นายกฯ เป็นปธ.งานเอ็สเอ็มอี

นายกฯ เป็นปธ.งานเอ็สเอ็มอี แนะภาคเอกชนปรับตัวเข้ากับข้อตกลงการค้าระหว่างปท.

ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เมื่อวันที่ 28 มกราคม เวลา 09.00 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกล่าวเปิดงานและสัมมนาเชิงปฏิบัติการ Thailand SMEs Expo 2010 ว่า ยินดียิ่งที่ได้เป็นประธานเปิดงาน เพราะแสดงศักยภาพของวิสหากกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เวลาที่พูดถึงเศรษฐกิจโดยเฉพาะมองดูภาพรวมของการดำเนินงานของประเทศ เรามักจะให้ความสำคัญกับความสนใจตัวเลขมหภาค เวลาที่พูดถึงอุตสาหกรรการค้า เราก็มักให้ควรมสนใจตัวเลขของโครงการขนาดใหญ่ แต่ข้อเท็จจริงของเศรษฐกิจในทุกแห่ง ทุกประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่ประสบความสำเร็จด้านอุตสาหกรรม บทบาทของเอสเอ็มอีเป็นสิ่งที่เป็นพื้นฐานสำคัญของโครงสร้างทางเศรษฐกิจทุกแห่ง เรามีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจำนวนมาก ประมาณ 2-3 ล้านกิจการ ถ้าคิดเป็นสัดส่วนก็เรียกว่าเกือบร้อยละ 99 ถ้าคิดเป็นมูลค่า 40% ของมวลรวมหรือจีดีพี และที่สำคัญคือเป็นแหล่งจ้างงาน 3 ใน 4 ของประเทศและนำรายได้เข้าประเทศถึง 1.7 ล้านล้านบาทต่อปี


นายกฯ กล่าวต่อว่า จะเห็นได้ว่าวิสาหกิจขนาดกลางขนาดย่อม มีบทบาทต่อประเทศอย่างยิ่งที่ผ่านมาการสนับสนุน ก็มักจะมุ่งไปในเรื่องของปัญหาแหล่งเงินทุน ต้องยอมรับว่าปัญหาแหล่งเงินทุนเป็นปัญาหสำคัญ ซึ่งยังมีความเสียเปรียบในการเข้าถึงทุน แต่ข้อเท็จจริงการส่งเสริมและสนับสนุนจะมุ่งแต่เงินทุนอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมองภาพรวมการเปลี่ยนแปลงสภาพการค้า การผลิต การแข่งขัน และต้องมีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความรู้ การวิเคราะห์ตลาด เทคโนโลยี และนวัตกรรมต่างๆ ดังนั้น รัฐบาลชุดปัจจุบันที่จะส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม จะต้องเสริมให้ครบวงจร ตนมองว่าเอสเอ็มอีถ้ามีความเข้มแข็งได้ทั่วประเทศก็จะสอดคลอ้งกับเป้าหมายที่ว่าไม่ต้องการให้กระจุกตัวแค่ในพื้นที่กทม.หรือปริมณฑล หรือในนิคมอุตสาหกรรม แต่ถ้าหากทำได้ก็หมายความว่าเราสามารถสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้ทั่วถึงและทำให้สังคมชนบทสามารถเป็นสังคมที่มีความมั่นคงจากการเปลี่ยนแปลงได้


นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันเอสเอ็มอีกระจายตัวในทุกสาขาอาชีพ ทั้งอุตสาหกรรม การค้า การบริการ ซึ่งการส่งเสริมเอสเอ็มอีนั้นรัฐบาลก็มีการผลักดันหลายโครงการ ภายในปฏิบัตการไทยเข้มแข็งมีการปรับโครงสร้างการผลิต เพื่อเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ ปรับเปลี่ยนเข้ากับโลก และเข้ากับข้อตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับต่างประเทศได้


"ปีที่แล้วที่เราเป็นประธานอาเซียน กลุ่มประเทศอาเซียน 10 ประเทศ พยายามผลักดันให้เกิดเขตการค้าเสรีใน 5 ปีข้างหน้า เอกชนได้หารือและให้ข้อคิดที่ดีว่าการเกิดเขตการค้าเสรีเป็นการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาลแต่โอกาสที่เปิดกว้างธุรกิจใหญ่จะพร้อมมากกว่า โดยเฉพาะธุรกิจข้ามชาติจะมีประสบการณ์และคุ้นเคยกับตลาดต่างประเทศมากกว่า แต่ตรงกันข้ามธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมจะขาดประสบการณ์ และรู้สึกว่าตลาดใหม่ภายใต้ข้อตกลงที่เกิดขึ้นอาจจะไกลเกินกว่าที่จะทำได้ และวิตกกังวลว่าจะมีคู่แข่งต่างประเทศที่มาจากตลาดใหญ่ ด้วยเหตุผลนี้รัฐบาล จึงนำไปสู่การศึกษาในแนวนโยบาย เพื่อหาโอกาสในเอสเอ็มอี ภายใต้การเปิดเสรีการค้าทั้งอาเซียนและที่ใหญ่กว่านั้น จะทำอย่างไรเพื่อให้อยู่ได้ จำเป็นที่เราจะต้องเตรียมความพร้อมให้เอสเอ็มอี"

นายกฯ กล่าวต่อว่า นอกจากนั้นข้อเท็จจริงที่ว่าภาคการผลิตส่วนใหญ่จะเป็นรับจ้างผลิตส่วนประกอบ ซึ่งในอดีตจนถึงปัจจุบันอาศัยความได้เปรียบเรื่องต้นทุนแรงงาน แต่ทุกคนก็ต้องตระหนักว่ากำลังจะหมดไปแล้วเพราะคู่แข่งในภูมิภาค มีต้นทุนแรงงานต่ำกว่าเราและกำลังก้าวสู่เศรษฐกิจระดับโลกที่เข้มแข็งขึ้น ดังนั้น การปรับโครงสร้างทางการผลิตคือการได้รับความรู้ อิงกับภูมิปัญญาของไทย จะเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างมูลค่าแก่สินค้าและบริการแก่สินค้าขนาดกลางและขนาดย่อม การประยุกต์ผสมผสานเพื่อเติมไปยังผลผลิตขนาดกลางและขนาดย่อมจะเป็นหัวใจในการผลิตสู่ตลาดทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก


นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า นอกจากเป้าหมายในการเสริมความเข้มแข็งสำหรับเอสเอ็มอีแล้ว วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่อิงกับชุมชนยังสามารถมีบทบาทในเรื่องสังคมได้อีกด้วย คือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ไม่ได้มีเป้าหมายที่สร้างกำไรสูงสุดแต่สามารถทำประโยชน์ทางสังคม ลักษณะเพื่อสังคมนี้จะเป็นอีกเรื่องสิ่งที่รัฐบาลกำลังเตรียมส่งเสริมและสนับสนุนเพื่อความอยู่รอด ดังนั้น จะเห็นได้ว่าเราอยู่ในยุคที่กำลังเปลี่ยนแปลง ทุกคนต้องปรับตัว และรัฐบาลก็มีหน้าที่ในการดูแลส่งเสริมสนับสนุนให้ครบถ้วนรอบด้านเพื่อความอยู่รอดของเอสเอ็มอี


นายกฯ กล่าวว่า การจัดงานในวันี้เป็นนิมิตรอันดี นอกจากจะแสดงให้เห็นศักยาภาพ กิจกรรมทั้งหลายที่จะมีขึ้น การได้ความรู้จากสัมนาหรือการพบปะกันต่างๆ นั้นเมื่อมีการถ่ายทอดและให้คำปรึกษาแล้วก็จะทำให้เห็นช่องทางในการทำธุรกิจได้ ขอเรียนอีกครั้งว่าตั้งแต่วันแรกที่รับตำแหน่ง แสดงความเชื่อมั่นในประเทศไทยและประชาชนคนไทย ซึ่งรวมถึบงผู้ประกอบการคนไทย และเมื่อมีนโยบายส่งเสริมครบวงจร ก็มั่นใจว่าผู้ประกอบการของไทยจะสามารถปรับตัวและสามารถเปลี่ยนแปลงพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น และสามารถขับเคื่อนเศรษฐกิจไทยไปข้างหน้าได้ ขอเป็นกำลังใจแก่ผู้ประกอบการและข้าราชการที่ส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมได้เดินเคียงข้างกันไป และนำไปสู่การนำความผาสุกสู่คนไทย


เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์