พล.อ.เปรมปลูกจิตสำนึกนร.จปร. เป็นทหารของชาติ ทหารของพระเจ้าอยู่หัว

มติชน

หมายเหตุ : เป็นคำบรรยายพิเศษส่วนหนึ่งของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่ให้กับนักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (นร.จปร.) ชั้นปีที่ 1-4 จำนวน 950 นาย ที่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า จังหวัดนครนายก เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม

ร.ร.จปร. เป็นสถาบันหนึ่งที่ผมไม่มีวันลืมว่ามีบุญคุณแก่ผม และทำให้ผมเป็นผมจนมาถึงทุกวันนี้ ร.ร.จปร.ได้ให้อนาคตที่ดีกับผม สอนให้ผมรู้จักความรู้รัก สามัคคี สอนให้รู้จักคำว่าเพื่อนตาย ที่เราจะตายรวมกันทั้งในยามปกติ และในยามสงคราม หรือยามฉุกเฉิน สอนให้รู้จักว่าเกิดมาต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน

ถ้ามองกลับไปในอดีตจะพบว่า กองทัพบกได้รับความเชื่อถือศรัทธาจากประชาชนมาตลอดเวลา เป็นที่พึ่งของประชาชนมาโดยตลอด กองทัพบกมาจากไหน ส่วนหนึ่งก็คือมาจาก ร.ร.จปร.ของเรา ที่เติบโตออกไปเป็นนายทหาร ทำหน้าที่ต่างๆ ให้กับชาติบ้านเมือง แม้แต่ในทางการเมืองก็ได้ไปทำ ฉะนั้นเป็นหน้าที่ของกองทัพบกที่จะต้องทำต่อไป กองทัพบกจะทำต่อไปได้ก็โดยที่มีสายเลือดใหม่ๆ อย่างพวกคุณทั้งหลายเติบโตขึ้นไปไปดูแลกองทัพบก ทำกองทัพบกให้เป็นที่พึ่งพาของชาติบ้านเมืองให้เป็นเสาหลักในการรักษาอธิปไตย และความมั่นคงของชาติของเราให้ได้

วันนี้จะมาพูดเรื่องวิทยาการสมัยใหม่ก็รู้น้อยมาก เพราะอายุมากโบราณแล้ว เดี๋ยวนี้มีสิ่งเปลี่ยนแปลงวิทยาการสมัยใหม่ซึ่งตามไม่ทัน แต่จะพูดเรื่องความสำคัญของนักเรียน จปร. และความสำคัญของ ร.ร.จปร. อย่างที่ว่ามีสิ่งเปลี่ยนแปลงตามไม่ค่อยทัน

แต่ขอบอกว่าสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงและจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงทั้งกาย วาจา และใจของเรา คือ เราเป็นลูกพ่อเดียวกัน คือ รัชกาลที่ 5 ได้กำเนิดพวกเรามา ทุกคนเป็นลูกของท่าน ฉะนั้นเราคือคนที่มีพ่อคนเดียวกัน เรื่องนี้ต้องไม่เปลี่ยนแปลง และไม่มีวันที่จะเปลี่ยนแปลง เราปฏิญาณคำสัตย์ปฏิญาณคำเดียวประโยคเดียวมาตลอด สิ่งนี้จะต้องไม่เปลี่ยนแปลง เราต้องยึดมั่นทั้งโดยเลือดเนื้อ วิญญาณของความเป็นนักเรียน จปร.

สิ่งเหล่านี้เราได้ปฏิญาณต่อหน้าพระบรมรูปรัชกาลที่ 5 เราได้ปฏิญาณต่อธงชัยเฉลิมพล ประโยคเดียวกัน ดังนั้น เราต้องเป็นเพื่อนตายด้วยกันทำหน้าที่ของเรา เพราะเราเป็นลูกของรัชกาลที่ 5 ด้วยกัน


ที่พูดว่าเกิดมาต้องตอบแทนบุญคุณของแผ่นดิน วลีประโยคนี้ คนนี้ (พล.อ.เปรม) เป็นคนคิด และพยายามพูดให้คนไทยเข้าใจว่า เราเกิดมาในแผ่นดินนี้เรามีหน้าที่หลายอย่าง แต่หน้าที่สำคัญที่สุดคือการตอบแทนบุญคุณของแผ่นดิน

ถ้าเราไปเปิดรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่ใช้ในฉบับปัจจุบัน เขากำหนดหน้าที่คนไทยไว้ แต่ไม่มีคำนี้หรอก ไม่มีบัญญัติในรัฐธรรมนูญว่า คนไทยเกิดมาต้องตอบแทนบุญคุณของแผ่นดิน ไม่มี แต่เราต้องมี

แม้คำนี้ไม่มีในรัฐธรรมนูญ แต่เราต้องทำ ต้องรู้ว่าเราเกิดมา เราต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน ตอบแทนอย่างไรเป็นเรื่องยากจะอธิบาย แต่สรุปได้ว่า เราต้องเป็นคนดี เพราะคนดีถึงจะคิดดี พูดดี ทำดี การตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน คนดีเท่านั้นถึงจะทำ ถ้าคนไม่ดีคิดไม่ถึงหรอก

หากถามว่าคนดีคืออย่างไรยากที่จะตอบว่า คนดีมีคุณสมบัติอย่างไร

เรื่องสำคัญที่อยากให้ได้ยินและเข้าใจว่า เราเป็นทหาร เป็นทหารของชาติ เป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อคราวที่ไปพูดที่อื่นในทำนองนี้ก็มีคนเถียงว่า ถ้าอย่างนั้นรัฐบาลก็สั่งทหารไม่ได้ คนที่เถียงเขาอาจจะไม่เข้าใจเรื่องทหารเลย หรือเขาไม่ชอบหน้าพวกเราก็ได้

อยากจะยกตัวอย่างให้เห็นชัดว่า ทำไมถึงพูดว่าเป็นทหารของชาติ เป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นักเรียนสมัยใหม่คงเล่นม้าไม่เป็น อาจจะเป็นเรื่องการพนันอย่างอื่นที่ใช้คอมพิวเตอร์ ใช้เครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัย

แต่คนที่เป็นทหารม้าจะรู้เรื่องม้าดี เรื่องการแข่งม้า การแข่งม้า ม้าจะมีคอก มีเจ้าของคอก คอกหนึ่งมีม้าหลายตัว 5 ตัว 10 ตัว 20 ตัว ก็ได้ เจ้าของคอกก็เป็นเจ้าของม้า เวลาจะไปแข่งเขาก็ไปเอาเด็กที่เรียกว่าจ๊อกกี้ หรือเด็กขี่ม้าไปจ้างให้เขามาขี่ม้า เขาก็จะขี่ม้า พอเสร็จจากการขี่ม้า เขาก็กลับไปทำงานอย่างอื่น วันนี้เขาขี่ม้าคอกนี้ พรุ่งนี้เขาขี่ม้าอีกคอกหนึ่ง เขาไม่ได้เป็นเจ้าของม้าหรอก เขาเป็นคนขี่

รัฐบาลก็เหมือนกับจ๊อกกี้ คือ เข้ามาดูแลทหาร แต่ไม่ใช่เจ้าของทหาร เจ้าของทหาร คือ ชาติ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัฐบาลเข้ามาดูแลกำหนดใช้พวกเราตามที่ประกาศนโยบายไว้ต่อรัฐสภา เด็กขี่ม้าบางคนก็ขี่ดีขี่เก่ง บางคนก็ไม่ดี ขี่ไม่เก่ง รัฐบาลก็เหมือนกัน รัฐบาลบางรัฐบาลก็ทำงานดี ทำงานเก่ง บางรัฐบาลก็ทำงานดีไม่ดี หรือไม่เก่งก็มี นี่เป็นเรื่องจริง

ที่พูดให้นักเรียนเข้าใจว่า เราต้องถือว่าเราเป็นทหารของชาติ เป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่รัฐบาลเข้ามาดูแลในเรื่องอื่นๆ กับพวกเรา เรื่องใหญ่ที่ทหารกำลังทำอยู่ เช่น นโยบายการป้องกันประเทศ นโยบายความมั่นคงเป็นเรื่องใหญ่ ต้องวางนโยบายเป็นเวลา 10 ปี หรือ 20 ปี

ฉะนั้นรัฐบาลเข้ามาอยู่ 4 ปี ก็จะต้องดำเนินการตามนโยบายของกระทรวงกลาโหม หรือ สภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ได้กำหนดขึ้น มันยากที่จะมาเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านั้น เรื่องนี้จำเป็นจะต้องทำความเข้าใจกันให้เห็น ให้ถ่องแท้ว่าทหารอยู่ตรงไหน รัฐบาลอยู่ตรงไหน เจ้าของทหารอยู่ตรงไหน

ที่ยกมาพูดไม่ได้ต้องการให้พวกเราเข้าใจไขว้เขว หรือรู้สึกไม่ดีต่อรัฐบาล ผมก็เคยเป็นรัฐบาลมา เพียงแต่ต้องการให้แยกแยะให้ออก ไม่ใช่โต้เถียงหรือไม่ใช่ดื้อดึง แต่อยากให้เข้าใจว่าเราอยู่ตรงไหน เราเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของ รมว.กลาโหม แน่นอนเราต้องมีระเบียบแบบแผน

แต่ที่พูดอยากให้เข้าใจว่า เราต้องถือว่าเราเป็นทหารของชาติ รัฐบาลเข้ามาแล้วก็ไป นั่นไม่ใช่เรื่องที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่

"ขอย้ำว่า การพูดนี้เพื่อให้นักเรียนเข้าใจ ไม่ใช่พูดให้ต่อต้านหรือดื้อดึงหรือทำตัวไม่ดีต่อรัฐบาล ไม่ใช่อย่างนั้น ต้องทำตัวดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลของใครก็ตาม แต่ต้องเข้าใจว่าเราเป็นทหารของชาติ เราเป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และจะเป็นอยู่อย่างนั้นโดยตลอดชีวิต"

มีฝรั่งพูดกันว่า "the old soldier neverdie" คือ เราเมื่อเป็นทหารครั้งหนึ่งแล้ว จะต้องเป็นทหารไปตลอดชีวิต ไม่ใช่ว่าเกษียณแล้วเลิกเป็นหรือลาออกแล้วเลิกเป็น เพราะคนที่เป็นทหารต้องเป็นทหารด้วยเลือดเนื้อ วิญญาณ จิตใจ ทุกอย่างอยู่ในสายเลือด ดังนั้น เมื่อเราเป็นทหารครั้งหนึ่งเราต้องเป็นทหารไปจนตาย

ทุกคนที่ออกไปแล้ว ออกไปจาก ร.ร.จปร. ไปรับราชการทหาร แม้เกษียณแล้วคงจะมีความรู้สึกว่า แม้จะเป็นนายทหารนอกราชการ แต่นี่คือทหารแท้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณของทหารได้ ไม่ว่าจะรวยเป็นเศรษฐี หรือจนเป็นยาจก หรือจะไปอยู่ที่ไหนอย่างไร ยังมีเลือดเนื้อและวิญญาณของทหารอยู่ตลอดเวลา ถ้าใครไม่รู้สึกอย่างนั้น ก็ไม่ควรจะมาเป็นทหาร

ถ้านักเรียนนายร้อยที่นั่งอยู่ที่นี้ ไม่มีความรู้สึกอย่างนั้น ก็ขอไปคิดให้ดีว่าจะรับราชการทหารต่อไปหรือไม่ เพราะถ้าเป็นทหารแล้วไม่มีเลือดวิญญาณของความเป็นทหาร ความรักชาติก็ไม่มี ความเสียสละก็จะไม่มี ความที่จะลุกต่อสู้เพื่อสถาบันของทหารของเราก็ไม่มี

ถ้าใครเป็นทหารแล้วไม่มีเลือดเนื้อความเป็นทหารขออย่าได้เป็นดีกว่า


ทหารมีคำนิยามที่เรียกตัวเราว่า ทหารอาชีพ เมื่อเป็นทหารอาชีพแล้วต้องเป็นทหารมืออาชีพด้วย

ทหารอาชีพ คือ ทหารที่มีเลือดเนื้อจิตวิญญาณแห่งความเป็นทหารอยู่ในตนครบถ้วนสมบูรณ์ กล่าวคือ รัก และเชิดชูสถาบันทหาร เทิดทูนและจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ดำรงความซื่อสัตย์สุจริต และเสียสละต่อตน ต่อครอบครัว ต่อสถาบัน และต่อชาติบ้านเมืองอย่างมั่นคง เป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโดยแท้ ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองและนักการเมือง ภูมิใจในเกียรติศักดิ์ของทหาร และความเป็นทหาร รักและดำรงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีของทหาร และสถาบันทหารด้วยชีวิต รู้และเข้าใจว่าเกิดมาต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน

สำหรับทหารมืออาชีพ คือ ทหารที่รอบรู้อย่างละเอียดถูกต้องและลึกซึ้งในวิชาการและตามตำแหน่งหน้าที่ของตน นักเรียน จปร.ก็ต้องรู้หน้าที่ของการเป็นผู้บังคับบัญชาที่ประพฤติตนเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาในทุกมิติ รูปร่างดี สง่าผ่าเผย มีวินัยเฉียบขาดทุกกาละเทศะ รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน แต่เข้มแข็งและเด็ดขาด ไม่หวั่นเกรงภยันตรายใดๆ อย่างมีเหตุผล เป็นที่พึ่งของเพื่อนทหารและประชาชนได้ ทหารมืออาชีพต้องเป็นอย่างนั้น

ร.ร.นายร้อย จปร. มีหน้าที่เพาะบ่มให้เป็นทหารอาชีพและทหารมืออาชีพต้องทำให้ได้ ถ้าเชื่อในสิ่งที่ตนพูด ถ้าทำให้นักเรียน จปร.มีจิตวิญญาณของทหารไม่ได้ก็เสียเวลาและเสียเงินหลวงเปล่าๆ

ผมขอพูดเรื่องที่เกี่ยวกับ ร.ร.จปร. ชาติบ้านเมืองของเรา เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่อยู่อาศัยของเรา เป็นประเทศของเรา มีหน้าที่ที่จะต้องดูแลรักษา มีหน้าที่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ มีหน้าที่ทำตามบรรพบุรุษของเราที่ดำรงไว้ซึ่งความเป็นไทยให้กับพวกเราจนถึงทุกวันนี้

ดังนั้น ต้องหลอมนักเรียน จปร.ให้เป็นคนดีให้ได้ นักเรียน จปร.ก็จะต้องยอมให้ ร.ร.จปร.หลอมให้เป็นนักเรียนที่ดี จบไปเป็นนายทหารที่ดีให้ได้ ทหารที่ดีต้องมีคุณธรรม จริยธรรม แต่ทหารมีความเหมาะสมเฉพาะอีก เมื่อเราแต่งเครื่องแบบมีสิทธิถืออาวุธได้ มีเครื่องแบบที่ภาคภูมิใจ คนอื่นสวมไม่ได้

ร.ร.จปร.สอนให้เป็นคน ซึ่งความเป็นคนเป็นอยู่แล้ว แต่เป็นคนที่แตกต่างไปจากนักเรียนสถาบันอื่น ร.ร.จปร.เป็นเบ้าหลอมให้รู้จักชาติ ศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์ รู้จักความซื่อสัตย์สุจริต เสียสละ ความจงรักภักดี และมีหน้าที่เตรียมคนไปสู่กองทัพต่างๆ และความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ ร.ร.จปร.ชอบสอนให้นักเรียนสำนึกในเกียรติยศและในเกียรติศักดิ์ของ ร.ร.จปร. จำเป็นต้องสอนให้ นักเรียน.จปร.มีความหยิ่งผยองในสถาบันทหาร

ประโยคหนึ่งที่น่าสนใจคือ ผู้บังคับบัญชาจะต้องประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีต่อผู้ใต้บังคับบัญชา นักเรียน จปร.เมื่อจบออกไปต้องไปเป็นผู้บังคับบัญชาประพฤติเป็นแบบอย่าง ไม่ใช่ง่ายแต่เราต้องทำ ไม่ใช่ทำเพราะเรามีหน้าที่มีกฎระเบียบที่ต้องทำ แต่ทำเพราะเรามีใจที่ต้องทำ เราต้องมีความรักผู้ใต้บังคับบัญชา ความปรารถนาดีต่อผู้ใต้บังคับบัญชา และใจของเราต้องมุ่งมั่นว่าเราจะประพฤติปฏิบัติตนให้เป็นแบบอย่างที่ดีของผู้ใต้บังคับบัญชา

ต้องดูตัวอย่างที่มีในกองทัพ วันนี้มีตัวอย่างมาให้ดู คือ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่เคยเป็นนายกรัฐมนตรี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็น ผบ.ทบ. ผบ.ทหารสูงสุด และองคมนตรี พล.อ.อู้ด เบื้องบน เป็น อดีตปลัดกลาโหม พล.อ.พงษ์เทพ เทศประทีป อดีตเสนาธิการทหารบก ซึ่งมีแบบอย่างให้ดูเยอะ เป็นตัวอย่างที่เราจะต้องปฏิบัติตามได้ทั้งนั้น

สิ่งนี้ นักเรียน จปร.ต้องคิดเป็นและมีมาตรฐาน หมายความว่า มีมาตรฐานในการปฏิบัติหน้าที่ มีมาตรฐานดำรงไว้ซึ่งความซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งนักเรียน จปร.จะมีเกียรติยศ มีศักดิ์ศรี ต้องยึดมั่นในเกียรติศักดิ์ภูมิใจในเครื่องแบบ เราต้องภูมิใจในเครื่องแบบของเรา

นักเรียน จปร.ต้องเป็นคนดี ต้องไม่ยอมเป็นคนเลวเป็นอันขาด คนที่เป็นคนเลว คนไม่ดี ก็เพราะมีกิเลส ถ้าตราบใดเรามีกิเลสก็จะเป็นคนไม่ดี ถ้าตราบใดเราละกิเลสได้ เราก็จะเป็นคนดี

นักเรียน จปร.ต้องเป็นคนบริสุทธิ์ เหมือนแก้วไม่มีด่างพร้อย ต้องสง่างาม ต้องกล้าหาญทั้งกายและใจ กล้าจะเผชิญ กล้ายอมรับความจริง และไม่หวั่นกลัวที่จะทำความดี

เรามีทูลกระหม่อมอาจารย์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ มาดูแลโรงเรียนนายร้อย จปร. นับว่าเป็นบุญมหาศาลของพวกเรา

เป็นพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ ที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ มาดูแลพวกเรา ทำให้พวกได้รับความรู้ ได้ใกล้ชิดเบื้องพระบาท ได้รับการยกย่องจากสังคม เป็นเรื่องที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนว่า เจ้านายอย่างสมเด็จพระเทพฯ จะมีพระเมตตาต่อ ร.ร.จปร.ของเรา สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่พวกเราจะจดจำไม่ลืม และจะต้องตอบแทนบุญคุณ

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์