ปฏิวัติซ้อน! ความคิดมีแน่...แต่คนทำอยู่ไหน.?

แหล่งที่มา : ทีมข่าวความมั่นคง หนังสือพิมพ์คมชัดลึก



จับกระแส "สุดจะทน" ของ ผบ.ทบ. อันนำมาสู่ "รัฐประหาร" ไล่เรียง 3 ช็อต
หลักๆ แก้ไฟใต้-ข่าวลวง-หมิ่นป๋า เชื่อปิดประตู "ปฏิวัติซ้อน"
หลังเด็ดหัว ตท.10 - บล็อกตัวป่วนซีกรัฐบาล

การยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายน ถือเป็นการเปิดตำนานอีกครั้งในรอบ 15 ปี อาจเป็นเพราะไม่เชื่อตั้งแต่แรกว่า พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) จะตัดสินใจนำกำลังยึดอำนาจการปกครอง เพราะทั้งบุคลิกส่วนตัวและการให้สัมภาษณ์เรียกได้ว่าไม่มีแววมาก่อน


ว่ากันว่า ก่อนที่ พล.อ.สนธิ จะตัดสินใจ ได้มีการเตรียมการที่จะก่อการ โดยทหารอีกกลุ่มไว้อยู่ก่อนแล้ว


นี่อาจเป็นที่มาของ 5 วันหลังการเข้ายึดอำนาจ ก็ยังเต็มไปด้วยกระแสข่าวลือปฏิวัติซ้อน


ถามว่าปัจจัยอะไรที่เร่งให้ท่านต้องจับพลัดจับผลูมาเป็น "หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.)" ก็ต้องย้อนไปดูเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น และคงไม่ต้องย้อนไปนานมาก แค่ 3 ช็อต เน้นๆ เนื้อๆ ก็ถือว่า "สุดจะทน" แล้ว

แต่ก่อนจะลำดับเหตุการณ์ในช่วงนั้น ต้องย้อนเส้นทางการดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ. ของ พล.อ.สนธิ ซึ่งผู้ติดตามข่าวมาตลอด จะเห็นได้ว่า ผบ.สนธิ ได้รับ "แรงกดดัน" อย่างมหาศาลในการดำรงตำแหน่ง

เพราะไม่ได้รับการวางตัวจาก "ฝ่ายการเมือง" มาตั้งแต่ต้น แต่สามารถ "แหกโผ" ขึ้นมาได้ก็เพราะความสามารถ และความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสาย "ลูกป๋า" ผ่านทาง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และอดีต ผบ.ทบ.

ด้วยเหตุนี้ จึงถูกมองด้วยสายตา "หวาดระแวง" จาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มาโดยตลอด


เป็นสายตาหวาดระแวง เช่นเดียวกับที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เคยมอง พล.อ.สุรยุทธ์ ครั้งที่ยังดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ.


และมีการเคลื่อนกำลังรถถังไปฝึกในพื้นที่ตะเข็บชายแดนไทย-พม่า !!!

ครั้งนั้น เล่ากันว่า ปลายสายด้านหนึ่งกรอกเสียงละล่ำละลักมาว่า "พี่จะปฏิวัติผมเหรอ.." แม้อีกฝ่ายจะปฏิเสธ แต่สุดท้าย พล.อ.สุรยุทธ์ ก็ต้องไป "เสือป่า" และเกษียณอายุราชการอยู่ ณ ที่นั้น...


3 ปัจจัยที่ทำให้ พล.อสนธิ สุดทนมาเป็นหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.)


กลับมาโฟกัสที่ทำให้ พล.อ.สนธิเริ่ม "ทนไม่ไหว" อย่างชัดเจนต้องเท้าความไปถึงการแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้ เพราะแม้ปากจะบอกว่า มอบ "ดาบอาญาสิทธิ์" ให้ ผบ.ทบ.อย่างเต็มที่ แต่ในความเป็นจริง ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดกลับเป็น พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง และรุ่นพี่ "รูมเมท" ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ครั้งศึกษาต่ออยู่ที่สหรัฐอเมริกา

เมื่อมีแต่ "สัญญาปากเปล่า" พล.อ.สนธิ จึงทวงถามความจริงใจ ด้วยการยื่นข้อเสนอขออำนาจสิทธิขาดในการบังคับบัญชา อำนาจในการแต่งตั้งโยกย้ายข้ามสังกัด และของบประมาณในการดำเนินงาน

สุดท้ายก็ "ไร้สัญญาณตอบรับ" อย่างเป็นรูปธรรม !!!

แต่ที่น่าปวดกระดองใจกว่านั้นคือ พอปัญหารุนแรงขึ้น คนที่ถูก "เพ่งเล็ง" กลับเป็น พล.อ.สนธิ คนเดียวจนเจ้าตัวต้องออกมาบ่นดังๆ ว่า "ถูกการเมืองแทรกแซง..."

"ฟางเส้นสุดท้าย" คือ คำสั่งข้ามทวีปของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งสั่งให้ ผบ.ทบ. และ ผบ.ตร. ลงไปแก้ไขปัญหาภาคใต้ในคราวลอบวางระเบิดที่ อ.หาดใหญ่ ซึ่งคล้ายเป็นการ "ไม่ให้เกียรติกัน" เป็นอย่างมาก เพราะปัญหาใหญ่ขนาดนี้ ถึงไม่ต้องสั่ง ทหาร-ตำรวจก็ต้องลงไปคุ้มครองความปลอดภัยให้อยู่แล้ว และคำสั่งที่ออกมาแบบนี้ถือเป็นการ "ตบหน้า" ผบ.ทบ. กลายๆ ว่า ไม่เอาใจใส่ต่อการแก้ปัญหาอย่างเพียงพอ

นั่นจึงนำมาสู่ปฏิกิริยา "แข็งขืน" ด้วยการไม่เข้าร่วมประชุม ครม.นัดพิเศษ เมื่อวันที่ 19 กันยายน และนำมาสู่การ "รัฐประหาร" ในค่ำวันเดียวกันนั้นเอง !!!


ช็อตที่สอง คือ การปล่อย "ข่าวลือ" โดยบรรดาคีย์แมนฟากรัฐบาลว่า ได้ยินข่าวปฏิวัติรัฐประหารหนาหู


ส่งผลให้ พล.อ.สนธิ อึดอัดใจจนต้องโพล่งออกมาว่า ข่าวลือดังกล่าวเป็น "ข่าวลวง" โดยผู้ปล่อยข่าวมีเจตนา "ปรามทหาร" ไม่ให้คิดปฏิวัติ แต่ ผบ.สนธิ ก็ยังยืนกรานว่าจะไม่ปฏิวัติเด็ดขาด

กระนั้นกองทัพกลับได้ยิน "รายงานข่าว" อันชวนประหวั่นว่าจะมีเหตุการณ์จัดม็อบมา "ชนม็อบ" ในวันที่ 23 กันยายน ซึ่งเดิมจะเป็นฤกษ์นัดชุมนุมใหญ่ของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตร

รายงานลับชิ้นนั้น ยังแจ้งด้วยว่า เมื่อมีเหตุการณ์ม็อบชนม็อบจนเกิดเหตุนองเลือดขึ้น...ขุมกำลังฝ่ายอำนาจรัฐก็จะประกาศ "ภาวะฉุกเฉิน" และเคลื่อนกำลังเข้าปราบปราม

พล.อ.สนธิ ซึ่งติดตามข่าวนี้มาตลอด จึงตัดสินใจ "รัฐประหาร" ด้วยกำลังหลักจากทัพภาคที่ 1-3

มีเรื่องเล่ากันว่า ในช่วงค่ำก่อนการยึดอำนาจ นายทหารระดับสูงฝ่ายอำนาจรัฐ ยังไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมีการเคลื่อนกำลังมา แต่ต้องตกใจแทบตกเก้าอี้เมื่อเห็นรถถังมาล้อมกรมกองเต็มไปหมด..

นายทหารระดับสูงฝ่ายอำนาจรัฐ เอ่ยปากกับ ผบ.กองพัน ในสังกัดว่า "ม..จะเอาด้วยกับ ก..หรือเปล่า"

คำตอบที่ได้รับ คือ "..ผมพร้อมจะปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา...แต่ถึงอย่างไรผมก็ยังเป็นทหารในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว..."

คำตอบดังกล่าวทำให้ นายทหารระดับ ผบ.กองพลฝ่ายอำนาจรัฐ ถึงกับหน้าชา และรู้แล้วว่า "เสียท่า" และไม่มีประโยชน์ที่จะแข็งขืน

เพราะรู้อยู่ว่า ผบ.กองพัน ชุดนี้เพิ่งถูก "โยกย้ายนอกฤดู" ในปฏิบัติการ "ล้างบางขั้วอำนาจ" โดยแม่ทัพภาคที่ 1 เมื่อเดือนกรกฎาคม


ช็อตสุดท้าย ยิ่งยอมไม่ได้ เมื่อมีการเปรียบเทียบตัวเองกับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ครั้งที่ยังดำรงตำแหน่งนายกฯ ว่า เริ่มมีคนเบื่อ และถูกโจมตีอย่างรุนแรงสูสีกัน



เจอดอกนี้เข้าไป บรรดา "ลูกป๋า" เต้นเป็นเจ้าเข้า และนั่นย่อมรวมถึง พล.อ.สนธิ !!!


อย่างไรก็ตาม แม้คลื่นลม ณ เวลานี้จะสงบราบเรียบ ท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพไปทั่วแผ่นดิน ทอดตาไปก็มีแต่คนสยบอยู่แทบเท้า แต่ทหารก็ไม่ประมาท "คลื่นใต้น้ำ" ซึ่งพร้อมจะก่อตัวทุกเมื่อ



ทว่าในส่วนของทหารด้วยกันเองนั้นคง "ยากที่จะต่อต้าน" แล้ว
เพราะแม้ "หัว" จะยังอยู่ แต่เมื่อขาด "แขน-ขา" ก็ไม่สามารถขยับได้

ขณะที่ "ฝ่ายมวลชน" โดยการชักใยของ อดีตฝ่ายซ้ายในซีกรัฐบาล รวมทั้ง อดีต 2 รัฐมนตรี ทหารก็ถูกนำมาเก็บใน "เซฟเฮ้าส์" เรียบร้อยแล้ว

แถมยังมีการ "ยึดปืนสงคราม" คืนจาก "กองกำลังส่วนตัว" ของ รมต.คนหนึ่งไว้ได้แบบยกลอต และปิด "สื่อเทียม" ในสังกัดคนในรัฐบาลได้ทั่วประเทศ

มวลชนจัดตั้งและหน่วยงานรัฐที่ (แอบ) ซ่องสุมกำลัง ก็ถูก "บล็อก" ไว้ด้วยเช่นกัน

ฉะนั้น ปฏิบัติการ "เอาคืน" ภายใต้รหัส "รัฐประหารซ้อน" ย่อมไม่ได้ง่ายดังปากว่าแน่นอน เพราะขุมกำลังทั้งบนดินและใต้ดิน ถูกอีกฝ่าย "รู้ทัน" และชิง "เด็ดหัว" ไว้หมดแล้ว !!!






เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์