พธม.ยังดื้อไม่เปิดเส้นทางเสด็จฯ รบ.จี้กองทัพสอดส่องม็อบ สภาทนายชี้ แม้วก้าวล่วงพระบรมราชวินิจฉัย


สภาทนายชี้ "แม้ว" ก้าวล่วงพระบรมราชวินิจฉัย ตำรวจ อัด "พธม." ไม่เปิดเส้นทางเสด็จฯ แกนนำอ้างเพื่อความปลอดภัยเคลื่อนย้ายรั้วลวดหนามยาก โฆษกรบ.จี้กองทัพสอดส่องม็อบ "พิภพ"พร้อมเปิด-ถ้าตร.ช่วยดูแล พปช.เชื่อ"ทีวีสีแดง" ไม่สร้างขัดแย้ง "เอสซีฯ" ผุด"ชินทีวี" สู้ทางเน็ต พปช.ยังไม่ได้คำตอบจาก"เปรม"

แกนนำอ้างเพื่อความปลอดภัย

พล.ต.ต.ภาณุ เกิดลาภผล รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) กล่าวถึงการประสานงานให้กลุ่มพันธมิตรเปิดถนนราชดำเนิน บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน เพื่อใช้เป็นเส้นทางเสด็จพระราชดำเนิน ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ว่า ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ ผู้ประสานงานกองทัพธรรม หัวหน้าการ์ดพันธมิตร ได้โทรศัพท์มาแจ้งว่าแกนนำพันธมิตรได้หารือร่วมกันแล้ว มีมติจะไม่เปิดเส้นทางการจราจร โดยให้เหตุผลเพื่อความปลอดภัยของกลุ่มผู้ชุมนุม เนื่องจากขณะนี้มีเหตุความวุ่นวายบริเวณการชุมนุมเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ประกอบกับมีล้อยางรถเมล์เก่า และรั้วลวดหนามที่พันธมิตรใช้ปิดขวางถนนอยู่จำนวนมาก ยากต่อการเคลื่อนย้าย ซึ่ง บช.น.จะประสานไปยังสำนักพระราชวัง เพื่อให้พิจารณาปรับเปลี่ยน หรือออกหมายกำหนดการเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินใหม่ เพื่อให้เกิดความสะดวก ปลอดภัย และสมพระเกียรติต่อไป

ด้าน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตร กล่าวว่า เดิมพันธมิตรประกาศว่าจะเปิดถนนราชดำเนินทั้ง 6 ช่องทาง โดยพันธมิตรได้รื้อเวทีและเต๊นท์บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ แต่ตำรวจไม่จัดกำลังมาดูแลผู้ชุมนุม ทำให้พันธมิตรถูกก่อกวนจากฝ่ายตรงข้าม จึงเห็นว่าพื้นที่บริเวณดังกล่าวยังไม่มีความปลอดภัยเพียงพอ
 
สภาทนายชี้ "แม้ว" ดูหมิ่นศาล

สภาทนายความออกแถลงการณ์ชี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ลบหลู่หรือดูหมิ่นดุลพินิจศาล และเจตนาก้าวล่วงพระบรมราชวินิจฉัยในเรื่องการอภัยโทษ ในการโฟนอินเข้ารายการความจริงวันนี้สัญจร ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน เมื่อคืนวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา พร้อมเตือนว่าผู้ที่จะนำข้อความโฟนอินไปเผยแพร่จะมีความผิดฐานสนับสนุนการกระทำผิด หากผู้ที่ดำเนินการเป็น ส.ส. หรือ ส.ว. อาจถูกยื่นถอดถอนพ้นตำแหน่งได้

ทั้งนี้ นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ ได้อ่านแถลงการณ์ของสภาทนายความ เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน ว่ากรณี พ.ต.ท.ทักษิณผู้หลบหนีโทษจำคุกตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองปราศรัยแก่ผู้สนับสนุนผ่านระบบการประชุมทางโทรศัพท์ทางไกลผ่านจอภาพ (โฟนอิน) ทางรายการความจริงวันนี้สัญจร เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา สรุปว่า 1.การปราศรัยดังกล่าวมีการประชาสัมพันธ์ มีการตั้งคำถามและคำตอบล่วงหน้า 2.นำมาสู่การพิจารณาว่ากระทำผิดหรือไม่นั้น เห็นว่าการเตรียมสถานที่การเช่าสัญญาณโทรคมนาคม ประกอบคำถามที่กระทบกระบวนการยุติธรรม เป็นการวางแผนชัดเจนที่จะลดความน่าเชื่อถือของคำพิพากษาศาลฎีกาฯ เป็นการกล่าวลบหลู่หรือดูหมิ่นดุลพินิจศาล ถ้าเขียนในอุทธรณ์คำพิพากษาก็เป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลด้วย และมีความพยายามโยงถึงการปฏิวัติรัฐประหารและสถาบันพระมหากษัตริย์

ก้าวล่วงพระบรมราชวินิจฉัย

นายเดชอุดมกล่าวว่า 3.คำปราศรัยตอนหนึ่ง ที่ระบุว่า "ไม่มีใครเอาผมกลับประเทศไทยได้หรอกครับ นอกจากพระบารมีที่จะทรงมีพระเมตตา หรือไม่ก็ด้วยพลังของพี่น้องประชาชนเท่านั้น จริงไหม" กรณีจึงไม่อาจแปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ว่า พลังของประชาชนที่อ้างจะเท่ากับพระราชอำนาจในการอภัยโทษขององค์พระประมุข ซึ่งเป็นการใช้ถ้อยคำที่มีเจตนาก้าวล่วงพระบรมราชวินิจฉัยในเรื่องการอภัยโทษอย่างชัดเจน เป็นลักษณะคำถามแบบปิดพระบรมราชวินิจฉัยโดยสิ้นเชิง หากองค์พระประมุขไม่วินิจฉัยอย่างเช่นที่เขาต้องการ เขาก็จะใช้พลังประชาชน และ 4.เป็นความพยายามหลีกเลี่ยงอาญาให้พ้นจากคำพิพากษาโดยไม่คำนึงถึงข้อปฏิบัติทางจริยธรรม และรีบด่วนขอพระราชทานอภัยโทษโดยที่คดียังไม่ถึงที่สุด

"สภาทนายความยืนยันว่า ผู้ส่งเสริม สนับสนุนการกระทำดังกล่าว โดยการกระทำซ้ำอีก หรือนำเทปดังกล่าวมาเผยแพร่โฆษณาอีก เข้าข่ายสนับสนุน สมรู้ร่วมคิดให้เกิดการกระทำผิด ผู้จัดรายการ เจ้าของรายการ ผู้อำนวยการสถานีต้องร่วมกันรับผิดชอบ รวมถึงนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ส.ส. และ ส.ว.ที่ให้การสนับสนุนผู้กระทำผิด ย่อมเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามจริยธรรมอย่างร้ายแรง ซึ่ง ส.ว.มีอำนาจถอดถอนได้ตามมาตรา 270 และมาตรา 164 ประชาชนกว่า 20,000 คน มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานวุฒิสภาเพื่อให้วุฒิสภามีมติถอดถอนบุคคลดังกล่าวออกจากตำแหน่งได้" นายเดชอุดมกล่าว

ซัดตำรวจปกป้องอดีตตำรวจ

นายเดชอุดม กล่าวว่า จากประสบการณ์ในชีวิตที่ผ่านมา ไม่เคยได้ยินจำเลยพูดว่าโดนยัดเยียดคุกให้ แม้แต่จำเลยที่ศาลประหารชีวิต เรื่องนี้เห็นว่าเป็นอันตรายต่อสังคม หมิ่นเหม่ และเข้าข่ายการกระทำความผิด ตามที่มีข่าวว่าฝ่ายกองทัพจะปรึกษามายังสภาทนายความ เรียนว่าแถลงการณ์ดังกล่าวคือ คำตอบจากสภาทนายความ หลังจากแถลงไปแล้วอาจจะถามไปทางกองทัพว่า อยากได้ความเห็นนี้จากสภาทนายความหรือเปล่า

ส่วนกรณีคณะกรรมการของกองบัญชาการตำรวจสันติบาล (บช.ส.) มีมติว่าการโฟนอินไม่มีความผิดนั้น นายเดชอุดมกล่าวว่า "ไม่เป็นไร ตำรวจจะมองตำรวจที่ทำผิดด้วยกันอย่างนั้น แต่เรามองอดีตตำรวจที่ทำผิดในอีกมุมหนึ่ง การวิเคราะห์อันนี้เป็นตัวอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย เป็นเรื่องแรกหรือคดีแรกของนักการเมืองที่พูดตำหนิศาล และก้าวล่วงสถาบันผ่านทางวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ทั้งๆ ที่ต้องโทษอยู่"

ผู้สื่อข่าวถามว่า ผู้พิพากษาศาลฎีกาฯสามารถพิจารณาดำเนินการได้หรือไม่ นายเดชอุดมกล่าวว่า ศาลพิจารณาดำเนินการได้ ศาลเป็นผู้เสียหายโดยตรงเรื่องดูหมิ่นศาล เหมือนคดีที่ศาลดำเนินการกับทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณไปแล้ว ส่วนเรื่องละเมิดอำนาจศาลเป็นคดีแพ่ง คดีอาญาคือ ดูหมิ่นศาล ตรงนี้เกี่ยวเนื่องกับศาลฎีกาฯ ซึ่งเป็นดุลพินิจของท่านประธานศาลฎีกาฯ

โฆษกตร.บอกเห็นต่างเรื่องปกติ

พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) ในฐานะรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) กล่าวถึงกรณี บช.ส.มีมติว่า การโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เข้าข่ายหมิ่นเบื้องสูงว่า เป็นความเห็นของ ตร. เมื่อ บช.ส.มีความเห็นว่าไม่หมิ่นก็ถือเป็นที่สุด ทาง ตร.ก็ไม่ดำเนินคดีเองในฐานะเจ้าพนักงาน แต่หากมีผู้มาร้องทุกข์ก็จะรวบรวมพยานหลักฐานตามกฎหมาย โดยนำความคิดเห็นของสภาทนายความ สันติบาล รวมทั้งบุคคลอื่นๆ ที่มีความเชี่ยวชาญ จากนั้นก็จะเป็นการสั่งคดีผ่านพนักงานสอบสวน อัยการ และศาลต่อไป ซึ่งเป็นตามขั้นตอนทางกฎหมายปกติ ทั้งนี้ ความเห็นที่ต่างกันของ บช.ส.และสภาทนายความถือเป็นเรื่องปกติ เพราะความเห็นทางกฎหมายแตกต่างกันได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ไม่เปิดถนนราชดำเนินเป็นเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินถือเป็นการหมิ่นพระบรมราชานุภาพหรือไม่ พล.ต.ต.สุรพลกล่าวว่า เรื่องนี้ต้องไปพิจารณาในข้อกฎหมาย โดยจะเสนอให้ทางสันติบาลไปดูในรายละเอียด สำหรับเส้นทางการเสด็จฯนั้นอยู่ระหว่างการเจรจา

อัด "พธม." ไม่เปิดเส้นทางเสด็จฯ

"สิ่งหนึ่งคือ พี่น้องประชาชนเองต้องติดตามและเฝ้ามองเรื่องนี้ เนื่องจากงานนี้เป็นพระราชพิธีสำคัญ ที่ต้องใช้เป็นเส้นทางเสด็จพระราชดำเนิน ถ้าผู้คนที่แสดงตนตลอดว่าจงรักภักดี แต่ไม่ให้ความร่วมมือเรื่องนี้ พี่น้องประชาชนคงต้องพิจารณาว่าตรงกับสิ่งที่พูด ที่แสดงออกว่าจงรักภักดีหรือไม่ ซึ่งความจริงแล้วก็ต้องยอมรับว่าไม่มีความจำเป็นที่จะยึดครองพื้นที่ถนนราชดำเนิน เพราะการอยู่ในพื้นที่ทำเนียบรัฐบาลก็เป็นการกำบังตามสมควร ปลอดภัยมากพอสมควรอยู่แล้ว การยึดถนนราชดำเนินที่เป็นเส้นทางการเสด็จพระราชดำเนินของพระราชานั้นมีความจำเป็นหรือไม่ เหมาะสมหรือไม่ และพระราชพิธีนี้กำหนดมาตั้งนานแล้ว การปิดกั้นพื้นที่ถนนราชดำเนินนั้นไม่ได้ลดความปลอดภัยเลย มันไม่เกี่ยว ผมว่าอยู่ที่เจตนามากกว่า เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับว่าเจตนาอย่างไร เจตนาให้รู้สึกอย่างไรมากกว่า มากกว่าเหตุผลเรื่องความปลอดภัย ผมว่าเรื่องความปลอดภัยเป็นสิ่งที่นำมากล่าวอ้างเท่านั้น เจตนาน่าจะอยู่ที่การยอมรับหรือไม่ยอมรับ" พล.ต.ต.สุรพลกล่าว

โฆษกรบ.จี้กองทัพสอดส่องม็อบ

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลพยายามอย่างที่สุดในการเตรียมงานพระราชพิธีให้ยิ่งใหญ่สมพระเกียรติ แต่เมื่อพันธมิตรยังสกัดกั้นขัดขวางการจราจรอยู่ คงต้องมีการเตรียมเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินสำรองไว้ แต่ยังหวังใจว่าพันธมิตรจะเปิดเส้นทางได้ทันเวลาเตรียมการสำหรับผู้ปฏิบัติ

เมื่อถามว่า พันธมิตรนำซากรถเก่ามาทำบังเกอร์ใจกลางเมืองหลวง นายณัฐวุฒิกล่าวว่า กลไกรัฐบาล โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจได้พยายามทำงานเต็มที่ แต่มีคำสั่งศาลให้งดเว้นกระทำการใดๆ ที่รุนแรงต่อผู้ชุมนุม จึงทำให้ตำรวจต้องมีความระมัดระวังอย่างยิ่ง ในการปฏิบัติมีผลให้ลดทอนความเข้มงวดลงไป

"วันนี้มีเสียงเรียกร้องจากกองทัพและเหล่าทัพ ที่มาวิตกกังวลกับคนเสื้อแดง หรือการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็น่าจะมีการส่งสัญญาณไปยังพันธมิตรอย่างจริงจังเสียที เพราะมีหลายอย่างที่ขัดกฎหมาย อีกทั้งฝ่ายค้าน และ ส.ว.บางส่วนที่แสดงการสนับสนุนพันธมิตรขอให้แสดงออกให้ชัดเจน ไม่ใช่มาว่าแต่เสื้อแดง" นายณัฐวุฒิกล่าว

"พิภพ"พร้อมเปิด-ถ้าตร.ช่วยดูแล

ขณะที่นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตร กล่าวว่า พันธมิตรพร้อมให้ความร่วมมือ หากเจ้าหน้าที่ประสานขอเปิดเส้นทางเสด็จฯเข้ามา เพราะเรื่องนี้ถือเป็นจุดยืนของพันธมิตร โดยเฉพาะเรื่องของพระบรมวงศานุวงศ์ แต่ที่ผ่านมาพันธมิตรไม่ได้รับความดูแลจากตำรวจเลย ซึ่งแตกต่างจากฝ่ายทหารที่จัดส่งกำลังเข้ามาดูแลความปลอดภัยอย่างเต็มที่ ดังนั้น หากตำรวจขอความร่วมมือมาก็ต้องเข้ามาดูแลความปลอดภัยให้ ซึ่งก็พร้อมที่จะเปิดเส้นทาง

เมื่อถามว่า แกนนำพันธมิตรมีการประเมินภายหลังเสร็จสิ้นพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ จะมีความรุนแรงเกิดขึ้นหรือไม่ นายพิภพกล่าวว่า เรื่องนี้มีการพูดคุยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอยากฝากไปยังรัฐบาลว่ ไม่ควรสร้างเงื่อนไขให้เกิดความรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นการให้ท้ายบุคคลเข้ามาก่อกวนและหยุดสร้างเงื่อนไขใหม่ๆ อาทิ การเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งประเด็นดังกล่าวมีหลายกลุ่มเริ่มออกมาคัดค้านและไม่เห็นด้วย ทั้งนี้ หากรัฐบาลสร้างเงื่อนไขใหม่ขึ้นมาก็จะเกิดความรุนแรงขึ้น

การ์ดห้ามตำรวจตรวจเหตุบึ้ม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 01.00 น. ได้มีเหตุระเบิด 2 จุดในเวลาไล่เลี่ยกัน บริเวณเชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ หน้ากระทรวงศึกษาธิการ และบริเวณถนนเลียบคลองผดุงกรุงเกษม ด้านข้างรั้วกระทรวงศึกษาธิการ โดยทั้ง 2 จุดไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ หรือเสียชีวิต ทั้งนี้ ขณะเกิดเหตุระเบิดพบกลุ่มควันสีขาว และมีเสียงดังทั่วบริเวณคล้ายประทัดยักษ์ ต่อมาเวลา 04.00 น. มีรายงานข่าวว่าได้ยินเสียงคล้ายปืนดังขึ้น 2-3 นัด หน้าบริเวณด้านหน้าสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ซึ่งอยู่ตรงข้ามทำเนียบรัฐบาล

พ.ต.อ.สมชาย เชยกลิ่น ผกก.สน.ดุสิต กล่าวว่า เหตุเสียงระเบิดดังขึ้น 2 ในเวลาไล่เลี่ยกันนั้น ตำรวจไม่ได้เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ เนื่องจากการ์ดกลุ่มพันธมิตรไม่ยอม อีกทั้งได้รับการยืนยันจากการ์ดพันธมิตรว่าเสียงระเบิดเป็นเพียงประทัดยักษ์เท่านั้น หลังเกิดเหตุไม่มีใครได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด ส่วนจะเป็นฝีมือของกลุ่มฝ่ายตรงข้ามกับกลุ่มพันธมิตรเข้ามาก่อความวุ่นวายหรือไม่นั้น ไม่สามารถตอบได้ เนื่องทางการ์ดพันธมิตรไม่ยอมให้ข้อมูลใด โดยระบุเพียงว่าไม่เห็นผู้ก่อเหตุการณ์ รวมทั้งไม่เข้าแจ้งความหรือให้ตำรวจเข้าตรวจสอบ

 พปช.ยังไม่ได้คำตอบจาก"เปรม"

ด้านนายอำนวย คลังผา ส.ส.ลพบุรี พรรคพลังประชาชน (พปช.) กล่าวกรณีเข้ายื่นหนังสือเรียนเชิญ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เป็นคนกลางเจรจาเพื่อประสานรอยร้าวแก้วิกฤตชาติว่า ยังไม่ได้รับการตอบรับจากคนใกล้ชิด พล.อ.เปรม แต่อย่างใด เพราะเข้าใจว่ากระบวนการส่งหนังสือกว่าจะถึงมือ พล.อ.เปรม จะต้องใช้เวลาพอสมควร แต่มีความเชื่อมั่น ขณะนี้ทุกฝ่ายต้องการให้ความสุขสงบของบ้านเมืองกลับคืนมา รวมถึงกลุ่มพันธมิตรด้วย โดยเฉพาะ พล.ต.จำลอง ที่แสดงท่าทีว่าพร้อมที่จะเจรจา ซึ่งการเจรจานั้นจะต้องมีคนกลางที่เป็นผู้ใหญ่เป็นที่เคารพของทุกฝ่ายอย่าง

"ที่ผ่านมาเมื่อมีความขัดแย้งในบ้านเมือง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทำให้ประชาชนในชาติมีความสามัคคี อย่างเหตุการณ์นองเลือด เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2535 พระองค์ท่านได้เรียกแกนนำทั้ง 2 ฝ่าย คือ พล.ต.จำลอง และ พล.อ.สุจินดา คราประยูร อดีตนายกรัฐมนตรีเข้าไปเจรจากัน ภาพนั้นจำได้ติดตาว่าประชาชนที่ชุมนุมกันอยู่ต่างแยกย้ายกลับบ้านกันหมด บ้านเมืองก็กลับเข้าสู่ความสามัคคี แต่ครั้งนี้ไม่อยากที่จะอาจเอื้อมถึงขนาดนั้น จึงได้เรียนกราบเรียนเชิญ พล.อ.เปรม ให้เข้ามาเป็นคนกลาง"

พล.ต.จำลองกล่าวว่า เชื่อว่า พล.อ.เปรมคงจะไม่รับเป็นคนกลางเจรจาแน่นอน เพราะที่ผ่านมา มีกลุ่มคนในรัฐบาลนำมวลชนไปด่าทอท่านถึงบ้านพัก แต่ขณะนี้กับได้รับความดีความชอบมีตำแหน่งในรัฐบาล "หากเป็นเราโดยด่าทอเช่นนี้จะยอมรับหรือไม่ อีกทั้งหาก พล.อ.เปรมยอมมารับหน้าที่นี้มีแต่จะเปลืองตัว เนื่องจากรัฐบาลไม่เคยจริงใจในการแก้ไขปัญหา"
 
"เอสซีฯ" ผุด"ชินทีวี" สู้ทางเน็ต   

รายงานข่าวแจ้งว่า ในช่วง1-2 เดือนที่ผ่านมา ก่อนที่จะเกิดกระแสข่าวการตั้งสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมแห่งใหม่ หรือ "ทีวีสีแดง" ของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) นั้น ได้มีการประกาศรับสมัครนักข่าว ช่างภาพ และผู้ช่วยช่างภาพที่มีประสบการณ์ให้ไปร่วมงานกันในสถานีโทรทัศน์ที่มีชื่อว่า "ชิน ทีวี" ซึ่งอยู่ในเครือของบริษัท เอสซีแอสเซส คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดยสถานีโทรทัศน์แห่งนี้จะทดลองออกอากาศโดยการออนไลน์ผ่านอินเตอร์เน็ต ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2552 ก่อนที่จะขยายไปเช่าเวลาในเคเบิ้ลทีวีช่องอื่นต่อไป

ข่าวแจ้งว่า สำหรับรูปแบบรายการนั้นจะมีการเปิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร ได้โฟนอินเข้ารายการ เพื่อแสดงความคิดเห็นถึงสถานการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะสถานการณ์ทางเศรษฐกิจด้วย
 
ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคพลังประชาชน และผู้ดำเนินรายการความจริงวันนี้ กล่าวว่า ยังไม่เห็นข้อเท็จจริงเรื่องนี้ เป็นเพียงข่าวเท่านั้น

พปช.เชื่อ"ทีวีสีแดง" ไม่สร้างขัดแย้ง 
 
ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง รักษาการโฆษก พปช. กล่าวถึงกรณีที่แกนนำ นปช. เตรียมตั้งสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่องใหม่ ซึ่งอาจจะใช้ชื่อ "ทีวีสีแดง" ว่า เป็นการสร้างประเด็นข่าวไปเรื่อยๆ แต่ประเด็นนี้ไม่น่าจะเป็นที่เอิกเกริกหรือมีอะไรเป็นที่วิตก เพราะการเกิดตั้งสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเกิดขึ้นมาหลายครั้ง รวมถึงสถานีโทรทัศน์พีทีวีด้วย จึงไม่น่าจะมีผลร้ายแรงอะไร เพราะตามความเป็นจริงไม่มีใครที่นั่งดูทีวีแล้วจะเกิดการห้ำหั่นกัน มีเพียงเอเอสทีวีช่องเดียวที่ด่าคนอื่น สร้างสีสันให้กลุ่มพันธมิตรเต้นตามกัน

นายเทพไท เสนพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การจัดตั้งทีวีสีแดงมีสิทธิที่จะทำได้หากไม่ขัดกฎหมาย แต่การจัดตั้งสถานีโทรทัศน์ต้องใช้เงินจำนวนไม่ต่ำกว่า 2 พันล้านบาท จึงอยากถามว่า นปช.เอาเงินมาจากไหน เชื่อว่านายทุนใหญ่คนเดิมคอยสนับสนุน ส่วนผู้จัดตั้งจึงก็เป็นแค่มือปืนรับจ้างที่อาสามาทำงานเท่านั้น ทั้งนี้หากมีการจัดตั้งสถานีดังกล่าวจริง ก็ควรจะถอนรายการความจริงวันนี้ ออกจากสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที แล้วมาแข่งขันกับเอเอสทีวีโดยตรง


เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์