ปชป.จี้รบ.รับประกันไม่ให้แรงงานตกงาน

ปชป.จี้รบ.รับประกันไม่ให้แรงงานตกงาน

'ปชป.'จี้'รบ.'รับประกันไม่ให้แรงงานตกงาน

'ปชป.'จี้'รัฐบาล'รับประกันไม่ให้แรงงานตกงานหลังขึ้นค่าแรง 300 บาท สับเละออกนโยบายเหมือนเด็กเล่นขายของ อัดนโยบายผิดพลาดหลายเรื่อง

7 ม.ค.56 นายสรรเสริญ สมะลาภา สส.ระบบบัญชีรายชื่อ  พรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงกรณีที่รัฐบาลปรับค่าแรง 300 บาททั่วประเทศว่า รัฐบาลจะต้องรับประกันว่า ไม่มีแรงงานตกงานจากนโยบายดังกล่าว และขอเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับภาคธุรกิจโดยเฉพาะเอสเอ็มอี เพราะนโยบายค่าแรง 300 บาท เป็นการนำเงินภาคธุรกิจไปสร้างคะแนนเสียงให้รัฐบาลจึงต้องมีการชดเชยที่เหมาะสมให้กลับคืนไปยังภาคธุรกิจด้วย ทั้งนี้ เห็นว่า 11 มาตรการแรกที่ออกไปก่อนหน้านี้เป็นการแก้ปัญหาไม่ตรงจุด เพราะเป็นเพียงนำมาตรการที่มีอยู่แล้วมายำรวมกันและอ้างว่า เป็นมาตรการในการช่วยเหลือภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากค่าแรง 300 บาท ส่วนอีก 5 มาตรการที่จะเข้าที่ประชุม ครม.วันที่ 8 ม.ค.นี้ เป็นมาตรการแก้ปัญหาไม่ถูกทาง โดยรัฐบาลบอกว่า จะขอดูผลกระทบ 3 เดือน ค่อยคิดว่าจะช่วยอย่างไร คิดว่า หากทำเช่นนั้นก็สายเกินไป คือ มีการเลิกกิจการแล้ว มีการตกงานเกิดขึ้นแล้ว ทำให้เกิดคำถามตามมาว่า นโยบายใหญ่ขนาดนี้ทำไมจึงไม่มีการศึกษามาตรการรองรับให้เท่าทันเหตุการณ์ แต่กลับทำเหมือนเด็กเล่นคือ ลองผิดลองถูก เมื่อดูผลมีความเสียหายค่อยออกมาตรการชดเชย

นายสรรเสริญ กล่าวต่อว่า ทั้งๆ ที่มีธุรกิจเอสเอ็มอีที่จะได้รับผลกระทบถึง 3 ล้านรายและกระทบการจ้างงานถึง 10 ล้านคน จึงต้องมีมาตรการรองรับก่อนออกนโยบาย ทั้งนี้พรรคเห็นด้วยกับการขึ้นค่าแรงแต่ต้องค่อยเป็นค่อยไปให้เอกชนมีเวลาปรับตัว ไม่ใช่ขึ้นพรวดเดียวเป็น 300 บาท แต่เมื่อมีการดำเนินการแล้วรัฐบาลก็ต้องชดเชยในช่วงที่ภาคเอกชนปรับตัวด้วย

ส่วนกรณีที่ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ระบุว่า การขึ้นค่าเเรง 300 บาทนั้น ให้เวลาภาคเอกชนเตรียมตัวมา 1 ปีแล้วนั้น นายสรรเสริญ กล่าวว่า ในบางจังหวัดค่าแรงเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวเช่น จ.พะเยาจาก 159 บาทเป็น 300 บาท ศรีสะเกษจาก 160 บาท เป็น 300 บาท จึงปรับตัวไม่ทัน ดังนั้น นายกิตติรัตน์ ต้องเป็นนักธุรกิจเองจะได้รู้ว่า ค่าแรงที่ปรับแบบก้าวกระโดดเช่นนี้จะเอาอยู่หรือไม่ ทั้งนี้จาก 77 จังหวัด มีเพียง 7 จังหวัดเท่านั้นที่ค่าแรงอยู่ที่กว่า 200 บาท นอกจากนั้นต่ำกว่า 200 บาททั้งสิ้น ดังนั้นจึงควรจะชดเชยตามข้อเรียกร้องของเอกชน 3 ปีแบบขั้นบันได แต่รัฐบาลก็ไม่ตอบรับในประเด็นนี้ จึงนำมาสู่คำถามซึ่งพรรคอยากให้รัฐบาลตอบว่า ทำไมจึงไม่ดำเนินการเรื่องนี้ การอ้างว่าใช้เงินเปลืองกลัวว่าไม่มีเงินนั้น ทำไมจึงเอาเงินไปทำโครงการจำนำข้าวที่มีการทุจริตเป็นแสนล้านบาทต่อปีรัฐบาลยังเดินหน้า แต่การชดเชยค่าแรงซึ่งจะช่วยผู้ประกอบการและผู้ใช้แรงงาน รวมถึงประชาชนทั่วไป ทำไมรัฐบาลกลับถอยหลังไม่เดินหน้าช่วยเหลือ ถ้าอ้างว่าไม่มีเงินพรรคขอเสนอว่าให้ยกเลิกโครงการจำนำข้าวเป็นประกันรายได้

นายสรรเสริญ กล่าวด้วยว่า นโยบายที่จะลดภาษีให้กับธุรกิจเอสเอ็มอีจาก 3 %เหลือ 2 % ซึ่งจะทำให้รัฐขาดรายได้ 6.4 หมื่นล้านบาทต่อปีนั้น หากนำมาทอนเป็นตัวเงินให้กับภาคธุรกิจถือว่าน้อยมากจากมาตรการดังกล่าวเหมือนกับการนำค่าแรงมาหักภาษี จึงเป็นมาตรการที่ช่วยเหลือไม่ตรงจุดเช่นเดียวกับการลดภาษีนิติบุคคลเพราะเป็นการหว่านแหช่วยทุกธุรกิจไม่ได้ดูเฉพาะธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ รัฐบาลจึงควรทบทวนแนวทางใหม่ด้วยการชดเชยให้ตรงจุดกับธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจริงซึ่งจะเป็นการใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า

"และยังเห็นว่านโยบายประชานิยมหลายนโยบายของรัฐบาลไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางแผนไว้ เช่น โครงการรถยนต์คันแรก ซึ่งเดิมรัฐบาลคาดว่าจะเสียรายได้จากภาษีประมาณสามหมื่นล้านบาท  แต่กลับกลายเป็นว่ายอดทะลุเกือบแสนล้านบาทแล้ว และที่อันตรายที่สุดคือ นโยบายที่ยังไม่ได้แจกแจงตัวเลขคือใช้วิธีให้องค์กรอื่นเช่น ธนาคารรัฐควักเงินไปก่อน หมกเม็ดตัวเลขความเสียหาย เป็นเรื่องที่น่ากลัวที่สุด เพราะถ้าบานปลายจะเห็นชัดในปีหลัง ๆ เช่น จำนำข้าวเสียหายปีละ 1-1.5 แสนล้านบาท เป็นตัวถ่วงในเรื่องงบประมาณและเพิ่มหนี้สาธารณะ หากรัฐบาลชุดนี้บริหารครบ 4 ปีมีความเป็นไปได้หนี้สาธารณะทะลุ 60 % ของจีดีพี"นายสรรเสริญ กล่าว


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์