ประเวศ แนะ ทักษิณ ออกบวชเจริญศีล-ลิ้มรสพระธรรม

ประเวศ แนะ ทักษิณ ออกบวชเจริญศีล-ลิ้มรสพระธรรม

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 16 มีนาคม 2549 18:34 น.

ประเวศ เสนอทางออกที่ดีที่สุดสำหรับ ทักษิณ แนะออกบวชเจริญศีล-ลิ้มรสพระธรรม จะไม่คิดกลับมาเป็นนายกฯอีก ชี้เลือกตั้ง 2 เม.ย.ไม่มีทางจบสิ้น แม้ ทรท.จะชนะกลับมาเป็นรัฐบาล เพราะ ปชป.-มหาชน-ชาติไทย บอยคอตเลือกตั้ง เหตุไม่ยอมรับวงจรอุบาทว์

วันนี้ (16 มี.ค.) นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ได้เสนอบทความเรื่อง แล้วมันจะจบลงอย่างไร ว่า เป็นคำถามที่ได้ยินมากที่สุด เพราะมองไม่ออกว่าวิกฤตการณ์การเมืองในปัจจุบันจะยุติลงอย่างไร บางคนก็เรียกร้องให้สามัคคี ให้ปรองดองกัน ให้สมานฉันท์ ให้ถอยคนละก้าว เหล่านี้เหมือนคำอธิษฐานที่ยากจะเป็นไปได้ เพราะความสงบเรียบร้อย ความสามัคคี และความสมานฉันท์ จะมีได้ต่อเมื่อมีความถูกต้อง ถ้าความไม่ถูกต้องยังดำรงอยู่ การเรียกร้องความสามัคคี นอกจากไม่ได้ผลแล้วยังเหมือนเป็นการสนับสนุนให้ความไม่ถูกต้องดำรงอยู่ต่อไป

ประเด็นคือ นายกรัฐมนตรีถูกกล่าวหาด้วยข้อหาที่ฉกรรจ์ว่าขาดความสุจริต หาประโยชน์เข้าตัว ด้วยการหลีกเลี่ยงกฎหมาย โดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ของชาติ นักการเมืองใดๆ อาจถูกกล่าวหาด้วยข้อหาร้ายแรงได้ แต่ระบบจะพยายามวางทางออกที่การมีกลไกอิสระต่างๆ ที่น่าเชื่อถือเข้ามาสืบสวนสอบสวน แต่นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันถูกกล่าวหาว่าใช้อำนาจและเงินเข้าครอบงำแทรกแซงองค์กรอิสระจนหมดสิ้น จนองค์กรต่างๆ เหล่านั้นหมดศักดิ์ศรี และความน่าเชื่อถือ ทำให้ปิดทางออกที่ควรจะมี

อีกวิธีหนึ่ง เมื่อนายกรัฐมนตรีถูกกล่าวหาด้วยเรื่องร้ายแรง คือ ตั้งคณะกรรมการอิสระขึ้นมาสอบสวนนายกรัฐมนตรี ดังกรณีที่เมื่อมาร์กาเร็ต แธตเชอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ถูกกล่าวหาว่ากระหายเลือด นำคนอังกฤษไปตายในสงครามฟ็อกแลนด์ แธตเชอร์ได้ตั้งลอร์ดแฟรงค์ซึ่งคนอังกฤษเขานับถือกันว่าเป็นกลางอย่างยิ่งมาเป็นประธานสอบสวนนายกรัฐมนตรี มีอำนาจในการเรียกเอกสารและบุคคลมาให้การได้อย่างเต็มที่ รายงานของลอร์ดแฟรงค์ทำให้ประเด็นนี้ตกไป ตนเคยเสนอให้นายกรัฐมนตรีตั้งคณะกรรมการที่เป็นกลางขึ้นมาสอบสวนนายกรัฐมนตรี เพื่อเป็นทางออก แต่ทางนี้ก็ถูกปิด และสถานการณ์ได้เลยเรื่องนี้ไปแล้ว

เมื่อไม่มีทางออกอย่างอื่นจึงเกิดการชุมนุมเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก ที่พัฒนามาเป็นเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือเรียกกันว่าการเมืองภาคประชาชน การเมืองภาคประชาชนเป็นสิ่งที่ทั้งถูกกฎหมายและถูกต้อง เพราะลำพังการเมืองของนักการเมือง ต่อให้ดีอย่างไรก็ยากที่จะถูกต้อง ถ้าปราศจากการเมืองภาคประชาชนคอยติดตามกำกับตรวจสอบ เนื่องจากศีลธรรมจะต้องเป็นหลักของแผ่นดิน การเมืองภาคประชาชนจะต้องเป็นพลังทางศีลธรรม

นายกรัฐมนตรี ก็ยืนยันแข็งขันว่า ไม่ยุบสภา ไม่ลาออก แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจยุบสภา เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2549 โดยหวังว่าจะเป็นการออกจากวิกฤต ที่เรียกว่าคืนอำนาจให้ประชาชน แต่ก็นำไปสู่วิกฤตการณ์การเลือกตั้งต่อไป เพราะพรรคฝ่ายค้านคว่ำบาตรการเลือกตั้ง การแข่งขันใดๆ ต้องมีความยุติธรรมจึงจะเป็นการแข่งขัน

ความยุติธรรม คือคู่แข่งจะต้องมีความใกล้เคียงกันในทุกๆ ทาง ไม่ใช่ไปเอาผู้ใหญ่กับเด็กมาแข่งกัน เอาเศรษฐีกับยาจกมาแข่งกัน เอาช้างกับมดมาแข่งกัน ในขณะที่กลุ่มทุนใหญ่ที่มารวมตัวกันเป็นพรรคไทยรักไทย มีทุนเป็นแสนๆ ล้านเปรียบเสมือนช้าง ปชป.- ชาติไทย - มหาชน นั้นถ้ามีทุนบ้างก็คงน้อยเต็มที ทรท.ยังถืออำนาจรัฐอยู่ด้วย และไม่มีความน่าเชื่อถือใดๆ ว่าจะไม่ใช้อำนาจรัฐเอาเปรียบคู่ต่อสู้

เมื่อทุนใหญ่ถืออำนาจรัฐ ชนะเลือกตั้ง เป็นรัฐบาล สูบผลประโยชน์ทำให้ทุนของตัวใหญ่ขึ้น เลือกตั้ง เป็นรัฐบาล สูบผลประโยชน์ทำให้ทุนของตัวใหญ่ขึ้น......ทำให้เกิด วงจรอุบาทว์แห่งการเลือกตั้ง แต่เรียกมันว่ากติกาประชาธิปไตย พรรคฝ่ายค้านจะรู้ดีที่สุดว่าขืนเข้าไปสู่วงจรอุบาทว์แห่งการเลือกตั้ง เขาต้องหมดเนื้อหมดตัว ล้มละลายแน่ เขาจึงบอยคอตหรือคว่ำบาตรการเลือกตั้ง ทำให้การเลือกตั้งกลายเป็นเรื่องโจ๊กไป

การเลือกตั้งจึงแก้ปัญหาไม่ได้ด้วยประการฉะนี้

สมมติว่า ลากไปถึงการเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายน 2549 ได้ แน่นอนว่า ทรท.ได้รับการเลือกตั้ง แต่อาจตั้งรัฐบาลไม่ได้ หรือตั้งได้ก็ทำหน้าที่ไม่ได้ เพาะคนที่เกลียด และไม่เชื่อถือไว้วางใจคุณทักษิณ ประกอบไปด้วย นักศึกษา คณาจารย์ สื่อมวลชน ชนชั้นกลาง ข้าราชการที่สุจริต ตลอดไปจนพระราชวงศ์ และองคมนตรี

ถึงคุณทักษิณจะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก วิกฤตการณ์ทางการเมืองก็ไม่จบ หรืออาจรุนแรงมากขึ้น จะเห็นได้ว่าทางออกต่างๆ ตีบตันไปหมด และคุณทักษิณมีส่วนสำคัญในการสร้างโครงสร้างที่ปิดล้อมตัวเองให้ออกไม่ได้

ขณะนี้ทั้งสองฝ่าย คือ ฝ่ายคุณทักษิณ และฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ต่างตกอยู่ในความกลัว คือคุณทักษิณก็กลัวว่าถ้ายอมลงจากอำนาจ อีกฝ่ายจะเข้ามาขุดคุ้ยและเสนอให้ยึดทรัพย์ ข้างฝ่ายพันธมิตรฯ ก็กลัวว่า ถ้าประนีประนอมรายข้อจะไว้ใจคุณทักษิณไม่ได้ว่าจะไม่มาอุ้มฆ่าตามกิตติศัพท์ จึงไม่มีทางถอยหรือประนีประนอมกันได้

เมื่อตีบตันไปหมดแล้ว จะเป็นไปหรือมีทางออกอย่างไร

หนึ่ง รุนแรงแตกหัก นั้นคือคุณทักษิณไปฆ่าใคร หรือใครฆ่าคุณทักษิณ ซึ่งก็จะก่อเวรก่อกรรมอื่นๆ ต่อไป ในฐานะชาวพุทธเราย่อมไม่อยากเห็นเช่นนั้น

สอง เกิดการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานในตัวตน (Transformation) ตามปกติปุถุชนมีความทุกข์และก่อความทุกข์ให้ผู้อื่น เพราะธรรมชาติพื้นฐานในตัวตนที่เห็นแก่ตัว หรือเอาตัวตนเป็นใหญ่ การที่จะเปลี่ยนแปลงธรรมชาติพื้นฐานในตัวตนเป็นไปได้ยาก แต่การเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานในตัวตนก็เกิดขึ้นได้ โดยเกิดการเปลี่ยนแปลงในความรู้สึกนึกคิด เห็นโลกและเห็นคนอื่นในมุมมองใหม่ เห็นความเป็นหนึ่งเดียวของสรรพสิ่งทั้งหมด เกิดความรักอันไพศาลต่อเพื่อนมนุษย์ และธรรมชาติทั้งหมด มีความสุข ความเป็นอิสระ และมีความสร้างสรรค์อย่างยิ่ง อันเป็นไปเพื่อการอยู่ร่วมกันด้วยสันติ

การจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานในตัวตนเกิดขึ้นได้หลายทาง ในที่นี้จะขอกล่าวถึง 3 วิธี คือ
1.มีประสบการณ์ใกล้ตาย (near-death experience) คนที่ใกล้ตายแต่ไม่ตายหลายคนเกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวเองอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นคนใหม่ที่จิตใจดีอย่างยิ่ง
2.การออกไปนอกโลกแล้วมองมาเห็นโลกทั้งใบ มนุษย์อวกาศชื่อ เอ็ดการ์ มิทเชลล์ ยืนอยู่บนดวงจันทร์มองมาเห็นโลกทั้งใบแล้วจิตใจเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง เพราะเห็นความเป็นหนึ่งเดียวของโลกทั้งใบ เกิดความรักอันไพศาลต่อเพื่อนมนุษย์และโลกทั้งหมด
3.เจริญศีล สมาธิ และปัญญาภาวนา โดยจะเป็นฆราวาสหรือเป็นพระก็แล้วแต่

ทางออกที่ดีที่สุดของนายกฯ ทักษิณ คือ เกิดการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานในตัวตน ซึ่งจะทำให้พบความสุข สงบ และหมดเวรหมดกรรม ไม่ควรคิดกลับมาเป็นนากยกรัฐมนตรีอีก ถึงเป็นก็แก้ปัญหาไม่ได้ ปัญหาของประเทศไทยสลับซับซ้อนและยากยิ่ง แก้ไม่ได้โดยวีรบุรุษ หรือรัฐบุรุษใดๆ ในภพภูมิของความรู้สึกนึกคิดและพฤติกรรมแบบเดิมๆ แต่ต้องการยกภพภูมิทางจิตใจให้สูงขึ้นจึงจะแก้ไขได้

ฉะนั้น แม้คนอื่นๆ ก็ต้องการการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานในตัวตน การเมืองภาคประชาชนก็ต้องระวังกิเลสในตัวตนด้วย ถ้าชนะแล้วเกิดความฮึกเหิม ก็จะไปพลาดพลั้งเสียหาย แก้ปัญหายากๆ ไม่สำเร็จ แกนนำพันธมิตรฯ ทั้ง 5 คน ก็ต้องคิดถึงการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานในตัวเองด้วย การณ์ข้างหน้าจึงจะมีพลังของความถูกต้อง

ถ้านายกฯ ทักษิณ และแกนนำพันธมิตรฯ ทั้ง 5 คน ออกบวชพร้อมกันจะเป็นอย่างไรบ้าง บวชสัก 1 เดือนเป็นอย่างน้อย เจริญศีล สมาธิ ปัญญา อย่างเข้มข้น จนได้ลิ้มรสพระธรรมและเกิดการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานในตัวเอง ถ้าใครติดใจจะบวชนานต่อไปอีกก็แล้วแต่

การออกบวชพร้อมกันนี้ ไม่มีการเสียหน้า ไม่มีใครแพ้ ทุกคนเป็นผู้ชนะ การทำความดี คือ การชนะ และเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานในตัวตนแล้ว ทุกคนจะมีประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศชาติบ้านเมืองอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะศึกษาลาเพศหรือยังคงบวชต่อไป

พรรคการเมืองต่างๆ จะต้องมาตกลงกันที่จะปฏิรูปการเมืองอย่างจริงจัง จะต้องเลิกพฤติกรรมเดิมๆ ที่พาบ้านเมืองไปสู่ความวิกฤตศีลธรรม จะต้องเป็นหลักของแผ่นดิน กิจกรรมทุกอย่างจะต้องผูกอยู่กับหลักของแผ่นดิน การเมืองจะต้องเป็นการเมืองศีลธรรม เศรษฐกิจจะต้องเป็นเศรษฐกิจศีลธรรม

ระบบการศึกษา ระบบสุขภาพ ระบบความยุติธรรม ระบบการสื่อสาร ล้วนต้องมีรากฐานอยู่ในศีลธรรม เราจะคดๆ โกงๆ เอาเปรียบกันแบบศรีธนญชัยต่อไป บ้านเมืองจะไปไม่รอด ขอให้วิกฤตการณ์ปัจจุบันเป็นการให้การศึกษาแก่เราทุกคนว่าความถูกต้องเท่านั้นที่จะทำให้เกิดความรัก ความปรองดอง ความสมานฉันท์ ความเจริญ และความร่มเย็นเป็นสุข (ผมมีปัญญาน้อย ถ้ากล่าวอะไรไปไม่ถูกใจ ไม่ถูกต้อง หรือเป็นการล่วงเกินต่อผู้ใด ผมต้องขอประทานอภัย)

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์