นายกฯ แนะใช้เวทีจีบีซีประสานรอยร้าว ย้ำเขมรต้องถอนแม้วพ้นตำแหน่ง ปชป.ซัดจิ๋วผู้ร้ายวางเพลิง

นายกฯ แนะใช้เวที"จีบีซี"ประสานรอยร้าว ย้ำ"เขมร"ต้องถอน"แม้ว"พ้นตำแหน่ง ปชป.ซัด"จิ๋ว"ผู้ร้ายวางเพลิง

"อภิสิทธิ์"ขอบคุณเขมรบอกไม่มี"เทปลับ "แนะรมว.กลาโหม 2 ปท. ใช้เวที"จีบีซี"ประสานรอยร้าว รบ.มั่นใจเขมรไม่ถอดสัญญา"แคทช์" กร้าว"เขมร"ต้องถอน"แม้ว"พ้นตำแหน่ง รวมทั้งอย่าก้าวล่วงกระบวนการยุติธรรมไทย ปชป.เปรียบ"ทักษิณ-จิ๋ว"ผู้ร้ายวางเพลิง

รบ.ขอบคุณ"เขมร"ยันไม่มี"เทปลับ"


นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า กระทรวงการต่างประเทศกำลังดำเนิการอย่างเต็มที่ เพื่อช่วยเหลือนายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกร บริษัท คัมโบเดีย แอร์ ทราฟฟิค เซอร์วิสเซส จำกัด หรือแคทช์ ที่ถูกทางการกัมพูชาจับกุมตัวในข้อหาจารกรรมข้อมูลลับ


นายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายนว่า นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ บอกว่ากำลังดำเนินการอย่างเต็มที่และจะเร่งให้เร็วที่สุด ซึ่งท่าทีของกัมพูชาโดยรวมก็ดีขึ้น


เมื่อถามถึงว่า พล.อ.เตีย บัน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ตอบโต้คำพูดของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทยและแกนนำเสื้อแดง เรื่องเทปลับ จะช่วยให้สัมพันธภาพของสองประเทศคลี่คลายลงได้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ทราบว่านายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง กล่าวขอบคุณที่กัมพูชาช่วยยืนยันตามข้อเท็จจริงตรงไปตรงมาว่า ไม่ได้เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม ตนยังเห็นว่าเป็นเรื่องแปลกมาก หากนายจตุพรจะอ้างข้อมูลที่เป็นข้อมูลสำคัญของฝ่ายกัมพูชา เพราะน่าคิดว่าถ้าเป็นเช่นนั้นจริง บทบาทของใครเป็นอย่างไรจะลุกลามไปมาก


แนะกห.2ปท.ใช้เวที"จีบีซี"ประสาน


เมื่อถามว่า สถานการณ์ของสองประเทศขณะนี้ อยู่ในระดับไหนแล้ว นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า มีสองส่วน คือ ส่วนแรก ปัญหาที่เป็นเรื่องเฉพาะ เช่น กรณีของนายศิวรักษ์และกรณีของบริษัทแคทช์ ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัทสามารถฯ ซึ่งเร่งคลี่คลายกันอยู่ ซึ่งภาพรวมความสัมพันธ์คิดว่าอยู่ในจุดที่นิ่งอยู่ แต่ว่าในวันที่ 26-27 พฤศจิกายนนี้ จะประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (จีบีซี) ที่โรงแรมดุสิตธานี อ.พัทยา จ.ชลบุรี ที่ พล.อ.เตีย บัน เดินทางมาประชุมร่วมกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมไทย เชื่อว่าขณะนี้ทั้งสองฝ่ายมีความพร้อมที่จะพูดคุยกัน และปัญหาคงถูกจำกัดวงไว้แล้ว


เมื่อถามว่า การแต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลกัมพูชาและเรื่องของนายศิวรักษ์นั้น ต้องแยกเรื่องออกจากกันใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องแยกกัน เรื่องนายศิวรักษ์เป็นเรื่องที่ต้องรักษาสิทธิของคนไทยและช่วยเหลือในส่วนกระบวนการยุติธรรม


ย้ำเขมรต้องถอน"แม้ว"พ้นตำแหน่ง


ผู้สื่อข่าวถามว่า ข้อเสนอของนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ระบุควรให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสองประเทศไปหารือเพื่อแก้ปัญหา นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ก็หารือแต่ไม่มีสูตรสำเร็จ เพราะสถานการณ์แต่ละเรื่องนั้นใช้คนและกลไกที่แตกต่างกัน ขอให้มั่นใจแนวทางที่ตนวางไว้ตั้งแต่ต้นว่า สิ่งที่กระทำไปเป็นการแสดงจุดยืนอิงกับมาตรการสากลเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศ


เมื่อถามว่า จะส่งเอกอัครราชทูตไทยกลับไปประจำที่กรุงพนมเปญเมื่อใด นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อันนั้นโยงกับปัญหาพื้นฐานแรกที่เป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาขึ้นมา และกัมพูชาต้องทบทวนตรงนั้น


เมื่อถามว่า แสดงว่ากัมพูชาต้องส่งทูตมาไทยก่อนใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่ใช่ ปัญหาตรงนั้นเกิดจากการตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณเป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลกัมพูชา และมีข้อตกลงที่มีผลประโยชน์ขัดกัน รวมทั้งการก้าวล่วงกระบวนการยุติธรรมและการเมืองไทย ต้องแก้ตรงนั้น


เมื่อถามว่า หาก พ.ต.ท.ทักษิณยังเป็นที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชาอยู่ ไทยจะไม่ส่งทูตกลับไปยังกัมพูชาใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่ได้เจาะลงลึกว่าเป็นมาตรการใดที่ต้องยืนอย่างไร ตรงนั้นคือ ต้นตอของปัญหาและต้องแก้ไข หากจะให้กลับไปสู่ความเป็นปกติคือต้องถอยกลับไปเหมือนก่อนที่จะเกิดเรื่องขึ้นก็เท่านั้นเอง คือก่อนที่จะแต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณเป็นที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชาแค่นั้นเอง และทั้งหมดต้องอยู่ในพื้นฐานของการติดต่อและเจรจาเพื่อให้ได้ทางออกที่ดี 


ชี้ 3 อุปสรรคคุ้มครอง "คน-ธุรกิจ"ไทย


ที่พรรคประชาธิปัตย์ นพ.บุรณัชย์  สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงหลังประชุมคณะทำงานปฏิบัติการเพื่อประเมินสถานการณ์ทางการเมือง (วอร์รูม) พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อวิเคราะห์ปัญหาภายในประเทศและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศว่า  ที่ประชุมเห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศขณะนี้มีความคืบหน้า ทั้งในส่วนของสถานทูตและสถานกงสุล ในระดับหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการมีสิทธิ์เข้าเยี่ยมนายศิวรักษ์ การตั้งทีมทนายเพื่อช่วยเหลือ อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมเห็นว่า ยังมีอุปสรรคสำคัญ 3 ข้อต่อภารกิจรัฐบาลในการคุ้มครองคนไทยและธุรกิจไทยในประเทศกัมพูชาขณะนี้ คือ 1.การที่พรรคเพื่อไทยแสดงความเห็นในลักษณะซ้ำเติมปัญหาและฉวยโอกาสให้เหตุการณ์ถูกดึงเข้ามาเพื่อเป็นปัญหาในประเทศไทย ซึ่งอาจทำให้ข้อต่อสู้ในเรื่องคดีมีปัญหาได้ 


"2. กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปป.) นำโดยนายจตุพร ออกมาอ้างว่ามีคลิปเสียงนายกษิต แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีจริงหรือไม่  แต่เรื่องนี้เป็นการจงใจเพิ่มปัญหาเพื่อสร้างผลกระทบต่อปัญหาการคลี่คลายคดีนายศิวรักษ์ ซึ่ทางกัมพูชาออกมาระบุแล้วว่ากัมพูชา ไม่ให้มีการบันทึกเทปเสียงดังกล่าว ซึ่งที่ประชุมวิเคราะห์ว่า เหตุการณ์ที่น่าจะเกิดขึ้นได้ คือนายจตุพรคงล่วงรู้ว่ามีการบันทึกเทป ถ้าไม่ได้เกิดขึ้นที่กัมพูชา ก็อาจเกิดขึ้นจากเครือข่ายของพ.ต.ท.ทักษิณมากกว่า และมีความพยายามให้นายจตุพรส่งมอบเทปดังกล่าว ซึ่งข้อสงสัยดังกล่าวสอดรับกับคำพูดของนายจตุพรว่า เรื่องนี้ไปถึงมือฝ่ายกัมพูชาแล้ว" นพ.นพ.บุรณัชย์ กล่าว


เปรียบ"แม้ว+จิ๋ว"ผู้ร้ายวางเพลิง


โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า  3.พ.ต.ท.ทักษิณ และพล.อ.ชวลิตพยายามฉวยจังหวะและโอกาสเบี่ยงเบนประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้น จากากระทำของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไปกัมพูชาของพล.อ.ชวลิต ที่เป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาทั้งหมด และความพยายามเข้ามาไกล่เกลี่ยปัญหาขณะนี้ รวมถึงการให้สัมภาษณ์ "ไทมส์ ออนไลน์" ของพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นการสร้างข่าวขึ้นมากลบข่าวลบที่เกิดขึ้น ทางพรรคมองว่า ไม่ว่าจะมีเบื้องหลังในฐานะของการสมรู้ร่วมคิดจากคนไทยหรือไม่ก็ตาม ยืนยันว่ารัฐบาลยังคงเดินหน้าเพื่อช่วยเหลือและรักษาผลประโยชน์อย่างเต็มที่


"หากพ.ต.ท.ทักษิณและพล.อ.ชวลิต จะช่วยแก้ปัญหา ก็ขอให้แก้ตัวคน วิธีที่ดีที่สุดคือทั้งสองคนควรหยุดการเคลื่อนไหว หยุดทำร้ายประเทศไทย  เนื่องจากพฤติกรรมดังกล่าวเปรียบได้กับผู้ร้ายลอบวางเพลิงบ้านตัวเอง พอไฟไหม้แล้วก็กลับมาเป็นพระเอกอ้างว่าจะช่วยดับไฟ จะเข้าไปช่วยเหลือคนที่ติดในบ้าน ผมคิดว่าเป็นพฤติกรรมจัดฉากเพื่อแก้ปัญหาที่ตัวเองสร้างไว้ ขอให้คนไทยบางคนที่สมรู้ร่วมคิดกับบุคคลทั้งสองหันกับมารักษาผลประโยชน์ของชาติ" นพ.บุณัชย์ กล่าว 


แม่วิศกรอยากกอดลูกมาก


วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวเดินทางไปขอพบนางสิมารักษ์  ณ นครพนม  ครูชำนาญการพิเศษ หัวหน้าแผนกพาณิชยการ วิทยาลัยเทคนิคนครราชสีมา มารดานายศิวรักษ์ แต่นางสิมารักษ์ไม่ได้มาทำงาน จึงเดินทางไปที่บ้านภายในวิทยาลัยฯ แต่บ้านปิดเงียบ จึงสอบถามอาจารย์ภายในวิทยาลัย ทราบว่า นางสิมารักษ์ไม่ได้มาทำงานตั้งแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน


ผู้สื่อข่าวจึงติดต่อนางสิมารักษ์ทางโทรศัพท์ ซึ่งนางสิมารักษ์ กล่าวว่า มาพักอยู่กับหอพักของบุตรชายคนเล็ก ที่กรุงเทพฯ ตามคำแนะนำของกระทรวงการต่างประเทศ และเตรียมพร้อมเดินทางไปเยี่ยมนายศิวรักษ์ในเร็วๆ นี้ แต่ยังระบุไม่ได้ว่าจะเดินทางไปวันใด  ต้องรอการประสานจากกระทรวงการต่างประเทศ  ส่วนกรณีมีกระแสข่าวตนอาจเดินทางไปเยี่ยมลูกชายในวัน 23 พฤศจิกายนนั้น ขณะนี้ยังไม่มีใครยืนยันชัดเจน หากได้เดินทางไปในวันดังกล่าวจริง ตนจะดีใจมาก  เพราะคิดถึงลูกห่วงลูก อยากพบอยากกอดลูกชายมากที่สุด


เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์