ปชป.ย้ำรัฐบาลไม่มีแผนลอบทำร้ายทักษิณ

คมชัดลึก : “ปชป. ” พร้อมแจง “กกต.” เรื่อง “เงินบริจาค 258 ล้าน” ยันไม่เคยได้รับเงิน ยัน แสดงหลักฐานการใช้จ่ายเกี่ยวกับการเลือกตั้งไปแล้ว จาตุรนต์ชี้กกต.หมดเวลาถ่วงคดี258ล.ต้องยุบปชป.เท่านั้น

(18 ธ.ค.) นพ.บุรณัชย์   สมุทรักษ์   โฆษกพรรคประชาธิปัตย์   กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติให้นายทะเบียนพรรคการเมือง ทำความเห็นเพื่อกลับไปที่ประชุม กกต.อีกครั้ง ต่อกรณีข้อกล่าวหาว่าพรรคประชาธิปัตย์ รับเงินบริจาค 258 ล้าน จากบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ซึ่งพรรคเห็นว่า เป็นการทำตามกฎหมาย และหน้าที่อย่างถูกต้องแล้ว ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์พร้อมให้ความร่วมมือในการชี้แจง และยืนยันว่าพรรคไม่เคยได้รับเงินบริจาค จำนวน 258 ล้าน   โดยได้แสดงหลักฐานการใช้จ่ายเกี่ยวกับการเลือกตั้งแล้ว

จาตุรนต์ชี้กกต.หมดเวลาถ่วงคดี258ล.ต้องยุบปชป.เท่านั้น

 นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทยกล่าวว่า ได้ข่าวว่า กกต.มีมติเสียงข้างมากให้ประธาน กกต.ดูเรื่องของพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อเสนอว่าควรจะยุบพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ ฟังแล้วแปลกดี ไม่แน่ใจว่าหมายความว่าอะไร มองในแง่ดีก็อาจหมายถึงให้ ประธาน กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ทำหน้าที่เสียก่อน ซึ่งก็เหมือนโยนเผือกร้อนให้ ประธาน กกต.ไปเต็มๆ แรงกดดันจะอยู่ที่ ประธาน กกต.ไปจนกว่ามีข้อสรุปอย่างใดอย่างหนึ่งออกมา ซึ่งคราวนี้คงถ่วงเวลาต่อไปไม่ได้

 อย่างไรก็ตาม สุดท้ายคณะกรรมการการเลือกตั้งทั้งคณะ ก็ต้องร่วมกันรับผิดชอบ และทางที่ดีไม่ควรทำให้ภาพพจน์ของ กกต.เองย่อยยับไปกว่านี้อีกแล้ว มีพรรคการเมืองหลายพรรคถูกยุบไปเพราะ กกต.เชื่อใครก็ไม่รู้ว่ามีคนเพียงคนเดียวทำผิดกฎหมาย ในกรณีของบางพรรค ต่อมาศาลฎีกาตัดสินยกฟ้องผู้ที่ได้รับใบแดงคนนั้น แต่พรรคของเขาก็ถูกยุบไปแล้ว นี่คือผลงานของ กกต.

 นายจาตุรนต์ กล่าวต่อว่า สำหรับกรณีของ ปชป. ผู้กล่าวหาไม่ใช่ใครก็ไม่รู้ แต่เป็นกรมสอบสวนคดีพิเศษทั้งกรม ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการสืบสวนสอบสวนแล้วเขาสรุปว่าผิดล้านเปอร์เซ็นต์ ทาง DSI เขามีหลักฐานเป็นตั้งๆ กกต.กลับไม่เชื่อสักที แถมยังถ่วงเวลามาเรื่อย ถ้าขั้นนี้ช่วยกันอีกก็จะยิ่งตอกย้ำความอยุติธรรมหนักยิ่งขึ้น ต้องช่วยกันชี้ให้เห็นความไม่เป็นกลางของ กกต.และความไม่เป็นประชาธิปไตยของบ้านเมืองนี้ ให้ กกต.จำต้องฝืนใจตัวเองและผู้มีอำนาจ

 ทั้ง DSI และกกต. 4 เสียงเห็นตรงกันแบบนี้พรรคประชาธิปัตย์คงป่วนพอดู ผู้ที่กระวนกระวายกว่านั้นคือผู้ที่คอยกำกับ กกต.อีกที ใครก็ไม่รู้ให้ข้อมูล ประธาน กกต.ก็เคยเสนอให้ยุบพรรคมาแล้วหลายกรณี ครั้งนี้ทั้ง DSIและ กกต.เองอีก 4 คนเห็นไปทางเดียวกัน ประธานจะออกยังไง ในที่สุดหลักกฎหมายว่าด้วยการยุบพรรคและเพิกถอนสิทธิ์กรรมการบริหารพรรคพรรคทุกคน ซึ่งไม่เป็นประชาธิปไตยและขัดหลักนิติธรรมก็กำลังจะมีผลต่อพรรคประชาธิปัตย์ ที่แย่ก็คือพรรคประชาธิปัตย์อาจพ้นจากการลงโทษที่ขัดต่อหลักนิติธรรม ไม่ใช่เพราะความบริสุทธิ์ แต่เพราะกลไกตามรัฐธรรมนูญไม่เป็นกลางเท่านั้น คือถ้าทำตามกฎหมายก็ต้องยุบพรรคประชาธิปัตย์และถอนสิทธิ์ 5 ปี ซึ่งขัดหลักนิติธรรม หากพรรคประชาธิปัตย์หลุดพ้นไป ก็สะท้อนความไม่เป็นธรรมของระบบที่เป็นอยู่

 ทางออกของเรื่องนี้ในเวลานี้ คือ ทำตามกฎหมายอย่างตรงไปตรงมาไปก่อนคือ ต้องยุบพรรคประชาธิปัตย์ แล้วทุกฝ่ายรวมทั้งอดีตกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ก็มาคิดแก้กติการ่วมกัน ไม่ใช่แก้เพื่อนักการเมืองหรือพรรคการเมือง แต่เพื่อให้ถูกหลักนิติธรรมและสอดคล้องกับหลักประชาธิปไตยที่ใช้กันอยู่ทั่วโลก

 “เฉพาะหน้าประธาน กกต.ควรรีบทำความเห็นของตนเองให้เสร็จโดยนำความเห็นของ กกต.อีก 4 คนมาพิจารณาและไตร่ตรองให้ดีว่ายังจะตะแบงไปคนเดียวต่อไปหรือไม่”

ดีเอสไอจับตายันหลักฐานแน่นลั่นคดีล้มลุยอาญาแน่

 มีรายงานจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยว่า ขณะนี้พนักงานสอบสวนดีเอสไอกำลังจับตามองการพิจารณาคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ กรณีเงินบริจาคบริษัททีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน) ผ่านบริษัทเมซไซอะ จำกัดจำนวน 258 ล้านบาท ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หากนายทะเบียนพรรคการเมืองมีความเห็นว่ากรณีดังกล่าวไม่มีความผิด ดีเอสไอจะเข้าไปสอบสวนต่อ

 ทั้งนี้ เนื่องจากความผิดตามพรบ.พรรคการเมือง และพรบ.การเลือกตั้งมีความผิดอาญาพ่วงอยู่ ซึ่งเป็นอำนาจสอบสวนของดีเอสไอ ตามที่คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ได้มีมติให้รับคดีไซฟ่อนเงินของบริษัททีพีไอเป็นคดีพิเศษไว้ก่อนหน้านี้

 รายงานแจ้งว่า จากหลักฐานที่รวบรวมได้ในชั้นสอบสวน ดีเอสไอค่อนข้างมั่นใจในพยานหลักฐาน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพยานเอกสาร โดยเฉพาะหลักฐานทางการเงินการธนาคาร

 รายงานระบุด้วยว่า แม้ว่ากกต.จะมองว่าการโอนเงิน จากบริษัททีพีไอ ไปให้กับกลุ่มผู้ใกล้ชิดของนายนิพนธ์ บุญญามณี กลุ่มบุคคลใกล้ชิดนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ นายประจวบ สังข์ขาว เจ้าของบริษัทเมซไซอะ ไม่เกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์ แต่ยังมีเงินประมาณ 5- 10 ล้านบาท ถูกโอนไปให้กลุ่มบริษัทต่าง ๆ ซึ่งดีเอสไอได้เรียกกรรมการบริษัทเข้าให้ปากคำแล้ว จึงพบว่า เป็นการจ่ายเงินจ้างทำป้ายโฆษณาหาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ ค่าเช่าป้ายโฆษณาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และค่าหมึกพิมพ์เพื่อจัดทำป้ายหาเสียงของพรรค การโอนเงินจำนวนดังกล่าวจึงยากจะปฏิเสธความเกี่ยวพันของพรรคประชาธิปัตย์

 ดังนั้น หากกกต.มีความเห็นต่างไปจากการสอบสวนของดีเอสไอ ก็จะมีการสอบสวนเพิ่มเติมเพื่อส่งสำนวนให้อัยการได้พิจารณาตามขั้นตอนของกฎหมาย

 ทั้งนี้ หากการสอบสวนของดีเอสไอมีมูลทำให้อัยการสั่งฟ้องคดีต่อศาล จะมีการร้องทุกข์กล่าวโทษกกต.เพื่อให้มีการตรวจสอบว่าการใช้ดุลพินิจถูกต้องหรือไม่


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์