ทำเองก็แล้วจะโทษใคร? โดยเปลวสีเงิน

มีคนถามผมว่า "ปีหน้า..ระหว่างปรับ ครม.กับเปลี่ยน ครม. อย่างไหนจะเกิดขึ้นก่อน?" ผมว่าฟังดูทะแม่งๆ นะครับคำถามนี้ ฟังเผินก็ไม่เท่าไหร่


แต่ถ้าพิศ มันก็มีมุมน่าคิดอยู่เหมือนกัน

โดยเฉพาะคำที่ว่า "เปลี่ยน ครม." นั้น มันหมายถึง "คณะรัฐบาลใหม่" ทั้งชุด ไม่ใช่แค่เปลี่ยนตัว หรือเพิ่มตัวรัฐมนตรีตามความหมายของคำว่า "ปรับ ครม."

ยิ่งพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ท่านประกาศวานซืนว่า "ถ้าพบว่าการซื้อที่เขายายเที่ยงผิด ก็พร้อมจะลาออก"

นั่นทำให้ยิ่งต้อง "คิดมาก" ใหญ่เลย!

เพราะธรรมชาติคน "มีศีล-มีสัตย์" เป็นสรณะนั้น เมื่อเจอเรื่องก้ำกึ่งท้าทาย "จิตใต้สำนึก" ระหว่าง ผิด-ชอบ-ชั่ว-ดี แบบนี้ เท่าที่ผมสังเกต บุคคลประเภทนี้จะมี "จิตละอาย" สูงกว่าคนระดับปกติทั่วไป

เรียกว่า "ไม่ด้านพอ" และพร้อมจะแสดง "ความรับผิดชอบ" ให้เป็นบรรทัดฐานเสมอ!

ตรงนี้จะถือว่าเป็น "จุดอ่อน" หรือ "จุดแข็ง" ของบุคคลคุณธรรม ท่านทั้งหลายช่วยวิพากษ์-วิจารณ์ เป็นการแลกเปลี่ยนทัศนะกันด้วยก็แล้วกัน

และช่วยวิจารณ์ด้วยว่า บุคคลที่ต้องเข้ามาทำงานทางการเมืองนั้น ควรมีธาตุแบบไหนถึงจะ "ยังประโยชน์ให้สำเร็จ" ในการบริหารราชการงานเมืองให้กับ ประเทศชาติ ประชาชน และตัวเอง?

แบบ พ.ต.ท.ทักษิณ ๑๐๐% หรือว่า

แบบ พล.อ.สุรยุทธ์ ๑๐๐% หรือว่า

แบบสุรยุทธ์ ๗๐% ผสมด้วยแบบทักษิณซัก ๓๐%?

เรื่องนี้วางมาตรฐานตายตัว "แบบวัตถุ" เห็นจะยาก ก็เหมือนกับที่ได้สนทนากับคุณหมอท่านหนึ่งที่มาเยี่ยมเยียนกันวานนี้ว่า ทองคำบริสุทธิ์ ๑๐๐% มันก็นิ่ม ใช้ทำประโยชน์ได้ยาก

ฉะนั้น การใช้ทองคำเพื่อผลสำเร็จทางประโยชน์ทั้งหลายนั้น เขาจะนำทองเหลือง-ทองแดงส่วนหนึ่งไปผสมกับทองคำ เพื่อให้ทองคำบริสุทธิ์ที่นิ่มนั้น "แข็งขึ้น" เพื่อการใช้งาน

"ยังประโยชน์ส่วนรวมและส่วนตนให้สำเร็จ" นั่นเอง!

เหตุนี้ บรรดาเครื่องประดับตบแต่งอันสวยงาม และหลากหลายด้วยรูปทรงซึ่งทำด้วยทองคำดังที่เห็นๆ กันอยู่ แม้กระทั่ง "ทองรูปพรรณ" นั่นก็เถอะ จะเป็นทองผสม ๙๕-๙๘% เท่านั้น!

แต่ถ้าเอาแร่ธาตุอื่นมาผสมมากกว่านี้ เขาไม่เรียกว่าทองคำแล้วครับ แต่เขาจะเรียกว่า นาก บ้าง สามกษัตริย์ บ้าง หรือเป็น "ทองเก๊" ไปเลย

อย่าเพิ่งถกกันเรื่องนี้เลย รอให้ผ่านปีใหม่แล้วตั้งตา-ตั้งใจคอยดูเอาเองดีกว่า ผมว่าเหตุการณ์บ้านเมืองที่ทำความอึดอัด-ขัดข้องใจให้ท่านทั้งหลายอยู่เวลานี้ จะโทษใครโดยตรงไม่ได้หรอก

ต้องโทษรวมๆ ทั้ง คมช.-รัฐบาล คมช.

และโทษทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้เป็นบิดา "คลื่นใต้น้ำ"!

ฉาดแรก-ยื่นหลักฐานให้ ป.ป.ช.สอบนายกฯ สุรยุทธ์ ว่าถือครองที่ดินบริเวณ "เขายายเที่ยง" ได้อย่างไร เพราะเป็นพื้นที่ป่าสงวนฯ?

ฉาดที่สอง-กล่าวหาพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ประธาน คมช.จดทะเบียนสมรสซ้อน คือมีภรรยามากกว่าหนึ่ง แต่จดหมดทุกคน

ครับ..ฟังดูเป็นเรื่องง่ายๆ ภาษาชาวบ้านเขาจะว่า ไอ้พวกแพ้แล้วพาล "ยกเหตุมากวนโอ๊ย" แต่ด้วยการตอบโต้แบบ "วัวพันหลัก" และบนหลักการทุกคนเท่าเทียมกันด้วยกฎหมาย เมื่อมีโจทก์-จำเลยขึ้น หญ้าปากคอก มันก็ทำท่าเป็น "หญ้าบาดคอ"!

เหตุที่ "คลื่นใต้น้ำ" แต่เห็นๆ หน้ากันอยู่ว่าใครเป็นใครบ้าง กล้าเคลื่อนไหว "ท้าทาย" อำนาจรัฐบาลเผด็จการอำนาจทหารซึ่งๆ หน้า

นั่น..พูดได้คำเดียวว่า..ไม่ใช่เขากล้า

แต่เพราะ คมช.และรัฐบาล "น้ำยาน้อยไป" นั่นเอง!

ต้องโทษ คมช.ที่กล้ายึดอำนาจการปกครองเมื่อ ๑๙ กันยา. แต่ไม่กล้าใช้อำนาจนอกระบอบประชาธิปไตยนั้นจัดการกับ "ตัวปัญหา" อันเป็นที่มาของ "เหตุยึดอำนาจ" ชนิด..

เบ็ดเสร็จ-เด็ดขาด ตามครรลองธรรมนูญอำนาจปฏิวัติ!

คมช.อ้าง ๔ ฐานความผิดที่รัฐบาลทักษิณย่ำยีประเทศ อ้าง-แล้วก็ง้างคาทิ้งไว้จนวันนี้

คมช.ปัดสวะไปที่รัฐบาล คมช.ว่าเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ต้องทำ ๔ ข้อหานั้นให้เป็นรูปธรรม ตามกระบวนการกฎหมายบ้านเมือง

แล้ว คมช.ก็เขี่ยสวะต่อไปที่ คตส.บ้าง ป.ป.ช.บ้าง เหมือนเล่นเตะตะกร้อรอบวง สุดท้ายความผิดที่อ้างเป็นเหตุยึดอำนาจก็ "หาเจ้าภาพไม่ได้" กลายเป็นเปรตรอส่วนบุญจาก คตส.และ ป.ป.ช. ซึ่งว่าไปแล้ว "มันเป็นคนละส่วน" เปรตจะมานับญาติกับ คตส.และ ป.ป.ช. รอปันส่วนบุญจากส่วนของเขาเพื่อไปผุด-ไปเกิด

มันหาใช่ไม่!

จะกลัวบาป หรือเก็บไว้ทวงบุญคุณกับทักษิณวันหลังผมก็ไม่ทราบ แต่ที่เห็น ณ วันนี้ การยึดอำนาจแบบเผด็จการทหาร และการบริหารครึ่งประชาธิปไตยครึ่งเผด็จการทุกวันนี้

เท่ากับเปิดช่องให้ทักษิณและคลื่นใต้น้ำอ้าขาผวาปีก ตีโต้แล้วตะลุยรุกด้วย "ย่ามใจ" เพราะหยั่งเชิงมา ๓ เดือนกว่า สรุปแล้วว่ารัฐบาล คมช.และ คมช.

บ่มิไก๊!

ให้พลเอกสพรั่ง กัลยาณมิตร ผู้ช่วย ผบ.ทบ.ซึ่งมาจากกองทัพภาค ๓ เป็นผู้คุมอำนาจด้วยกำลังพลผสมกว่าหมื่นคน?

ทำไมจึงไม่ใช้กำลังทหารที่มีอยู่แล้วในพื้นที่กองทัพภาค ๑ หรือกองพล ๑ อันพร้อมอยู่แล้วในกรุงเทพฯ ซึ่งพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้ช่วย ผบ.ทบ.อีกท่าน เคยเป็น "ผู้บังคับบัญชา" โดยตรงมาก่อน?

และทำไม "ศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ" นี้จึงมีอายุแค่เดือนกันยายน ซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายที่พลเอกสนธิจะอยู่ในตำแหน่ง ผบ.ทบ.

และเป็นเดือนสุดท้ายของปีที่ "คนใด-คนหนึ่ง" ระหว่าง พลเอกอนุพงษ์ กับพลเอกสพรั่ง

ต้องขึ้นเป็น ผบ.ทบ.สืบต่อ!?

ครับ..เมื่อนับจากมกรา.ไป ก็เหลืออีกไม่กี่เดือนอายุรัฐบาลเฉพาะกิจก็จะสิ้น ถ้าตามกำหนดก็จะมีรัฐธรรมนูญใหม่ และปลายๆ ปีก็จะมีการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญใหม่

แต่ดูตามเหตุการณ์บนความเคลื่อนไหวแต่ละช็อตแล้ว ถ้าผมเป็นทักษิณ บนเวทีต่อสู้นั้นคำว่า "นาทีทอง" บางทีมันไม่ถึงนาทีหรอก แค่แว้บเดียว อาจเพียงเสี้ยวของวินาทีด้วยซ้ำ

ฉะนั้น จะปล่อยให้ผ่านไปโดยไม่ฉกฉวย..นั่นก็ไม่ใช่นักสู้ที่เจนสังเวียน!

เมื่อรูปการณ์เป็นอย่างนี้ ความเรียบร้อยที่นับวันจะยุ่งยาก ใครอยากจะโทษใครก็เลือกชี้เอาตามเหตุผลและข้อมูลที่ผมบอกไว้ข้างต้นนั้น

รัฐบาลที่ดีนั้น ไม่ได้หมายความว่าจะต้อง "ทำดี" เพื่อให้รัฐบาลดี

ตรงกันข้าม รัฐบาลที่ดีนั้น ต้องพร้อม "ทำชั่ว" เพื่อให้สังคมรวมดี

ลองคิดในมุมกลับนี้ซีครับ...

สมมุติ ถ้าไม่มีชาวบ้านทำบาปด้วยการ "ฆ่าปลา-ฆ่าไก่" แกงใส่บาตรถวายพระทุกวัน แล้วพระที่ต้องยังชีพด้วยการขอจากผู้อื่น ท่านจะเอาอะไรมาเป็นปัจจัยหล่อเลี้ยงสังขาร เพื่อสืบสานงานพระศาสนา?

รัฐบาลนักบุญก็ทำนองนี้ ในเมื่อจำต้องอาสามาเป็นผู้บริหารราชการงานเมือง ยิ่งโดยเฉพาะคนที่เคยเป็นทหารมาแล้ว ก็น่าจะเข้าใจดี

ขอสละตัวเองลงนรกด้วยการ "ฆ่าคนที่ควรฆ่า"

เพื่อทำหน้าที่ "ส่งประชาชน" อันเป็นสังคมรวม..ขึ้นสวรรค์!

ครับ..ทุกอย่างมันมี "คำตอบล่วงหน้า" ไว้หมดแล้ว เพียงเราแต่ละคนไม่รู้ และต่างซมซาน-กระเสือกกระสนกันไปสู่ปลายทางที่ไม่รู้ด้วยกันทั้งนั้น คิดแล้วก็น่าสงสารทั้ง..ชะตาบ้าน-ชะตาคน!