่ปรึกษาฝ่ายกิจกรรมพิเศษ บมจ.การบินไทยกล่าว

ปรับกลยุทธ์ป้องกันข่าวเพี้ยน

พล.ท.พลางกูร กล้าหาญ โฆษก คปค. กล่าวถึงกรณีที่กระแสข่าวที่ว่า คปค.จะสามารถประกาศตัวนายกรัฐมนตรี และคณะร่างรัฐธรรมนูญได้ภายในวันหรือ 2 วันนี้ว่า เรื่องตัวนายกฯและการร่างรัฐธรรมนูญ ถ้าคำตอบที่สั้นที่สุดก็คือเป็นไปตามเจตนารมณ์ของหัวหน้า คปค.ที่ให้ข้อมูลไว้ ที่สื่อมวลชนเสนอข่าวออกไปว่าจะสามารถประกาศได้ในวันหรือ 2 วันนี้นั้น เป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อน ไม่มีการประกาศใน 1-2 วันนี้ ทุกอย่างจะเป็นไปตามกระบวนการเดิม อย่างไรก็ตาม ข้อมูลข่าวสารของ คปค.ที่สื่อมวลชนสนใจ

ที่จะนำไปเสนอโดยเฉพาะเรื่องตัวนายกรัฐมนตรีหรือรัฐธรรมนูญ หรือประเด็นสำคัญ ดังนั้นจากนี้ไปคณะทำงานโฆษกของ คปค. ถ้าเป็นเรื่องไม่สำคัญมากจะแจกเป็นเอกสารข่าว และถ้าเป็นเรื่องสำคัญจริงก็จะมอบให้ผู้แถลงข่าวของทางราชการจำนวน 2 คน ทั้งภาคภาษาไทยและภาษาอังกฤษมาเรียนชี้แจงเป็นเรื่องๆ เพื่อป้องกันความคลาดเคลื่อนของข่าว นอกเหนือจากนั้นไม่มีผู้ใดจะให้ข่าวได้ ยกเว้นหัวหน้า คปค.และผู้อยู่ใน คปค. ถ้าเป็นการอ้างแหล่งข่าวของทางราชการ ขอความกรุณาอย่าได้ไปนำเสนอ เพราะเสนอไปก็ไม่ถูกต้อง

บัวแก้วเชิญทูตรับฟังสถานการณ์

ตามที่คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศขยายผลประชาสัมพันธ์ เชิงรุก เพื่อให้นานาประเทศเข้าใจสถานการณ์บ้านเมืองที่เกิดขึ้นนั้น ล่าสุดนายกิตติ วะสีนนท์ อธิบดีกรมสารนิเทศ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ในวันจันทร์ที่ 25 ก.ย.นี้ เวลา 16.00 น. กระทรวงการต่างประเทศได้เชิญ คณะทูตมาร่วมรับฟังคำชี้แจงและบรรยายสรุปเกี่ยวกับสถานการณ์ล่าสุด

โดยมี พล.อ.วินัย ภัททิยกุล เลขาธิการ คปค. และนายกฤษณ์ กาญจนกุญชร ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกันบรรยายสรุป สำหรับข้อมูลหลักคือ ข้อมูลและสถานการณ์ล่าสุด รวมทั้งประเด็นที่เป็นการตอบข้อซักถามของคณะทูต ทั้งนี้เพื่อมุ่งหวังให้คณะทูตจากนานาประเทศ และประชาคมระหว่างประเทศ มีความเข้าใจต่อสถานการณ์ขณะนี้ และมองเห็นภาพที่ชัดเจนว่า ประเทศไทยกำลังเดินหน้าเพื่อนำไปสู่แนวทางประชาธิปไตย ทั้งนี้ คาดว่าจะมีคณะทูตให้ความสนใจเข้าร่วมรับฟังเป็นจำนวนมาก หลังจากนั้นจะสรุปให้สื่อมวลชนที่สนใจรับทราบข้อมูลต่อไป

เตรียมข้อมูลสนับสนุนละเอียดยิบ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการเตรียมความพร้อมในการจัดชี้แจง และบรรยายสรุปต่อคณะทูตนั้น กระทรวงการต่างประเทศได้มีการประชุมหารือ เพื่อเตรียมความพร้อมในการดำเนินการดังกล่าว โดยได้เตรียมข้อมูลในประเด็นต่างๆ ที่คาดว่าจะได้รับความสนใจจากคณะทูต อาทิ เรื่องแนวทางและวิธีการร่างรัฐธรรมนูญ และกำหนดเวลาที่ชัดเจน การจัดตั้งรัฐบาลรักษาการชุดใหม่ จะเป็นไปตามกำหนด 2 สัปดาห์ ตามที่ คปค.ระบุหรือไม่ รวมถึงตัวบุคคลที่อยู่ในความสนใจ เป็นต้น นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศ ยังให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องจัดเตรียมคำแปลคำสั่ง และคำประกาศของ คปค.ทุกฉบับเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานและตอบข้อซักถามต่อคณะทูตครั้งนี้ด้วย

เร่งออกธรรมนูญปกครองชั่วคราว


วันเดียวกัน นายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกฯ ในฐานะคณะทำงานฝ่ายกฎหมายของคณะปฏิรูปการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าในการยกร่างธรรมนูญ การปกครองชั่วคราว ว่า ขณะนี้คณะทำงานฯยังจัดทำไม่เสร็จ เรียบร้อย เพราะมีการนำร่างธรรมนูญชั่วคราวที่นักวิชาการ หลายสำนักต่างเสนอมารวมเป็นฉบับเดียวและต้องหารือร่วมกับนักวิชาการผู้รู้ และเจ้าของร่างอีกครั้ง เพื่อเสนอให้ คปค. คราวนี้ต้องการให้รัฐธรรมนูญฉบับถาวรที่จะทำ กันใหม่ มีกระบวนการดำเนินการที่ชัดเจน โดยกำหนดให้ ประชาชนมีส่วนร่วมมาก เพื่อเป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ดังนั้นจึงต้องเขียนเนื้อหาในส่วนของกระบวนการยกร่าง

รัฐธรรมนูญไว้ค่อนข้างยาว ทำให้ธรรมนูญการปกครองชั่วคราวครั้งนี้จะยาวกว่าปกติเป็นพิเศษ มีประมาณ 30-50 มาตรา คงจะเสร็จได้ในเร็ววันนี้ โดยตามขั้นตอนจะต้องมีธรรมนูญการปกครองชั่วคราวออกมาก่อน จากนั้นในวัน เดียวกัน หรือวันรุ่งขึ้น ก็จะตั้งนายกฯ ครม. และดำเนินการ ให้มีสภาตามที่กำหนดต่อไป ซึ่ง คปค.ก็เร่งรัดมาก ถาม มาทุกวัน เพราะเขาจะได้เร่งเสนอแต่งตั้งนายกฯและกลับเข้าที่ตั้ง เพื่อสถานการณ์จะได้กลับสู่ความสงบเรียบร้อย ซึ่งกระบวนการทั้งหมดน่าจะทำได้ทันกำหนดภายใน 2 สัปดาห์ ตามที่ คปค.ประกาศไว้

สภาร่าง รธน.ต้องมีอิสระเต็มร้อย

นายวิษณุกล่าวว่า ทั้งนี้ตามข้อเสนอจากนักวิชาการ ทุกสำนักเห็นตรงกันว่า การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับถาวรคงไม่ยอมให้อยู่ในมือของคณะบุคคลน้อยๆ คนที่ทำกัน เอง คิดกันเอง แต่ต้องมีความหลากหลาย อย่างน้อยก็ไม่แพ้ หรือไม่แย่ไปกว่าสมัยที่ ส.ส.ร.เคยทำกันมา ให้มีคนมาจาก หลากหลายอาชีพ และให้ผู้ทำหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญซึ่งจะเรียกสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรืออะไรก็ตาม ได้ร่างเอง ด้วยความเป็นอิสระ และทำมาให้สำเร็จรูปในตัวเอง โดย ต้องเชื่อมโยงภาคประชาชนและสะท้อนความต้องการของ ประชาชนอย่างแท้จริง

เมื่อร่างเสร็จแล้วถือว่าจบในตัวเอง ไม่ต้องนำไปเสนอขอความเห็นชอบจาก คปค. ครม. หรือสภานิติบัญญัติอีก เมื่อถามว่า หมายความว่าจะให้ประชาชน ลงประชามติเพื่อตัดสินใจว่าจะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ใช่หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ตนยังไม่ตอบ เพราะเรากำลัง คิดหาวิธีการเชื่อมโยงกับประชาชนอยู่ 2-3 วิธี โดยต้อง เชื่อมโยงกับประชาชนตั้งแต่ก่อนร่าง และในระหว่างการร่างต้องให้สะท้อนความคิดเห็นเข้ามาได้ และเมื่อทำเสร็จ ต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมอีกครั้ง

แนะรวบอำนาจยกร่างกฎหมายลูก

นายวิษณุกล่าวว่า ทั้งนี้สาระสำคัญในการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่นั้น ต้องแก้ขอข้อบกพร่อง หรือสิ่งที่เป็น ภาระในรัฐธรรมนูญปี 2540 ให้ได้ เช่น การเลือกตั้งใน ต่างประเทศ ถ้าจะให้มีต้องคิดวิธีการใหม่ ไม่ใช่ให้ต้องเลือกบ่อย หรือต้องมีเสมอไป หรือองค์ประกอบจะให้มี กี่สภา รวมทั้งองค์กรอิสระใดที่สมควรต้องมีอยู่ หรือที่ต้อง ตั้งมาใหม่เป็นต้น อย่างไรก็ตามโดยส่วนตัวเห็นว่าในการ ยกร่างรัฐธรรมนูญกับกฎหมายลูกที่ผ่านมายังมีปัญหา

เนื่องจากคนร่างรัฐธรรมนูญกับคนร่างกฎหมายลูกรัฐบาลเป็นคนทำเองมาในภายหลัง ถือว่าเป็นคนละชุดกัน จึงไม่ สามารถที่จะสื่อ หรือเชื่อมโยงจิตวิญญาณ หรือเจตนารมณ์ ของกฎหมายที่เกี่ยวโยงกันได้ การบังคับใช้กฎหมายจึงเกิดปัญหา ดังนั้นครั้งนี้สภาร่างรัฐธรรมนูญจึงควรทำกฎหมายลูกเอง โดยตั้งทีมดำเนินการควบคู่กันไปกับการ ร่างรัฐธรรมนูญด้วยเลย

ชี้คดียุบพรรคยังคงต้องเดินหน้าต่อ

นายวิษณุกล่าวกรณีที่มีข้อสงสัยว่า คดียุบพรรคไทยรักไทย พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคการเมืองอื่นที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการอย่างไร ภายหลังที่ศาลรัฐธรรมนูญถูกยุบไปจากการปฏิรูปยึดอำนาจว่า คดียุบพรรคยังคงเดินหน้าต่อไป เพราะต้องเข้าใจว่าพรรคการเมืองยังมีอยู่ไม่ได้ยกเลิก เพียงแต่ห้ามเคลื่อนไหวดำเนินกิจกรรมการเมือง หรือจดทะเบียนตั้งพรรคใหม่ รวมทั้งถือว่าคดีมีอยู่เดิมแล้ว ไม่ใช่ว่าไม่เคยมี และแม้ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่มี แต่ก็ถือว่าขาดเพียงคนทำหน้าที่ศาลคอยตัดสิน อีก 2-3 วัน ทาง คปค.

จะมีการตั้งกระบวนการขึ้นมาทดแทน โดยใช้กลไกที่มีอยู่แล้วให้เป็นประโยชน์ คือการไปกำหนดให้กลไกที่มีอยู่แล้วนั้นใช้อำนาจแทนศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งทำได้ไม่ยากโดยออกประกาศของ คปค.มารองรับ เมื่อถามว่า ช่องทางที่จะส่งคดียุบพรรคไปดำเนินการจะมอบให้ศาลยุติธรรม หรือศาลแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นายวิษณุกล่าวว่า ที่ผ่านมาก็เคยมีการหารือกันบ้าง แต่ยังไม่ทราบว่า คปค.จะตัดสินอย่างไร

คปค.ไล่ล่ายึดทรัพย์อดีต รมต.


นายวิษณุกล่าวถึงการเตรียมการตรวจสอบทรัพย์สิน และการติดตามยึดทรัพย์อดีตรัฐมนตรีที่มีพฤติกรรมส่อไปในทางทุจริตว่า ภายหลังจากที่ คปค.ได้มีประกาศเรื่องการตั้งคณะกรรมการ ป.ป.ช.ขึ้นมาแล้ว กระบวนการที่จะมีการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สิน ก็คงจะมีประกาศของคปค.ให้ดำเนินการในเรื่องนี้ตามมา แต่จะออกมาอย่างไรไม่ทราบ แต่จะมีตามมาจาก ป.ป.ช.แน่นอน นอกจากนี้เรื่องการยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินของอดีต ครม. ภายหลังการยึดอำนาจนั้น ต้องเข้าใจว่าการยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินนั้น นอกจากต้องยื่นตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดแล้ว ยังต้องยื่นแสดงตามที่

พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย ป.ป.ช.กำหนดด้วย ในเมื่อวันนี้มีการฟื้นกฎหมาย ป.ป.ช. และคณะกรรมการ ป.ป.ช.ใหม่คืนชีพใหม่แล้ว ดังนั้น ครม. ที่สิ้นสุดลงไปเพราะการยึดอำนาจ ที่ปรึกษา เลขานุการ รวมทั้งข้าราชการการเมืองทั้งหลาย รวมไปถึงอดีต ส.ส. และอดีต ส.ว. ที่พ้นจากตำแหน่งไปแล้วด้วย ยังต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินตามกฎหมายลูกอยู่ ที่ผ่านมามีหลายคนได้สอบถามมาเป็นจำนวนมาก เพราะเข้าใจว่าเมื่อรัฐธรรมนูญสิ้นสุดลง หน้าที่การยื่นบัญชีทรัพย์สินตามจะหมดไปด้วย แต่ความจริงต้องยื่นอีก เพราะกฎหมายลูกยังอยู่ระบุหน้าที่ตรงนี้ไว้ก็ต้องทำตาม

นายวิษณุกล่าวว่า นอกจากนี้ใครที่เคยยื่นไว้แล้ว แต่มาครบกำหนดที่ต้องยื่นแสดงอีกครั้งเมื่อครบ 1 ปี หลังจากที่ออกไป ก็ต้องมาดำเนินการยื่นแสดงอีกตามปกติเสมือนหนึ่งว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น โดย ป.ป.ช.ยังคงเปิดซองตรวจสอบได้เหมือนเดิม ไม่ใช่พอปฏิวัติแล้วจะต่างคนต่างเลิกกันไป

ห้ามการดักฟังทางโทรศัพท์

ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 21 เรื่องห้ามการดักฟังทางโทรศัพท์ หรือเครื่องมือสื่อสารใด โดยที่ในระยะเวลาที่ผ่านมา ได้มีการลักลอบดักฟัง ใช้ ประโยชน์ หรือเปิดเผยข้อความ ที่มีการติดต่อทางโทรศัพท์ หรือเครื่องมือสื่อสารอื่น โดยมิชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการละเมิดเสรีภาพของบุคคล ในการสื่อสารถึงกัน ก่อให้เกิดความหวาดระแวงกันทั่วไป ในหมู่ประชาชนผู้ใช้เครื่องมือสื่อสาร ดังนั้น เพื่อคุ้มครองเสรีภาพในการสื่อสารถึงกัน โดยชอบด้วยกฎหมาย

และเพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย และรักษาความสงบของประเทศ คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จึงมีประกาศดังต่อไปนี้ ข้อ 1 ผู้ใดดักฟัง ใช้ประโยชน์ หรือเปิดเผย ซึ่งข้อความที่มีการติดต่อทางโทรศัพท์ หรือเครื่องมือสื่อสารอื่นใด โดยไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ

ข้อ 2 ผู้ใดรับรู้ข้อความที่ได้มาจากการกระทำความผิดตามข้อ 1 ใช้ประโยชน์ หรือเปิดเผยข้อความนั้นต่อผู้อื่น โดยไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย ต้องระวางโทษไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ ข้อ 3 ผู้ใดใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดตามข้อ 1 หรือข้อ 2 ต้องรับโทษเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ตามที่บัญญัติไว้ในความผิดตามข้อ 1 หรือข้อ 2 แล้วแต่กรณี ข้อ 4 ถ้าผู้กระทำความผิดเป็นผู้ได้รับอนุญาต ให้บริการโทรศัพท์ หรือการสื่อสาร หรือเป็นผู้ได้รับสัมปทานการให้บริการดังกล่าว นอกจากต้องรับโทษตามข้อ 1 ข้อ 2 หรือข้อ 3 แล้วแต่กรณีแล้ว ให้ใบอนุญาตหรือสัมปทานนั้นสิ้นสุดลงด้วย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป

ประกาศ ณ วันที่ 24 กันยายน พ.ศ.2549 พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ยืนยันดักฟังโทรศัพท์มือถือไม่ง่าย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทั้งนี้ จากการสอบถามผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ ที่ให้บริการในประเทศไทยทุกค่ายต่างไม่ต้องการแสดงความคิดเห็น และล้วนยืนยันว่าระบบของตนไม่เคยมีการดักฟังมาก่อน โดยระบุว่า การดักฟังสัญญาณโทรศัพท์มือถือไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะผู้ใช้เคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา อีกทั้งอุปกรณ์ดักฟังมีมูลค่าสูงมาก ไม่มีความจำเป็นในการลงทุน อย่างไรก็ตาม คำสั่ง ของ คปค.ฉบับดังกล่าว ได้สร้างความตระหนกตกใจให้กับค่ายมือถือทุกระบบ โดยเฉพาะประเด็นจะยึดคืนสัมปทาน อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในทางเทคนิคการดักฟังโทรศัพท์มือถือจะทำได้ยากกว่าโทรศัพท์พื้นฐานตามบ้าน เนื่องจากผู้ใช้มือถือจะมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา ส่วนโทรศัพท์พื้นฐานจะมีโครงข่ายที่อยู่กับที่สามารถดักฟังได้ง่าย

ห้ามกลุ่มการเมืองท้องถิ่นเคลื่อนไหว

ประกาศ คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 22 เรื่อง ขอให้ยุติความเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองท้องถิ่น ตามที่คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ได้ประกาศกฎอัยการศึก ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 เป็นต้นมา และได้มี ประกาศฉบับที่ 7 ลงวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2549 เรื่อง การห้ามชุมนุมทางการเมือง โดยมิให้มั่วสุม ประชุมทาง การเมือง ณ ที่ใดๆ ที่มีจำนวนตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปนั้น

ด้วย ปัจจุบันปรากฏความเคลื่อนไหวของกลุ่มสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล องค์การบริหารส่วนจังหวัด รวมทั้งกลุ่ม องค์กรอื่นๆ ทั้งที่มีความมุ่งหมายเพื่อสนับสนุน หรือคัดค้าน การดำเนินการของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งการ ดำเนินการดังกล่าวอาจทำให้เกิดปัญหา และเป็นอุปสรรคต่อการบริหารราชการแผ่นดิน อันจะนำไปสู่ความแตกแยกในสังคมต่อไป

ดังนั้น คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จึงขอประกาศ ให้กลุ่มองค์กรต่างๆยุติความเคลื่อนไหว และการรวมกลุ่ม ทางการเมืองไว้จนกว่าสถานการณ์ของประเทศจะเข้าสู่ สภาวะปกติ ซึ่งคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จะได้มีประกาศ ให้ทราบต่อไป ทั้งนี้ หากมีผู้ใดฝ่าฝืนจะต้องได้รับโทษโดยเฉียบขาด

ประกาศ ณ วันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2549 พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

เลขาธิการ คปค.ออกคำชี้แจง


ขณะเดียวกัน สำนักเลขาธิการ คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ได้ออกคำชี้แจงเรื่อง การดำเนินการของหน่วยงานที่มีกฎหมายจัดตั้ง หรือรองรับ ตามที่ได้มีประกาศ คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระ มหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 3 ลงวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และศาล รัฐธรรมนูญ สิ้นสุดลงนั้น เพื่อให้การดำเนินการขององค์กร ต่างๆ ซึ่งมีกฎหมายจัดตั้ง หรือรองรับอยู่ ดำเนินการต่อไป ได้อย่างต่อเนื่อง

สำนักเลขาธิการ คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ขอชี้แจงดังนี้ 1. บรรดาพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญ ซึ่งออกตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เป็นอันสิ้นผลใช้บังคับลง เนื่องจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้ถูกยกเลิกแล้ว เว้นแต่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญบางฉบับ ที่คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ได้มีประกาศเป็นการเฉพาะ ให้มีผลบังคับใช้ต่อไป

ให้หน่วยงานที่กฎหมายรองรับ

ได้แก่ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2542 ตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 12 ลงวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2549 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2541 ตามประกาศคณะ ปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 13 ลงวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2549 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา พ.ศ. 2542

ตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 14 ลงวันที่ 21 กัน-ยายน พ.ศ. 2549 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2541 ตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 15 ลงวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2549 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542

ตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 19 ลงวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2549 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญา ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2542 ตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 19 ลงวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2549

ยังคงต้องปฏิบัติหน้าที่อยู่ต่อไป

ข้อ 2 สำหรับบรรดาพระราชบัญญัติพระราชกำหนด หรือกฎหมายอื่น นอกจากพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญยังคงมีผลใช้บังคับอยู่ต่อไป จนกว่าจะถูกยกเลิกหรือแก้ไข เพิ่มเติม โดยประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือคำสั่งหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดังนั้น บรรดาหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นหรือรองรับโดยพระราชบัญญัติ

พระราชกำหนดหรือกฎหมายอื่นนั้น อาทิ สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ แห่งชาติ คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ สำนัก-งานศาลรัฐธรรมนูญ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา เป็นต้น ตลอดจนหน่วยงานธุรการของคณะกรรมการดังกล่าว

ยังคงต้องปฏิบัติหน้าที่อยู่ต่อไป ตามพระราชบัญญัติ พระราชกำหนด หรือกฎหมายนั้น และประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่ ประกาศให้ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไป จึงชี้แจงให้ ทราบโดยทั่วไป ประกาศ ณ วันที่ 24 กันยายน พ.ศ.2549

กล้านรงค์ เร่งเชือดคดีคลองด่าน

ทางด้านความคืบหน้าในการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นั้น นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการ ป.ป.ช. กล่าวว่า การประชุมกรรมการ ป.ป.ช.นัดแรก ในวันที่ 25 ก.ย.นี้ คงเป็นการหารือในเบื้องต้นถึงหลักการทำงานว่า จะมีแนวทางการดำเนินงานอย่างไรกับคดีต่างๆที่ค้างอยู่ใน ป.ป.ช. กว่า 10,000 คดี รวมถึงการวางแนวทางการทำงานของ ป.ป.ช.ด้วย ส่วนตัวเห็นว่าเรื่องเร่งด่วนที่ ป.ป.ช.ต้องทำคือ

การเร่งพิจารณาคดีที่ใกล้หมดอายุความ และคดีสำคัญที่มีนักการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้อง แต่ต้องรอความเห็นจากที่ประชุม ป.ป.ช. ในวันที่ 25 ก.ย. ก่อนว่าจะดำเนินการอย่างไร ผู้สื่อข่าวถามว่าคดีการทุจริตโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน ที่จะหมดอายุความในสิ้นปีนี้ จะต้องเร่งรัดในการพิจารณาหรือไม่ นายกล้านรงค์ตอบว่า คดีทุจริตโครงการคลองด่านมีหลายเรื่องทั้ง เรื่องการทุจริตการจัดซื้อที่ดิน และการทุจริตการดำเนินโครงการ มีทั้งนักการเมืองและข้าราชการเข้าไปเกี่ยวข้อง หากคดีใกล้หมดอายุความจริงก็ต้องรีบดำเนินการก่อน

ชงตั้งอนุกรรมการฯสอบซีทีเอ็กซ์


นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. กล่าวว่า การดำเนินงานของ ป.ป.ช.จะเน้นเรื่องการปราบปรามการทุจริตเป็นหลัก โดยเฉพาะถ้าเป็นคดีสำคัญที่อยู่ในความสนใจของประชาชนจะมีการตั้งคณะอนุกรรมการชุดพิเศษที่ประกอบไปด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้นๆมาดูแลโดยเฉพาะ แทนที่จะใช้คณะทำงานชุดปกติเป็นผู้ดำเนินการ เช่น กรณีการทุจริตการจัดซื้อเครื่องซีทีเอ็กซ์ อาจจะมีการตั้งคณะอนุกรรมการชุดพิเศษมาช่วยทำงาน

โดยดึงผู้พิพากษาอาวุโส อัยการอาวุโส และผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ๆ มาทำงานโดยเฉพาะ แต่คงต้องรอการรายงานจากเลขาธิการ ป.ป.ช. ในวันที่ 25 ก.ย. ก่อนว่าจะมีคดีใดบ้างที่อยู่ในข่ายต้องเร่งพิจารณาเป็นพิเศษ หรือตั้งคณะอนุกรรมการที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิโดยเฉพาะขึ้นมาดูแล ซึ่งในวันดังกล่าวคงได้ข้อสรุปเรื่องนี้ออกมา

แนะกัน ขรก.ชั้นผู้น้อยเป็นพยาน

นายวิชากล่าวว่า เรื่องการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็เป็นอีกเรื่องที่ ป.ป.ช.ต้องเร่งดำเนินการ เพราะขณะนี้ยังมีบัญชีทรัพย์สินฯ ที่ยังไม่ได้ตรวจสอบอีกจำนวนมาก หากตรวจสอบแล้วอาจได้เบาะแสการทุจริต จึงต้องเร่งตรวจสอบควบคู่ไปกับคดีที่ค้างการพิจารณากว่า 10,000 คดี ซึ่งต้องมาจัดลำดับความสำคัญ ขณะเดียวกันยังเห็นด้วยกับข้อเสนอของนักวิชาการ ที่ควรปรับการทำงานของ ป.ป.ช.

ให้ตรวจสอบเฉพาะนักการเมืองและข้าราชการระดับสูง หากเป็นข้าราชการระดับ 8 ลงไป ควรให้หน่วยงานต้นสังกัดเป็นผู้ดำเนินการ เข้าใจว่าอาจต้องแก้กฎหมาย ต้องหารือรายละเอียดกับกรรมการ ป.ป.ช.คนอื่นๆต่อไป ส่วนการหาเบาะแสเพื่อดำเนินการกับตัวการใหญ่ในการทุจริตนั้น หากได้ข้อมูลที่ดีจากข้าราชการชั้นผู้น้อยมาเป็นพยานก็ไม่ควรไปเล่นงานก่อน เพราะจะไม่มีใครกล้าเป็นพยาน อาจจะต้องมีการแก้ไขโดยใช้วิธีกันข้าราชการชั้นผู้น้อยไว้เป็นพยาน เพื่อจัดการกับนักการเมืองและข้าราชการระดับสูง รวมถึงอาจจะต้องมีการตั้งตู้ ปณ.ขึ้นมา เพื่อรับเรื่องเบาะแสการทุจริตจากประชาชนด้วย

ประสาท ยอมรับสนิท ส.ส.นครปฐม

นายประสาท พงษ์ศิวาภัย กรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหม่ กล่าวถึงการถูกกล่าวหามีความสนิทสนมกับพรรคการเมืองว่า ในฐานะที่เป็น ผวจ.นครปฐม ยอมรับว่ามีความสนิทสนมกับนักการเมืองจริง ทั้งตระกูลสะสมทรัพย์ และปทุมารักษ์ รวมถึงนักการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์และพรรคชาติไทยด้วย เพราะการเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดจะต้องรู้จักและสนิทสนมกับนักการเมืองเป็นเรื่องปกติ ถ้าไม่ สนิทก็ทำงานไม่ได้ ผวจ.กับนักการเมืองต้องทำงานสัมพันธ์กันตลอด

ผวจ.ใดที่ไม่สนิทกับพรรคการเมือง ถือว่าเป็น ผวจ.ที่โง่ที่สุด แต่การรู้จักกับนักการเมืองไม่ได้หมายความว่า จะยอมในเรื่องผิดๆชั่วๆเสมอไป แค่ทำหน้าที่ประสานกับนักการเมืองในเรื่องที่ทำประโยชน์ ให้กับพื้นที่เท่านั้น ไม่เคยช่วยนักการเมืองในเรื่องทุจริตเลย การอ้างว่าสนิทกับนักการเมือง จึงไม่เหมาะสมกับการเป็น ป.ป.ช. นั้น มันไม่ยุติธรรม อยากขอความเป็นธรรมด้วย ขอให้ตรวจสอบกับคนนครปฐมได้เลยว่า การทำงานที่ผ่านมาไม่เคยทุจริต ขอให้ดูพฤติการณ์ในการทำงานเป็นเครื่องตัดสินดีกว่า

หนุนคนมีกึ๋นเป็นอนุกรรมการ ป.ป.ช.

นายประสาทกล่าวว่า ส่วนตัวเห็นด้วยกับข้อเสนอนักวิชาการที่จะให้ ป.ป.ช.เข้ามาดูแลการทุจริตของข้าราชการระดับสูงและนักการเมือง รวมถึงคดีมีมูลค่าความเสียหายมากๆเท่านั้น หากให้ ป.ป.ช.ไปดูแลคดีการทุจริตเล็กน้อยด้วย จะเป็นการเพิ่มภาระให้ ป.ป.ช. เปล่าๆ คดีทุจริตเล็กน้อยควรให้หน่วยงานต้นสังกัดเป็นผู้ดูแลดีกว่า รวมถึงการตั้งคณะอนุกรรมการ ป.ป.ช.ก็ควรตั้งผู้ที่มีกึ๋น มีเวลาทำงานให้ ป.ป.ช.จริง ไม่ใช่ตั้งคนที่ไม่มีเวลาทำงานมาเป็น เพราะคณะอนุกรรมการ ป.ป.ช. ถือว่ามีความสำคัญมากที่จะต้องหาข้อมูลเบื้องต้นมาให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เพราะที่ผ่านมามีข่าวว่าหลายคนอยากวิ่งเต้นมาเป็นคณะอนุกรรมการ ป.ป.ช.ทั้งที่ไม่มีกึ๋น และไม่เคยมาร่วมประชุมเลย

หวั่นผู้เกี่ยวข้องคดีคลองด่านลอยนวล


นายศราวุธ เมนะเศวต เลขาธิการ ป.ป.ช. กล่าวว่า ในเบื้องต้นวันที่ 25 ก.ย. ทางสำนักงาน ป.ป.ช.ได้เตรียมข้อมูลเรื่องระเบียบและข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับ ป.ป.ช. เพื่อชี้แจงให้ ป.ป.ช.ชุดใหม่ทั้ง 9 คน ได้ทราบ รวมถึงได้เตรียมข้อมูลด้านคดีต่างๆ ที่ค้างอยู่ใน ป.ป.ช. ประมาณ 11,000 เรื่อง หากกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหม่ต้องการทราบข้อมูล โดยแบ่งประเภทคดีออกเป็น 1. คดีที่ใกล้ หมดอายุความ แม้มีอยู่จำนวนไม่มาก

แต่มีเรื่องสำคัญคือคดีการทุจริตโครงการบ่อบำบัดน้ำเสีย จ.สมุทรปราการ ซึ่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองจะหมดอายุความในสิ้นปีนี้ จึงต้องเร่งรายงานให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหม่ทราบ 2. คดีนักการเมืองที่อยู่ในความสนใจของประ-ชาชน เช่น คดีค่าโง่ทางด่วน คดีทุจริตปุ๋ยปลอม คดีทุจริตลำไยอบแห้ง 3. คดีการทุจริตของข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐทั่วไป 4. คดีที่ตรวจสอบเบื้องต้นแล้วพบว่า ไม่อยู่ในอำนาจการตรวจสอบของ ป.ป.ช.

เตรียมเปิด 200 บัญชีนักการเมือง

นายศราวุธกล่าวว่า นอกจากนี้ เรื่องที่จะรายงานให้ ป.ป.ช.ชุดใหม่ทราบอีกเรื่อง คือการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใน รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่มีบัญชีทรัพย์สินฯที่รอเปิดเผยให้สาธารณชนรับทราบถึง 200 กว่าบัญชี นับตั้งแต่ เดือนตุลาคม 2547 เป็นต้นมา เนื่องจากในช่วงดังกล่าว กรรมการ ป.ป.ช.ถูกพักงาน ทำให้ไม่สามารถเปิดเผยบัญชี ทรัพย์สินฯได้ ดังนั้น เมื่อมีกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหม่แล้วจึงต้องเร่งเสนอให้พิจารณา เพื่อเปิดเผยต่อสาธารณชนต่อไป

จ้องยึดทรัพย์แก๊งงาบซีทีเอ็กซ์

สำหรับความคืบหน้าในการตรวจสอบการทุจริตโครงการต่างๆ ตามที่ คปค.ได้ประกาศเป็นเหตุผลสำคัญ ในการยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมานั้น ล่าสุดได้ มีการเตรียมที่จะดำเนินการตรวจสอบทรัพย์สิน เพื่อที่จะนำไปสู่การยึดทรัพย์บุคคลที่เกี่ยวกับการทุจริตโครงการซีทีเอ็กซ์เป็นกลุ่มแรก โดยมีรายงานว่า คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการ สตง. ได้ส่งรายงานสรุปผลการตรวจสอบการทุจริตในโครงการทุจริตซีทีเอ็กซ์ 9000 ซึ่งตรวจพบความผิดใน 6 ประเด็น โดยมีบุคคลที่เกี่ยวข้องที่จะต้องถูกตรวจสอบ

และดำเนินคดีตามกฎหมายรวม 7 คน มีทั้งข้าราชการประจำ อดีตรัฐมนตรี และนักการเมือง ที่มีส่วนพัวพันในการดำเนินการโครงการดังกล่าว โดยจะมี 4 ใน 7 คนนี้ที่คาดว่าจะเข้าข่ายกระทำความผิด ถึงขนาดต้องโทษจำคุกและต้องถูกดำเนินการยึดทรัพย์ต่อไป ทั้งนี้ ทางคุณหญิงจารุวรรณจะส่งเรื่องไปยัง ป.ป.ช. เพื่อพิจารณาไต่สวนในสัปดาห์นี้ทันที

พร้อมให้ข้อมูลสอบทุจริตซีทีเอ็กซ์

นายสมชัย สวัสดิผล ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กล่าวว่า สำหรับกรณีที่มีข่าวว่าในสัปดาห์หน้า ป.ป.ช.จะเริ่มดำเนินการสอบสวนคดีที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของนักการเมือง โดยเฉพาะคดีการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ 9000 นั้น ในฐานะผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พร้อมเข้าชี้แจงในทุกประเด็นต่อ ป.ป.ช.หรือหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสอบสวน โดยยืนยันให้ทราบว่าที่ผ่านมาการจัดซื้อได้เป็นไปตามขั้นตอน และเจ้าหน้าที่ของ ทอท.ก็อยู่ในฐานะผู้ปฏิบัติงาน พร้อมเชื่อว่าจะไม่ถูกนำไปเกี่ยวข้องกับปัญหาทางด้านการเมือง

สธ หาตัวเลขาธิการ อย.คนใหม่

ทางด้านกระทรวงสาธารณสุข ที่จะต้องมีการพิจารณาแต่งตั้งบุคคลขึ้นมานั่งในตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แทน นายภักดี โพธิศิริ ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหนึ่งในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นั้น นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า รู้สึกยินดีเพราะนายภักดีเป็นบุคคลที่มีคุณค่าเหมาะสมกับตำแหน่งนี้ ส่วนผู้ที่จะมาเป็นเลขาธิการ อย.

แทนนั้นจะต้องดูจากตำแหน่งที่เป็นไปได้ ทั้งรองปลัดกระทรวงและผู้ตรวจราชการ ในวันที่ 30 ก.ย.นี้ จะประชุมพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการประจำตามวาระปกติ ก็จะถือโอกาสนี้พิจารณาถึงความเหมาะสมเสนอชื่อบุคคลขึ้นมาดำรงตำแหน่งเลขาธิการ อย.คนใหม่เลย โดยจะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ ทำงานใกล้ชิดกับประชาชน เข้าใจปัญหาในด้านอาหารและยาดีพอสมควร

ลือ เอกชัย คัมแบ็กเลขาฯ กกต.

สำหรับความเคลื่อนไหวของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง หลังจากที่ คปค.ได้ประกาศให้ 5 ว่าที่ กกต. กลับเข้าปฏิบัติหน้าที่กรรมการการเลือกตั้ง เพื่อจัดการเลือกตั้งท้องถิ่น โดยให้นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ทำหน้าที่ประธาน กกต.นั้น ปรากฏว่ามีกระแสข่าวแพร่สะพัด กกต. และมีการพูดคุยกันระหว่างบรรดาพนักงาน กกต.ว่า ขณะนี้ พล.ต.ต.เอกชัย วารุณประภา อดีตเลขาธิการ กกต. ที่ได้ยื่นใบลาออกไปเมื่อวันที่ 17 ส.ค.ที่ผ่านมานั้น

มีความพยายามจะขอกลับมานั่งตำแหน่งเหมือนเดิม โดยเห็นว่าขณะที่ยื่นใบลาออกนั้น ไม่มีประธาน กกต.ปฏิบัติหน้าที่ นอกจากนี้ ยังมีการระบุด้วยว่า พล.ต.ต.เอกชัยได้ไปรายงานตัวต่อ คปค.แล้ว รวมทั้งมีข่าวว่าอดีตนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่สนิทสนมกับ พล.ต.ต.เอกชัย ได้ต่อสายไปยังนายทหารในคณะปฏิรูปฯ เพื่อขอให้ พล.ต.ต. เอกชัยกลับตำแหน่งเดิม เพราะสามารถช่วยงาน กกต.ชุดใหม่ได้ เนื่องจากมีความสนิทสนมกับประธาน กกต. ขณะเดียวกับฝ่ายบุคคลของสำนักงาน ก็แทงเรื่องมายังรักษาการเลขาธิการ กกต.แล้วว่า พล.ต.ต.เอกชัยได้พ้นสภาพไปตั้งแต่วันที่ 21 ก.ย.ที่ผ่านมา

เอกชัย อ้างขึ้นอยู่กับประธาน กกต.


พล.ต.ต.เอกชัยกล่าวว่า ไม่มีอะไร ยื่นไปแล้วก็ยื่นไปเลย ผมไม่มีความพยายามที่จะมาขออยู่ นอกจากท่านจะให้ผมทำอะไร ทั้งนี้เปิดทางให้กรรมการพิจารณาเต็มที่ ส่วนระเบียบที่ว่าครบ 30 วันแล้วประธาน กกต.ยังไม่อนุมัติแล้วต้องพ้นไปโดยปริยาย ระเบียบนี้ของ ก.พ. มันคงเอามาเทียบกันไม่ได้ ต้องรอประธาน กกต.ตัดสินใจเพียงอย่างเดียว ส่วนที่ต้องไปพบคณะปฏิรูปฯ ตอนนั้นยังถือว่าผมยังลาพักอยู่ ดังนั้นก็ต้องไป ไม่ไปก็ถือว่าขัดคำสั่ง

สดศรี ระบุระเบียบ กกต.มีปัญหา

นางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง กล่าวถึงกระแสข่าวที่ พล.ต.ต.เอกชัยจะขอกลับเข้ามาเป็นตำแหน่งเลขาธิการ กกต. ว่า ยืนยันว่ายังไม่ทราบข่าวนี้ และไม่มีการนำเรื่องนี้เข้าหารือในที่ประชุม ในที่ประชุม กกต. เพียงแต่พูดกันถึงงานที่ พล.ต.ต.เอกชัยทำค้างไว้ อยากให้ท่านกลับมาเคลียร์ให้เสร็จเรียบร้อย และสาเหตุที่ต้องเลื่อนการพิจารณา เรื่องการลาออกของ พล.ต.ต. เอกชัยนั้น ก็เพราะต้องการศึกษาระเบียบและข้อบังคับของสำนักงาน กกต. ให้กระจ่างเสียก่อนที่จะพิจารณาว่าเป็นอย่างไร

จึงยังไม่อนุมัติ เพราะตามที่รองเลขาธิการ กกต.รายงาน โดยอ้างว่าช่วงระยะเวลาที่ พล.ต.ต.เอกชัยลาออก เป็นช่วงที่ยังไม่มี กกต.ปฏิบัติหน้าที่นั้น เกินกว่า 30 วัน ซึ่งตามระเบียบแล้วก็ถือว่ามีผล และให้ถือว่า กกต.ไม่จำเป็นต้องสั่งการหรืออนุมัติ เท่าที่เคยทำงานมา ไม่เคยเห็นระเบียบลักษณะนี้

ให้กลับมาเพื่อเคลียร์งานที่คั่งค้าง

มันแปลก ที่เมื่ออยากลาออกก็ลาออกได้ แล้วก็ลาพักร้อนไปแล้วจะมีผลทางกฎหมายเลย ระเบียบแบบนี้ไม่เคยเห็น อีกทั้งก็ยังไม่มีการส่งมอบหมายให้ใครดำเนินการต่อ งานที่ทำค้างอยู่จะให้ผู้ใต้บังคับบัญชาหรือลูกน้องเคลียร์ให้ก็ไม่ถูกต้อง ดังนั้น จึงอยากศึกษากฎหมายให้แน่ชัดก่อน รวมทั้งงานที่คั่งค้างจะให้ใครรับผิดชอบ คิดว่าเรื่องกลับมาคงไม่มีหรอก ท่านก็ไม่ประสงค์จะเข้ามา ไม่อย่างนั้นคงไม่ลาออกไป ทราบจากรองเลขาธิการ กกต. ว่า

พล.ต.ต.เอกชัยไปรายงานตัวกับคณะปฏิรูปฯ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ก็แสดงว่าท่านยอมรับว่ายังเป็นเลขาธิการ กกต.อยู่ จึงต้องไปรายงานตัว แต่กลับไม่มารายงานตัวกับผู้บังคับบัญชา ดังนั้น ก็ขอให้กลับเข้ามาทำงานที่ทำไว้เสียให้เสร็จก่อน เพราะต่างก็ต้องรับผิดชอบกับงานในส่วนของตัวเองทั้งนั้น เพราะจนถึงป่านนี้ ผู้บังคับ บัญชายังไม่มีใครได้เคยเห็นหน้าท่านเลย นางสดศรีกล่าวและว่า สำหรับตำแหน่งเลขาธิการ กกต. คาดว่าจะได้ข้อยุติในสัปดาห์หน้า

สกอ.ขอเป็นกระทรวงการอุดมศึกษา

ที่สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) นายภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) ได้เชิญอธิการบดีมหาวิทยาลัยรัฐและเอกชนทั่วประเทศมาประชุม เพื่อหารือถึงการแยก สกอ.ออกจากกระทรวงศึกษาธิการ จัดตั้งเป็นกระทรวงการอุดมศึกษา โดยมีอธิการบดีและผู้แทนจากมหาวิทยาลัยต่างๆ 20 แห่ง เข้าร่วมประชุม ภายหลังการหารือกว่า 2 ชั่วโมง นายภาวิช กล่าวว่า ตามที่ คปค.มีแนวคิดที่จะพิจารณาระบบราชการ

ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ที่ประชุมจึงเห็นว่าเป็นโอกาสดีที่จะเสนอให้แยก สกอ.ตั้งขึ้นเป็นกระทรวงการอุดมศึกษาและการวิจัย เพราะหลังยุบทบวงมหาวิทยาลัยไปอยู่กับกระทรวงศึกษาธิการ ทำให้ประสิทธิภาพการบริหารงานใน 3 ปีที่ผ่านมาลดลง มีปัญหาในการบริหารงานค่อนข้างมาก และไม่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายในด้านบวก

อ้างประเทศสูญเสียโอกาสมานาน

นายภาวิชกล่าวอีกว่า ที่ประชุมเห็นชอบที่จะเสนอ คปค.ให้ออกเป็นประกาศคณะปฏิรูปการปกครองฯ เหมือน กับการออกประกาศคณะปฏิวัติจัดตั้งทบวงมหาวิทยาลัย ในปี 2515 จะเร่งนำเสนอในทันที หาก คปค.เห็นด้วยก็ สามารถดำเนินการได้หลายรูปแบบ โดยอาจออกเป็นประกาศ คณะปฏิรูปฯ หรือรับในหลักการเสนอต่อสภานิติบัญญัติชั่วคราว แต่ถ้าหลุดไปก็คงเป็นเรื่องของรัฐบาลในอนาคต

ส่วนที่มองว่าการออกเป็นประกาศคณะปฏิรูปฯ เหมือนกับรีบร้อนดำเนินการนั้น ที่ผ่านมาประเทศเสียโอกาสมานาน และระบบอุดมศึกษามีการชะลอตัวค่อนข้างมาก หลายอย่าง แก้ปัญหาไม่ได้ ถ้าแยกกระทรวงอุดมศึกษาออกมาเชื่อว่า จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติมากกว่าอยู่ในกระทรวงใหญ่ ผลประโยชน์ที่ประเทศชาติจะได้รับคือการสร้างทุน ความรู้ให้สังคม โดยสะท้อนผ่านงานวิจัยและการพัฒนาทุนมนุษย์ที่มีศักยภาพสูง โดยมีความชัดเจนในการผลิตกำลังคนสาขาต่างๆ

เป็นมติของประชาคมอุดมศึกษา


ต่อข้อถามว่า การเสนอแยกกระทรวงการอุดมศึกษาฯ ได้มีการหารือกับผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการหรือไม่ นายภาวิชตอบว่า ได้หารือแล้ว ซึ่งมีทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย โดยผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการระบุว่า หาก ทางอุดมศึกษาจะเคลื่อนไหวอย่างไรก็ไม่ขัดข้อง สำหรับในส่วนของอธิการบดีที่ไม่มาร่วมประชุมนั้น จะมีการแจ้ง ให้ทราบต่อไป แต่เรื่องดังกล่าวถือเป็นมติของประชาคมอุดมศึกษาแล้ว

นายจีระเดช อู่สวัสดิ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า การแยกกระทรวงอุดมศึกษาและการ วิจัยนั้น ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ได้มี การศึกษาและหารือร่วมกันมาระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งหากจะรอให้เสนอขอแยกกระทรวงใหม่ ตามกระบวนการปกติต้อง ใช้เวลาในพิจารณานานเป็นปี จะไม่ทันต่อการพัฒนาประเทศ ในยุคโลกาภิวัตน์ ที่กระแสโลกมีการพัฒนาความรู้ไปอย่าง รวดเร็ว แต่หาก คปค.สามารถออกเป็นประกาศได้เลย จะทำให้การอุดมศึกษาสามารถเคลื่อนตัวได้อย่างรวดเร็ว

จี้ คปค.เร่งรื้อนโยบายรัฐบาลเก่า

ที่สำนักงานคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ซอยรามคำแหง 53 นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาครป. นายพิภพ ธงชัย ที่ปรึกษา ครป. นายสุวิทย์ วัดหนูและนายนิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์ กรรมการ ครป. ร่วมแถลงท่าทีต่อการยึดอำนาจของคณะปฏิรูปฯ โดยนายสุริยะใสกล่าวว่า ครป.ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหารและการฉีกรัฐธรรมนูญ ขอเสนอภารกิจเร่งด่วนให้คณะปฏิรูปฯ เร่งพิสูจน์ว่า ไม่ได้เข้ามายึดอำนาจเพื่อเป็นผู้ถืออำนาจใหม่ หรือสืบทอดอำนาจเหมือนการรัฐประหารครั้งที่ผ่านๆมา

พร้อมขอให้เร่งอายัดทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อไม่ให้มีการเคลื่อนย้ายหลบหนีการตรวจสอบ ก่อนที่จะใช้อำนาจกระบวนการยุติธรรมพิสูจน์ทรัพย์ว่า ได้มาโดยชอบหรือไม่ สำหรับนายกฯคนใหม่ที่จะเข้ามาควรเป็นผู้ที่มองภาพรวมและเข้าใจความขัดแย้งในมิติต่างๆ ไม่เพียงแค่เชี่ยวชาญเพียงด้านใดด้านหนึ่ง พร้อมกันนี้ ภารกิจของรัฐบาลใหม่ควรยกเลิกนโยบายอดีตรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณที่สร้างปัญหาและไม่โปร่งใส เช่น เอฟทีเอ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ หรือโครงการเมกะโปรเจกต์ เป็นต้น

ระวังรัฐประหารซ้อนโดยพลเรือน

เลขา ครป.กล่าวด้วยว่า คณะปฏิรูปฯควรนำรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2540 มาเป็นกรอบแนวทางการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ โดยดึงภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม และใช้เวลาร่างรัฐธรรมนูญไม่เกิน 8 เดือน เร่งคืนอำนาจให้ประชาชนตามที่สัญญา เพราะการที่ประชาชนส่วนหนึ่งสนับสนุนรัฐประหารครั้งนี้ ไม่ใช่จะเป็นความชอบธรรมที่คณะปฏิรูปฯ สืบทอดอำนาจในระยะยาว สิ่งที่ควรระวังคือการฉวยอำนาจ สร้างอำนาจ หรือระบอบที่แปลกปลอมชุดใหม่ แทนที่ระบอบทักษิณโดยเฉพาะกลุ่มพลเรือน ที่คณะปฏิรูปฯ มอบหมายอำนาจให้นั้น

จะต้องตรวจสอบผลงานและพฤติกรรมอย่างรอบคอบ เพื่อไม่ให้ผู้ไม่หวังดีฉวยโอกาสสร้างเครือข่ายยึดอำนาจเงียบจากคณะปฏิรูปฯ หรือเป็นการรัฐประหารซ้อนโดยพลเรือน จนทำให้บิดเบือนเจตนารมณ์ของคณะปฏิรูปฯ ทั้งยังควรจับตาการโต้กลับจากระบอบทักษิณ ป้องกันสงครามการเงิน เช่นการโจมตีตลาดหุ้น และไม่ควรออกประกาศลิดรอนเสรีภาพของประชาชนมากกว่านี้

ทวงสัญญาคืนอำนาจใน 2 สัปดาห์

ส่วนการที่คณะปฏิรูปฯได้ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ว่า ทหารจะกลับเข้ากรมกองหลังการยึดอำนาจใน 2 สัปดาห์ นายสุริยะใสกล่าวว่า ครป.จะจับตาคำสัญญาในข้อนี้ ซึ่งในวันที่ 1 ต.ค. จะถือว่าครบกำหนดที่คณะปฏิรูปฯให้ไว้ หากทหารยังไม่กลับเข้ากรมกอง ครป.ก็จะหารือกับเครือข่ายทั่วประเทศ เพื่อกำหนดท่าทีในการเรียกร้องประชาธิปไตยต่อคณะปฏิรูปฯอีกครั้ง พร้อมยืนยันว่าจะใช้สิทธิ์ของการเป็นพลเมืองในการตรวจสอบอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งนี้ พาสังคมไทยเดินไปข้างหน้า อย่างไรก็ตาม ยังต้องให้โอกาสคณะปฏิรูปฯ พิสูจน์ตัวเอง และอยากให้นึกถึงบทเรียนกรณีของ รสช.เมื่อปี 2535 ด้วย

นายพิภพ ธงชัย ที่ปรึกษา ครป.กล่าวว่า แนวทางการตรวจสอบระบอบทักษิณของทางคณะปฏิรูปฯนั้น มุ่งเน้นเฉพาะเรื่องการทุจริต แต่ยังขาดการตรวจสอบเรื่องการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรม และการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะที่เกิดขึ้นทางภาคใต้

อาจารย์ใจ ของขึ้นอัดคณะปฏิรูปฯ


นายใจ อึ๊งภากรณ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์จุฬาฯ ในนามเครือข่าย 19 กันยา ซึ่งคัดค้านการยึดอำนาจ กล่าวว่า การรัฐประหารเป็นสิ่งไม่ชอบธรรม ผิดกฎหมาย น่าเสียดายที่บ้านเรานิยมกฎหมู่ ผู้ที่รักประชาธิปไตยจึงควรร่วมกันเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ ส่วนการที่มีประชาชนออกมาแสดงออกในการสนับสนุนการรัฐประหาร ด้วยการถ่ายภาพร่วมกับรถถัง จนกลายเป็นความสนุกสนานบันเทิงใจนั้น มองว่าคณะปฏิรูปฯคงมีที่ปรึกษาที่เก่งด้านการโฆษณา ชวนเชื่อ

และขอให้ประชาชนดูว่าการเสนอข่าวของสื่อโทรทัศน์ ช่วงเวลาที่เสนอภาพและข่าวเกี่ยวกับผู้ที่สนับสนุนการรัฐประหาร กับการเสนอภาพข่าวของผู้ที่คัดค้านนั้นเท่าเทียมกันหรือเปล่า ในส่วนชาวต่างชาติที่ไม่มีสมอง ที่มีการจัดทัวร์เดินทางมาดูรถถังนั้น อยากบอกว่าคนเหล่านี้ไม่เข้าใจเรื่องของประชาธิปไตยกับเผด็จการ แต่ยังคงมีชาวต่างชาติอีกมากที่ซีเรียสกับเรื่องที่เกิดขึ้น ทั้งยังมีแถลงการณ์ประณามกันทั่วโลก นอกจากนั้นการห้ามองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นชุมนุมทางการเมือง เป็นการชี้ให้ เห็นว่ามีการลิดรอนสิทธิประชาชนในทุกด้าน ขอเรียกร้องให้รีบยกเลิกการประกาศอัยการศึกโดยเร็วที่สุด

สนธิ มาแปลกยุทหารอย่ารีบวางมือ

นายสนธิ ลิ้มทองกุล หนึ่งในแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ทำหนังสือเปิดผนึกถึง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะปฏิรูปฯ มีใจความสรุปว่า ตนและประชาชนผู้รักชาติต่อสู้กับระบอบทักษิณมาร่วมปี จนสิ้นเนื้อประดาตัว เดชะบุญที่รอดตายจากทีมสังหาร ต้องขอบคุณ พล.อ.สนธิที่ได้ยึดอำนาจสำเร็จ เท่ากับได้ช่วยชีวิตตนและคณะเอาไว้ ขอเตือนว่าขณะนี้มีคนบางคนกำลังปฏิบัติการอย่างแยบยล เพื่อเปิดประตูให้ ระบอบเผด็จการทรราชฟื้นคืนชีพ ดังนั้น อย่าหลงคารมที่ให้รีบวางมือจากอำนาจ แล้วให้รัฐบาลชั่วคราวเพื่อภาพพจน์ ต่อต่างชาติ เพราะปล่อยอำนาจเมื่อใด คนกลุ่มนี้ก็จะเข้าคุมอำนาจ ผ่านบางคนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีร่างทรงแล้วก็จะมีการปูทางให้เผด็จการทรราชฟื้นคืนมาอีก

สมเกียรติ เตือน คปค.อย่าหลงทาง

นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ นักวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา และแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า ในที่สุดการรัฐประหารครั้งที่ 19 ก็เกิดขึ้นในสังคมเปิดของโลกสมัย ใหม่จนได้ โดยกองทัพได้ทำหน้าที่อ้างอิงอำนาจ ตัวแทนเสมือน ว่า เป็นข้อเรียกร้องความต้องการของประชาชน เพื่อหาทางออกจากภาวะตีบตันทางการเมือง ดังจะเห็นได้จากให้เหตุผลการยึดอำนาจ พุ่งเข้าใส่เพียงฝ่ายเดียวคือรัฐระบอบทักษิณ

โดยละเว้นที่จะกล่าวถึงสภาพสังคม วิทยาชนบท ที่ถูกครอบงำด้วยระบบอุปถัมภ์ค้ำชูมาเฟีย ท้องถิ่น ข้าราชการฉ้อราษฎร์บังหลวง และระบบทุนบรรษัทขนาดใหญ่ ที่รุกคืบกลืนกินประเทศจวนเจียนจะสิ้นชาติอยู่แล้ว หากละเลยต่อสิ่งเหล่านี้การยึดอำนาจโดย คปค.ก็เป็นเพียงมายาทางการเมืองชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น การรัฐประหารครั้งนี้โพลสำนักต่างๆตรงกันคือ ประชาชนข้างมากต่างเห็นด้วย คือโพลมหาวิทยาลัยพบว่ากว่าร้อยละ 80 เห็นด้วย ไม่น่าเชื่อเลยว่าในชนบทกลับเห็นด้วย ในการโค่นล้มระบอบทักษิณสูงกว่าภาคเมือง

และโพลทหารโดยหน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ (นปอ.) พบว่ากลุ่มตัวอย่างที่สำรวจร้อยละ 91.83 เห็นด้วยกับการก่อรัฐประหารของ คปค. แต่โพลดังกล่าวน่าจะถามด้วยว่าหาก คปค.ไม่ทำการถอนรากถอนโคนระบอบทักษิณ และเอานักวิชาการซากเดนเผด็จการ ตั้งแต่ รสช. และระบอบทักษิณ 3-4 คนมาเป็นกลไกสำคัญ จะสามารถปฏิรูปการเมืองได้ตามมุ่งหวังหรือไม่ และการเมืองในอนาคตจะมีสภาพเช่นใด

ต้องเร่งปรับปรุง 10 องค์กรสำคัญ

นายสมเกียรติกล่าวอีกว่า ถ้าพิเคราะห์จากคำสัมภาษณ์ของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้า คปค. ที่ว่ามีเวลาคิดเตรียมการแค่สองวันแล้ว การรัฐประหารครั้งนี้น่าจะเกิดจากแรงผลักดันในบางส่วนของกองทัพ โดยอาศัยข้อเรียกร้องจากสังคม และผลที่จะตามมาก็คือไม่ลงตัวในการจัดสตาฟฟ์ เพื่อเดินหน้าปฏิรูป เช่น การไปลากเอานายมีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี สมัย พล.อ.สุจินดา คราประยูร นายวิษณุ เครืองาม อดีต รองนายกรัฐมนตรี และนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตเลขาธิการคณะรัฐมนตรีระบอบทักษิณ มาเป็นคลังสมองและกลไกสำคัญขับเคลื่อนทางกฎหมาย ประชาชนก็จะไม่ยอมรับมากขึ้น

นายสมเกียรติกล่าวต่อไปว่า การรัฐประหารในสังคมเปิดจะต้องให้กลไกต่างๆเดินหน้าไปได้โดยสะดวก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ป.ป.ช.ซึ่งระบอบทักษิณได้ทำลายจนพิการ พอกพูนคดีไว้นับหมื่นเรื่อง และกลไกตกค้างทางประวัติศาสตร์ ที่รับใช้ระบอบทักษิณอย่างสุดจิตสุดใจอีก 9 องค์กร คือศาลรัฐธรรมนูญ กกต. ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา กรมสอบสวนคดีพิเศษ ปปง. สตช., ก.ล.ต. กรมสรรพากรและผู้ว่าฯซีอีโอ โดย คปค.และ ป.ป.ช. ควรรีบเข้าไปชำระสะสางโดยเร่งด่วน

สมาคมสื่อฯเตือนเรื่องการใช้อำนาจ


วันเดียวกัน สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ได้ออกแถลงการณ์เรื่อง ข้อเสนอแนะในการฟื้นฟูประชาธิปไตย มีใจความว่าสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ในฐานะองค์กรวิชาชีพ จึงมีข้อเสนอแนะและข้อเรียกร้องต่อคณะปฏิรูปฯดังต่อไปนี้ ขอให้คณะปฏิรูปการปกครองฯเร่งคืนอำนาจให้กับประชาชนโดยเร็วที่สุด ธรรมนูญการปกครองชั่วคราวที่จะนำมาประกาศบังคับใช้ ต้องให้หลักประกันในเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชน

ไม่น้อยกว่าที่เคยถูกรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 แม้คณะปฏิรูปการปกครองฯจะมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่ไม่ควรจะใช้อำนาจนั้นโดยพลการ การใช้อำนาจใดๆควรคำนึงถึงกระบวนการที่มีอยู่ปรกติ โดยเฉพาะกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้การส่งผ่านอำนาจเป็นไปด้วยความราบรื่น คณะปฏิรูปการปกครองฯ ควรจะให้สนับสนุนการตั้งรัฐบาลชั่วคราวบริหารประเทศอย่างอิสระ ไม่มีอำนาจเหนือรัฐบาลชั่วคราว

นักศึกษาต้านอดีตคนระบอบทักษิณ

เวลา 10.20 น. มีนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยรังสิตจำนวน 4 คน นำโดยนายชาญชัย อวยบุ นายกสโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยรังสิต เข้ายื่นหนังสือข้อเสนอต่อคปค. แสดงความไม่เห็นด้วยกับ คปค. ที่แต่งตั้งให้ผู้ที่เคยมีผลประโยชน์กับรัฐบาลทักษิณเข้ามาทำงานด้านกฎหมาย เพราะจะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือ ขอให้ทบทวนการแต่งตั้ง ป.ป.ช. เนื่องจากบางคนมีประวัติที่ไม่เหมาะสม บุคคลที่เข้ามาร่วมร่างรัฐธรรมนูญ จะต้องใสสะอาด ขอให้ คปค.ตรวจสอบประวัติผู้ที่จะเข้าร่วมร่างรัฐธรรมนูญอย่างละเอียด และอย่าวางใจว่าระบอบทักษิณสลายไปแล้ว

ช่วงบ่ายนายศตวรรษ อินทรายุธ เลขาธิการศูนย์ ประสานงานนิสิตนักศึกษา (ศนศ.) มายื่นหนังสือถึงพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้า คปค. โดยเสนอให้เยาวชนเข้าไปมีส่วนร่วมในสภานิติบัญญัติเพื่อร่างรัฐธรรมนูญ และเสนอให้ คปค.ระวังในการจัดตั้งคณะทำงานด้านต่างๆ เพราะปัจจุบันประชาชน นิสิต นักศึกษา ไม่สบายใจที่มีคนที่เคยรับใช้ระบอบทักษิณเข้ามาร่วมในคณะทำงานต่างๆ เพราะอาจจะทำให้เกิดอันตรายกับประเทศชาติในอนาคตได้

สั่งปิดวิทยุชุมชนภาคเหนือทั้งหมด

พ.อ.บรรยงค์ สิรสุนทร หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ กองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อยในเขตพื้นที่กองทัพภาคที่ 3 เปิดเผยว่า หลังจากที่ทางกองทัพภาคที่ 3 มีคำสั่งให้สถานีวิทยุชุมชน ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ ระงับการออกอากาศชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 20 ก.ย. ที่ผ่านมา แม้ สถานีวิทยุชุมชนส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แต่เนื่องจากมีสถานีวิทยุชุมชนบางแห่ง เปิดให้มีการแสดงความคิดเห็นต่อต้านคณะปฏิรูปฯ อันเป็นการสร้างความแตกแยกไม่สร้างสรรค์ เพราะเวลานี้ชาติต้องมีความปรองดองและสามัคคี จึงต้องมีคำสั่งปิดสถานีวิทยุชุมชนภาคเหนือทั้งหมดกว่า 400 สถานีเป็นการชั่วคราว และจะเรียกประชาสัมพันธ์จังหวัดและผู้แทนวิทยุชุมชน 17 จังหวัดภาคเหนือมารับทราบแล้ว

คุมเข้มรักษาความสงบ จ.สุโขทัย

ที่ จ.สุโขทัย พล.ท.สพรั่ง กัลยาณมิตร แม่ทัพภาคที่ 3 ได้มอบหมายให้ พ.ท.เฉลิม สีเจริญ ผู้บังคับการหน่วยฝึกค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช จังหวัดพิษณุโลก นำกำลังทหารกว่า 50 นาย พร้อมอาวุธครบมือ มาดูแลความสงบเรียบร้อยในตัวเมืองสุโขทัย โดยได้กระจายกำลังออกเป็น 4 จุด คือ ที่บริเวณสี่แยกคลองโพธิ์ สี่แยกกระชงค์ สถานีวิทยุกองทัพภาค 3 และศูนย์บริการลูกค้าทีโอที สาขาสุโขทัย เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและสร้างความอุ่นใจให้กับประชาชนในพื้นที่ และเป็นที่น่าสังเกตว่า การเดินทางมาของกำลังทหารครั้งนี้ใช้รถยนต์ส่วนตัวทั้งสิ้น เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนเกิดความแตกตื่น ขณะเดียวกันทางด้านคณะนักศึกษาปริญญาโท รัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย รามคำแหง วิทยาเขตสุโขทัย ที่ส่วนใหญ่เป็นข้าราชการและนักการเมืองท้องถิ่น จำนวน 20 คน ได้เดินทางมามอบดอกกุหลาบและอาหาร-น้ำดื่มให้กับเหล่าทหารเพื่อเป็นกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ต่อไป

เมืองกาญจน์แจกใบปลิวต่อต้าน คปค.


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่ช่วงเช้ามืดของวันที่ 24 ก.ย. ได้มีมือมืดโปรยใบปลิวในตัวเมืองกาญจนบุรี เป็นแถลงการณ์ประณามการทำรัฐประหารของคณะปฏิรูปฯว่า การต้องอยู่ภายใต้อุ้งมือทหาร ไม่เป็นผลดีต่อประเทศ นอกจากนี้ ในใบปลิวระบุว่า การปฏิวัติครั้งนี้เพื่อเอาใจกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่นำโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุลและลิ่วล้อ เรียกร้องให้คนรักเมืองกาญจน์ออกมาต่อต้านระบบเผด็จการ ที่หน้าศาลากลางจังหวัดกาญจนบุรี

ในวันที่ 25 ก.ย.เวลา 10.00 น. โดยในใบปลิวดังกล่าวอ้างชื่อแกนนำประกอบด้วยอดีตนายทหารชั้นผู้ใหญ่ระดับพลโท นักการเมืองท้องถิ่น และตัวแทนสื่อมวลชนในจังหวัดกาญจนบุรี อย่างไรก็ตามภายหลังมีการโปรยใบปลิวโจมตีคณะปฏิรูปฯ ได้มีบุคคลที่มีรายชื่อในใบปลิวต่างทยอยมาลงประจำวันไว้กับ ร.ต.ท. ขวัญชัย ไทยปรีชา พนักงานสอบสวน สภ.อ.เมืองกาญจนบุรี เพื่อเป็นหลักฐานโดยยืนยันว่า ไม่เกี่ยวข้องกับการโปรยใบปลิวดังกล่าว นอกจากนี้ มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ได้มีการควบคุมตัวคนแจกใบปลิวปลุกระดมได้บางส่วน และนำไปสอบสวนขยายผลแล้ว

สื่ออเมริกาติงการปฏิวัติในไทย

สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานโดยอ้างคำกล่าวของผู้เชี่ยวชาญหลายคน ที่เห็นว่าเพราะผลประโยชน์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีอยู่มาก จนทำให้สหรัฐฯ ทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ต่อการปฏิวัติในไทย นายเดเร็ก มิตเชล อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงฝ่ายนโยบายเอเชียตะวันออก ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ปัจจุบันทำงานที่ศูนย์ยุทธศาสตร์และการศึกษานานาชาติ ระบุว่ารัฐบาลสหรัฐฯน่าจะคว่ำบาตร ทั้งทางการเมืองและทางทหาร จนกว่าจะมีการจัดการเลือกตั้งอย่างเสรีในไทย

นสพ.วอชิงตัน โพสต์ ระบุในบทบรรณาธิการว่า ไม่ควรจะมีรัฐบาลชุดใดได้รับการแต่งตั้งโดยทหารไทย และควรมีการระงับความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ-ไทย ไว้จนกว่าจะมีการเลือกตั้งที่เสรีและยุติธรรม ส่วน นสพ. นิวยอร์ก ไทม์รายงานระบุว่า ไม่มีการยึดอำนาจของทหารกลุ่มใด ที่จะทำให้ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นกว่าเดิมได้

มาเลย์รอรัฐบาลใหม่ก่อนเจรจา

นสพ.ซันเดย์ สตาร์ของมาเลเซีย รายงานโดยอ้างคำกล่าวนางราฟิดาห์ อาซิซ รมว.การค้ามาเลเซีย ที่ระบุว่ามาเลเซียจะรอจนกระทั่งประเทศไทยได้รัฐบาลชุดใหม่ จึงจะยกประเด็นขัดแย้งเรื่องพิกัดอัตราภาษีนำเข้ารถยนต์ระหว่างกันขึ้นมาหารืออีกครั้ง คงไม่สะดวกหากจะจัดเจรจาใดๆในช่วงนี้

สำนักข่าวเอพี รายงานโดยอ้างคำกล่าวนายปีเตอร์ คอสเทลโล รมว.การคลังออสเตรเลีย ระบุว่า การปฏิวัติในไทยส่งผลเสียหายต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะจะเป็นการทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ ดังนั้น การจัดการเลือกตั้งทั่วไปในไทยถ้ามีได้เร็วเท่าไหร่ ยิ่งดี เพราะแม้สถานการณ์จะไม่รุนแรง แต่ความไม่มี เสถียรภาพส่งผลเสียหายต่อการทำธุรกิจ

ยุงร้ายกว่าเสือทหารเริ่มป่วย

ที่บริเวณ กม. 29 อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ซึ่งเป็นฐานที่ตั้งกองทหารประจำการติดอาวุธของคณะปฏิรูปฯ โดยมีประชาชนจูงลูกหลานไปถ่ายรูปคู่กับรถถังและทหารเป็นจำนวนมาก ทำให้การจราจรติดขัดเล็กน้อย อย่างไร ก็ตาม ช่วงเวลาประมาณ 11.00 น. มีคณะแพทย์จากกรมการทหารบก นำรถตู้ของมูลนิธิโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า มาแจกจ่ายเครื่องบรรจุภัณฑ์ประเภทยาแก้ไข้ ยากันยุง ยาแก้ท้องเสีย ยาทาแก้เชื้อรา ทหารนายหนึ่งบอกว่าเริ่มมีอาการเจ็บป่วยเป็นไข้หวัด เพราะอากาศที่ร้อนอบอ้าวและมีฝนตกบ่อย นอกจากนี้ ยังมีอาการคันตามง่ามมือ ง่ามเท้าและในร่มผ้า ที่สำคัญยุงต้องขอบอกว่าร้ายกว่าเสือ ชุมยังกับหนอน ทำให้ไม่ได้หลับนอนไปตามๆกัน แม้จะจุดยากันยุงหรือใช้ยาทากันยุงแล้วก็ยังเอาไม่อยู่

ประชาชนแห่ถ่ายรูปจนเป็นลม


บรรยากาศหน้าวัดเบญจมบพิตร ซึ่งเป็นอีกจุดหนึ่งที่ประชาชนให้ความสนใจพาลูกหลานไปเที่ยวเพื่อดูทหารและรถถัง ปรากฏว่าตั้งแต่เช้าหน้าวัดเต็มไปด้วยผู้คนหลายร้อยคนที่วนเวียนเข้ามาจนพ่อค้าแม่ค้าต่างนำสินค้าประเภทของเล่นเช่นลูกโป่งสวรรค์ รถเด็กเล่น ร้านขายฟิล์ม ร้านถ่ายรูปที่ระลึก รวมทั้งน้ำและอาหารเต็มถนนทางเข้าหน้าวัดรวมถึงกำแพงด้านข้างของวัดจดกำแพงของกองทัพภาคที่ 1 ส่วนทหารต้องละมือจากการถือปืนมาคอยเป็นคนอุ้มเด็กเล็กๆขึ้นเพื่อให้ผู้ปกครองถ่ายรูปเป็นที่ระลึก

จนทหารบางนายมีอาการเหนื่อยและอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด บางครั้งต้องแอบควักยาดมที่ประชาชนนำมาให้ขึ้นมาดมกันเป็นลม ส่วนบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้านัดนี้ทางคณะปฏิรูปฯ ได้ถอนกำลังทหารติดอาวุธและขบวนรถถังทั้งหมดออกจากลานพระบรมรูปทรงม้าเป็นการชั่วคราว เนื่องจากมีขบวนเสด็จ โดยจะเข้าประจำการอีกครั้งหลังจากขบวนเสด็จนั้นผ่านไปเรียบร้อยแล้ว จึงเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้หน้าวัดเบญจฯเต็มไปด้วยผู้คน

คนหัวใสรับถ่ายโปสต์การ์ดระลึก

นายสุวิทย์ อาชญาชัย พ่อค้าหัวใสที่นำกล้องถ่ายรูปที่ทันสมัย สามารถอัดรูปเป็นโปสต์การ์ดได้ทันที มาบริการลูกค้าในราคาใบละ 30 บาท บอกว่า เห็นว่าประชาชนที่มาเที่ยวชมน้อยคนที่จะพกกล้องติดมา จึงได้นำกล้องดังกล่าวมาเปิดให้ใช้บริการ ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง เพียงไม่ถึง 1 ชั่วโมง มีคนใช้บริการไปแล้วถึง 60 ราย และทุกคนก็ค่อนข้างดีใจที่ได้รูปถ่ายดังกล่าวเป็นที่ระลึก บางคนขออัดเพิ่มถึงสองสามรูปก็มี

นายอากวง แซ่กง ชาวเชียงราย อาชีพรับจ้างทั่วไปวัย 27 ปี กล่าวว่า มาเที่ยวดูทหารและรถถัง เพราะไม่เคยเห็นมาก่อน เมื่อเห็นแล้วก็รู้สึกอยากมีรูปเก็บไว้ดู จึงใช้ บริการของนายสุวิทย์ถึงสองรูป แม้ว่าจะค่อนข้างราคาสูง แต่ก็คิดว่าคุ้ม มันเป็นครั้งหนึ่งในชีวิต

ตั้ง กก.ตรวจสอบทรัพย์สิน ครม. ทักษิณ

ล่าสุดเมื่อเวลา 23.20 น. คปค.ได้ออกประกาศฉบับที่ 23 เรื่องการตรวจสอบทรัพย์สิน เนื่องด้วยปรากฏว่า การบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่ง โดยผลของการปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์สำหรับตนและผู้อื่น ทำให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศอย่างร้ายแรง

จึงสมควรดำเนินการตรวจสอบการดำเนินงานและโครงการต่างๆที่ได้รับอนุมัติ หรือเห็นชอบโดยบุคคลในคณะรัฐมนตรี หรือคณะรัฐมนตรีดังกล่าวว่าเป็นไปโดยสุจริตหรือไม่ คณะปฏิรูปการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จึงมีประกาศให้มีคณะกรรมการตรวจสอบคณะหนึ่ง ประกอบด้วยนายสวัสดิ์ โชติพานิช เป็นประธานคณะกรรมการ

มีกรรมการประกอบด้วยผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน อัยการสูงสุด เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เป็นต้น ทำการตรวจสอบโครงการที่ได้รับอนุมัติจากรัฐบาลที่แล้ว และหากพบการทุจริต หรือการร่ำรวยผิดปกติ สามารถทำการยึดทรัพย์ ได้ทันที โดยให้มีระยะเวลาทำงาน 1 ปี


แหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์