บวรศักดิ์ชี้กก.ปรองดองภาค4 ไม่สร้างความขัดแย้ง

บวรศักดิ์ชี้กก.ปรองดองภาค4 ไม่สร้างความขัดแย้ง

29 เม.ย. 58 ที่โรงแรมเซ็นทราศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวบรรยายพิเศษ เรื่อง “ประเด็นเด่นพลเมืองเป็นใหญ่ในรัฐธรรมนูญ”  ในงานสัมมนาของคณะกรรมาธิการปฏิรูปการคุ้มครองผู้บริโภค สภาปฏิรูปแห่งชาติ เรื่อง การรับฟังความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนเพื่อกำหนดทิศทางการคุ้มครองผู้บริโภค โดยได้กล่าวถึงภูมิหลังทางการเมืองไทยก่อนที่จะมีการร่างรัฐธรรมนูญในฉบับนี้ว่า  ประเทศไทยใช้รัฐธรรมนูญปี 2540 จนเกิดความขัดแย้งในปี 2548 จากการปลดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ จนพัฒนาเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและกลุ่มมวลชนคนเสื้อแดง เกิดสงครามตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ มีการประเมินความเสียหายคือ การชุมนุมปิดถนน สถานที่ตั้งแต่ปี 2549 จนถึงปี 2557  รวมระยะเวลาชุมนุมถึง 2 ปี เสียชีวิตร้อยกว่าคน บาดเจ็บสามพันกว่าคน ไม่นับความเสียหายทางเศรษฐกิจรวมสองล้านล้านบาท ซึ่งในยุครัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีตั้งคณะกรรมการ 3 ชุด คือคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ มีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน คระสมัชชาปฏิรูปประเทศ มีนายแพทย์ ประเวศ วะสี เป็นประธานและคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ  มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน โดยทำรายงานออกมาแต่อยู่บนหิ้งไม่มีใครเอาไปทำจนเกิดเรื่องกฎหมายนิรโทษกรรม คนออกมาประท้วงเป็นล้านเรียกร้องให้ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง กระทั้งรัฐบาลยุบสภาก็ยังแก้ปัญหาไม่ได้ จึงมีการทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เพื่อยุติความขัดแย้งและเดินหน้าเรื่องการปฏิรูปประเทศ
 
“ผมเรียกรัฐธรรมนูญฉบับนี้ว่าฉบับปฏิรูปแก้ปัญหาอดีตสองข้อคือ นำชาติสู่สันติสุข ทำการเมืองให้ใสสะอาดและสมดุล เพราะที่ผ่านมาพรรคการเมืองใหญ่แย่งชิงอำนาจเมื่อพรรคใดเป็นรัฐบาลอีกพรรคหนึ่งก็ลงบนท้องถนน จึงต้องกำหนดภาค 4 การปฏิรูปและการสร้างความปรองดอง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ว่าคณะกรรมการปรองดองจะสร้างความขัดแย้ง ซึ่งต้องบอกว่าถ้า คอป.ที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ตั้งขึ้นมาประสบความสำเร็จคงไม่จำเป็นต้องมีคณะกรรมการปรองดองในภาค 4 ซึ่งมีเวลาแค่ 5 ปีเท่านั้น เว้นแต่จะมีการทำประชามติต่ออีก 5 ปี จากนั้นก็สิ้นสภาพ ซึ่งกำหนดไว้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเกี้ยเซี๊ยะสร้างความยุติธรรมระยะเปลี่ยนผ่านพูดคุยแสวงจุดร่วมสงวนจุดต่างและหาข้อเท็จจริงว่าอะไรเกิดขึ้น คนทำผิดรุนแรงต้องถูกดำเนินคดี ใครให้ข้อเท็จจริงเป็นประโยชน์ไม่ทำผิดรุนแรงได้รับการให้อภัยโทษ” นายบวรศักดิ์ กล่าว
 
นายบวรศักดิ์ กล่าวต่อว่า การตีความอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการปรองดองฯว่าจะมีการหมกเม็ดตราพระราชกฤษฎีกาให้ประโยชน์กับคนใดคนหนึ่ง ทั้งที่ความจริงกฎหมายจะต้องมีลักษณะทั่วไป กำหนดเงื่อนไขว่าใครที่จะให้ความจริงเป็นประโยชน์ แสดงความสำนึกผิด ส่วนการอภัยโทษจะต้องทำผ่านขั้นตอนปกติจากรัฐบาลไปถึงพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถ้ารัฐบาลไม่ผ่านก็จบ หรือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่พระราชทานลงมาก็จบ ไม่มีการระบุชื่อคนในกฎหมาย ดังนั้นอำนาจในการเสนอพระราชกฤษฎีกาของคณะกรรมการปรองดองจึงเหมือนกับพระราชกฤษฎีกาทั่วไปในอดีต
 
“เมืองไทยระแวงเกินสมควร และมีการกล่าวหาโดยไม่ซักถาม การสร้างความปรองดองไม่จำเป็นต้องเขียนถ้าคอป.ที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ประสบความสำเร็จ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะรัฐบาลเป็นคู่ขัดแย้ง ขอให้สื่อมวลชนนำไปโค้ตเลยว่าผมตอบแบบนี้” นายบวรศักดิ์ กล่าว
 
นายบวรศักดิ์ ระบุอีกว่า การสร้างการเมืองทีใสสะอาดและสมดุลนั้น ต้องการสร้างพรรคการเมืองที่ดีของสมาชิกไม่ใช่ของหัวหน้าพรรคที่เป็นทุนใหญ่ เพราะเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ มีสาเหตุเกิดจากบังคับให้ส.ส.สังกัดพรรค เช่นเดียวกับกรณีกฎหมายนิรโทษกรรม หากไม่มีการบังคับส.ส.อาจไม่ลงมติเพราะกลัวเสียคะแนน ซึ่งขอยืนยันว่า การเขียนร่างรัฐธรรมนูญเพื่อแก้ปัญหาไม่ได้เกิดจากการมโน เพราะที่ผ่านมาชัดเจนว่ารัฐบาลเลือกตั้งไม่ปฏิรูปประเทศ จะเห็นได้จากงานของทั้งนายอานันท์ กับนายแพทย์ประเวศ ล้วนถูกทิ้งอยู่บนหิ้งไม่มีใครนำไปปฏิบัติตาม จึงจำเป็นต้องมีสภาขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การปฏิรูป และเชื่อว่าสุดท้ายร่างรัฐธรรมนูญนี้อาจจบที่การทำประชามติ เพราะคนที่คัดค้านมีแต่ฝ่ายการเมืองเท่านั้น
        
"ถ้าหัวหน้าพรรคสั่งซ้ายหันขวาหันได้ บางพรรคหนักข้อกว่านั้นให้กรรมการบริหารพรรคที่ไม่ได้ผ่านการเลือกตั้งบังคับส.ส.ที่เป็นตัวแทนประชาชนได้ ร่างรัฐธรรมนูญนี้จึงต้องการให้พรรคการเมืองเป็นประชาธิปไตย มีสมัชชาคุณธรรมคอยกำกับและให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบ” นายบวรศักดิ์ กล่าว

เครดิต :
เครดิต : เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์แนวหน้า


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์