ปัดขนพลแม่นปืน ซุกราบ11 ผบ.ทบ.ปฏิเสธลั่น

"อนุพงษ์" ย้ำ ระเบิดใกล้พรรคภูมิใจไทย ต้องรอหลักฐานก่อนมัดมือคนทำ ลั่น กองทัพพร้อมหาก กกต. ขอกำลังดูแลความปลอดภัยเลือกตั้งซ่อม ยัน ไม่เคยสั่งการให้ขนพลแม่นปืนซุกราบ11...

เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 25 มิ.ย. 2553 ที่กองการบินกรมการขนส่งทหารบก (ขส.ทบ.) พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก

พร้อมด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รองผู้บัญชาการทหารบก ได้เดินทางลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อติดตามและประเมินสถานการณ์เหตุการณ์ในพื้นที่ ทั้งนี้ พล.อ.อนุพงษ์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีเหตุการณ์ระเบิดที่พรรคภูมิใจไทย และ ในพื้นที่ต่างจังหวัด ว่า เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะต้องดูแล ถ้าพูดกันตรง ๆ เป็นความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในส่วนของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ได้ถอนกำลังทหารไปเกือบหมดแล้ว ซึ่งจะเหลือกำลังทหารอยู่ประจำสถานที่สำคัญ และเป็นสถานที่ที่จำเป็นจะต้องคงกำลังทหารเอาไว้ เช่นในพื้นที่ กทม. เท่านั้น ส่วนพื้นที่ในเขต กทม. จำนวน 50 เขต มีตำรวจดูแลอยู่แล้ว ซึ่งในขณะนี้ตำรวจพยายามสืบสวนสอบสวนในการเคลื่อนไหวของส่วนนี้อยู่ ขณะเดียวกัน ทาง ศอฉ. จะต้องประเมินสถานการณ์ว่า จะดำเนินการต่อไปอย่างไร ถ้าหากว่าเราดูแลในพื้นที่ของส่วน กทม.เพียงอย่างเดียว จากที่เราทราบจากการสืบสวนในขั้นต้นว่าระเบิดที่หน้าพรรคการเมือง หรือ พรรคภูมิใจไทย ก็มาจากต่างจังหวัด ฉะนั้นจะเห็นว่า กลไกในการดูแลความสงบเรียบร้อยในการป้องกันเรื่องนี้ต้องช่วยกันทุกพื้นที่ เพราะมันเป็นวงจรอยู่ในขณะนี้ และมีการขนย้ายเข้ามาในพื้นที่ กทม. ด้วย

เมื่อถามว่า จะมีการเชื่อมโยงกันกับแกนนำที่มีการหลบหนีอยู่หรือไม่นั้น พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ต้องให้คนที่มีหน้าที่ในการสืบสวนสอบสวนจับกุมจากพยานหลักฐาน

ถ้าหากได้พยานหลักฐาน และพยานบุคคลมาว่าเชื่อมโยงทางใดก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการข่าว หรือการติดต่อสื่อสารก็จะต้องว่ากันไป ถ้าจะให้ตนพูดมันก็เหมือนกับสังคมพูดกันอยู่ทุกวันนี้มีการเชื่อมโยงกันด้วยปาก ตนเองไม่ได้มีหน้าที่ในการสืบสวนสอบสวน และยังไม่เห็นหลักฐานรวมถึงสำนวนต่าง ๆ ถ้าหากว่าจะมาถามตนว่าเป็นการเชื่อมโยงหรือไม่ เป็นเพียงการประเมินเท่านั้น การประเมินเหมือนการคิดเองเดาเอง ดังนั้น จะต้องให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องดูแลเอาเองดีกว่า

เมื่อถามว่าได้มีการเน้นย้ำกับเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ต่างจังหวัดอย่างไรบ้าง พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ทางเจ้าหน้าที่ปกติเขาทำงานกันอยู่

และในวันนี้ ศอฉ. คงจะประชุมกัน และคงจะเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ปกติ เช่น ตำรวจ หรือระดับท้องถิ่น หรือ กทม. ให้ช่วยกันดูแล ตนคิดว่าแนวทางน่าจะเป็นเช่นนั้น และตนคงจะไม่เอาทหารออกมายืนรักษาความปลอดภัยเหมือนที่เคยผ่านมา เพราะว่าคงจะไม่เหมาะสม ก็จะต้องให้เจ้าหน้าที่ปกติทำไปก่อน ถ้าหากว่ามีการประเมินแล้วว่า จะต้องมีมาตรการเพิ่มเติมจะต้องว่ากันไปอีกทีว่าจะให้เจ้าหน้าที่ทำอย่างไรบ้าง

เมื่อถามว่า มีกระแสข่าวว่า จะลอบทำร้ายบุคคลสำคัญของประเทศ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ตนเพิ่งได้ยินจากผู้สื่อข่าว และทางด้านการข่าวยังไม่มีการพูดถึงในเรื่องนี้

เมื่อถามว่า ศอฉ. ออกมาระบุว่า หากมีการยกเลิก พรก.ฉุกเฉิน แล้วจะมีการลอบทำร้ายเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า การยกเลิก พรก.ฉุกเฉินหรือไม่ยกเลิกนั้น ไม่ได้อยู่ที่คำพูด แต่ขึ้นอยู่กับเจ้าหน้าที่ทุกส่วน ซึ่งในตอนนี้เราก็ใช้เจ้าหน้าที่ปกติดูแลอยู่ ถ้าหากสมมติว่ามีเหตุอะไรเกิดขึ้น และมาตรการต่าง ๆ ควรจะต้องมีการเพิ่มเติม ก็จะต้องคิดว่าใครจะมาช่วยทำในส่วนนั้น และจะใช้เจ้าหน้าที่ส่วนใด ขณะนี้หากคง พรก.ฉุกเฉิน ไว้ จะมีในส่วนของทหารที่จะสามารถช่วยได้ ส่วนจะเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมประการใด ก็จะต้องไปชั่งน้ำหนักกันอีกครั้งหนึ่ง

เมื่อถามว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการสร้างสถานการณ์จากฝ่ายรัฐเพื่อต้องการคง พรก.ฉุกเฉิน เอาไว้

พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ส่วนนี้อยากจะให้สังคมพิจารณา ซึ่งตนไม่ทราบว่าใครเป็นคนต้นคิดที่ว่าถ้าสร้างสถานการณ์จะต้องคง พรก.ฉุกเฉิน เอาไว้ ใครเป็นคนเริ่มต้นตรงนี้ตนไม่ทราบ แต่อยากให้ลองนั่งคิดตรึกตรองกันดูว่าหากมีเหตุการณ์เกิดขึ้น ผลกระทบอันดับแรกคือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่รับผิดชอบ คือรัฐบาล และ ศอฉ. แต่สิ่งสำคัญที่ไม่ควรลืมไปขณะนี้คือบุคคลที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือสังคม และ ประชาชน ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ ชีวิตความเป็นอยู่ ความปลอดภัยของตัวประชาชนเอง ซึ่งตนยังมองไม่เห็นเหตุผลว่าจะไปสร้างสถานการณ์เพื่อให้เกิดความลำบากกับรัฐบาล หรือ ศอฉ. เพื่อจะคงไว้เพื่อสิ่งใด มันมีเหตุผลต่าง ๆ มากมายที่จะใช้พิจารณาคงไว้ พรก.ฉุกเฉิน ตอนนี้ตนอยากให้ประชาชนมีความเข้าใจในเบื้องต้นเท่านี้ ส่วนเจ้าหน้าที่ก็จะต้องเร่งที่จะสร้างความปลอดภัยให้เกิดขึ้น

เมื่อถามว่า มีการเตรียมความพร้อมการดูแลรักษาความปลอดภัยในช่วงเลือกตั้งซ่อมอย่างไรบ้าง พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า
ปกติในการดูเรื่องเลือกตั้งเป็นของตำรวจ แต่หาก กกต.มีการร้องขอมาเราก็สามารถจัดกำลังไปสนับสนุนได้ แต่ในขณะนี้ยังไม่ได้มีการพูดถึง

เมื่อถามถึงกรณีมีการออกมาระบุว่า กองทัพเอาพลแม่นปืนสไนเปอร์มาประจำการไว้ภายในกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) จำนวน 20 คน

พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ตนอยากเรียนสังคมให้ได้รับทราบ ว่ากำลังพลที่สังคมเรียกว่าพลแม่นปืนหรือ กำลังหน่วยรบทุกหน่วยมีพลแม่นปืนอยู่แล้ว เราไม่จำเป็นจะต้องไปเอาจากที่ไหนมากเพิ่ม และที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) หรือ กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ (ร.1 รอ.) หรือ ทุกกรมทหารราบจะมีพลแม่นปืนประจำการไว้ทั้งหมด รวมถึงทหารม้าเราก็มีกำลังพลที่ได้รับการฝึกฝนในเรื่องของการใช้อาวุธ มีทุกอย่างครบหมด เราไม่จำเป็นจะต้องยกจากที่ไหนมา และเราฝึกประจำอยู่แล้ว ทั้งนี้ในส่วนของกองทัพไม่เคยสั่งการเอาพลแม่นปืน หรือ ไม่ได้โยกพลแม่นปืนมาจากที่ไหน หรือ มาไว้ที่ไหน ตนไม่เคยได้สั่งการ ถ้าใครคิดว่ามีที่ไหน หรือไปที่ไหน ก็จะต้องทราบเอาไว้ว่าตนไม่ได้สั่งการ เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้มีการปฏิบัติ

เมื่อถามถึงแผนปรองดองมีความคืบหน้าเป็นอย่างไรบ้าง พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า เราต้องยอมรับว่าแผนปรองดองจะทำให้ประเทศชาติเดินไปข้างหน้าในทุกประเด็น

ซึ่งในเรื่องนี้ รมว.กลาโหม ได้มีการสั่งการเรื่องรายปลีกย่อยในเรื่องความปลอดดองทุกข้อ ซึ่งการประชุมต่อไป กองทัพบกคงจะมีการเน้นย้ำกับกำลังพลในเรื่องนี้ ซึ่งคิดว่าเขาคงจะมีการทำกันอยู่แล้วในบางส่วน เพียงแต่ว่าเราเข้าไปจัดระเบียบ และทำให้ผลในการปฏิบัติมีกรอบที่ชัดเจนขึ้นเท่านั้น

เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์