ทัพภาค4ประกาศ´เคอร์ฟิว´อ.ยะหา -บันนังสตาสกัดโจรใต้

ทัพภาค4ประกาศ´เคอร์ฟิว´อ.ยะหา -บันนังสตาสกัดโจรใต้


แม่ทัพภาคที่ 4 ประกาศเคอร์ฟิวพื้นที่ อ.ยะหา อ.บันนังสตา จ.ยะลา จำนวน 4 ฉบับ พร้อมส่งกำลังทหารเป็นกันชนสกัดโจรใต้ จุดชนวนสงครามศาสนาเต็มรูปแบบ

หลังจากเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ อ.ยะหา จ.ยะลา อย่างต่อเนื่อง ล่าสุด วันนี้ (15 มี.ค.) พล.ท.วิโรจน์ บัวจรูญ แม่ทัพภาคที่ 4 ในฐานะกองทัพภาคที่ 4 ได้ออกประกาศเร่งด่วนเพื่อควบคุมสถานการณ์เฉพาะหน้ารวม 4 ฉบับ ได้แก่




1.เรื่องประกาศห้ามการแต่งกายคล้ายเจ้าหน้าที่และทหาร

2.เรื่องการห้ามบุคคลออกนอกเคหะสถาน

3.เรื่องให้แจ้งการมีบุคคลนอกภูมิลำเนาเข้ามาพักอาศัยอยู่ด้วย และการพกพาบัตรประจำตัวประชาชน และ

4.ห้ามมิให้บุคคลใดใช้หรือมีเครื่องวิทยุคมนาคม หรือส่วนแห่งเครื่องวิทยุคมนาคมไว้ในความครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต

โดยประกาศฉบับที่ 1 ว่าด้วยเรื่อง ห้ามการแต่งกายคล้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ และ ทหาร มีรายละเอียดดังนี้

ตามที่ได้มีการประกาศใช้กฎอัยการศึกในเขตพื้นที่ จังหวัดยะลา, จังหวัดปัตตานี, จังหวัดนราธิวาส, อำเภอจะนะ, อำเภอเทพา, อำเภอนาทวี, อำเภอสะบ้าย้อย และอำเภอสะเดาจังหวัดสงขลา เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เวลา ๒๑.๐๕ นาฬิกา เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยให้เกิดกับประชาชน และความมั่นคงของรัฐ

แต่เนื่องจากกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบได้ดำเนินการก่อเหตุร้ายแรงขึ้นในเขตพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยในบางครั้งได้ทำการแต่งกายเลียนแบบคล้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือทหาร เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่เข้าใจผิดและเกลียดชัง ว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐได้ทำการข่มเหงรังแกประชาชน หรือเป็นผู้ก่อเหตุร้ายเสียเอง


เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่เกิดความสามัคคี


และไม่มีอคติกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พุทธศักราช ๒๔๕๗ จึงขอให้ประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวละเว้นและหลีกเลี่ยงการใช้เสื้อผ้าเครื่องแบบชุดลายพราง, ชุดฝึก สีเขียวขี้ม้าของทหาร, ชุดเครื่องแบบทหารพราน หรือชุดฝึกสีกากี, ชุดฝึกพรางสีกากีของตำรวจ หรือชุดเครื่องแบบที่คล้ายคลึงกันโดยไม่มีสิทธิ

ซึ่งถ้าบุคคลใดฝ่าฝืนประกาศคำสั่งนี้จะถือว่าเป็นบุคคลที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นผู้ที่ก่อความไม่สงบในพื้นที่ เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารจะพิจารณาดำเนินการตามพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พุทธศักราช ๒๔๕๗ ตามความเหมาะสมต่อไป และถือว่าบุคคลนั้นได้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติเครื่องแบบตำรวจ พุทธศักราช ๒๔๗๗ และพระราชบัญญัติเครื่องแบบทหาร พุทธศักราช ๒๔๗๗ จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ ปี ถึง ๑๐ ปี จึงขอได้โปรดให้ความร่วมมือเพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ดังกล่าวด้วย


ประกาศฉบับที่ 2


ว่าด้วยเรื่อง การห้ามบุคคลออกนอกเคหะสถาน มีรายละเอียด ตามที่ได้ประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักรตั้งแต่ วันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เวลา ๒๑.๐๕ นาฬิกา และหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ได้แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารตามกฎอัยการศึก พุทธศักราช ๒๔๕๗ ลงวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๔๙ ไปแล้วนั้น

ซึ่งต่อมาเมื่อ วันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๐ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศให้เลิกใช้กฎอัยการศึกในเขตพื้นที่ทั่วราชอาณาจักร นอกจากเขตพื้นที่ตามที่ระบุไว้ สำหรับจังหวัดชายแดนภาคใต้

ได้แก่ จังหวัดนราธิวาส,จังหวัดปัตตานี ,จังหวัดยะลา และจังหวัดสงขลา เฉพาะอำเภอจะนะ อำเภอเทพา อำเภอนาทวี อำเภอสะเดา และ อำเภอสะบ้าย้อย เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชนและความมั่นคงของรัฐ


เนื่องจากผู้ก่อความไม่สงบได้ดำเนินการก่อเหตุร้ายแรงขึ้น


ในเขตพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยกระทำการลอบวางระเบิดตามสถานที่ต่าง ๆ อาทิ เช่น สถานบันเทิง สถานีไฟฟ้าย่อย โชว์รูมรถยนต์ ห้างสรรพสินค้า ตลอดจนตามถนนหลายเส้นทาง และลอบวางเพลิงโรงเรียน โรงงานบ่มยางพารา อันก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้บริสุทธิ์เป็นจำนวนมาก อีกทั้งผู้ก่อความไม่สงบได้ก่อเหตุลอบยิงประชาชนผู้บริสุทธิ์โดยต่อเนื่องเป็นรายวัน โดยเฉพาะในยามวิกาล เป็นเหตุให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์เกิดความหวาดกลัวไม่สามารถประกอบอาชีพได้โดยปกติสุข

เพื่อให้การรักษาความสงบเรียบร้อย และการเข้าระงับปราบปรามเหตุร้ายที่เกิดขึ้นในเขตที่อยู่ในอำนาจประกาศใช้กฎอัยการศึกในเขตท้องที่ อำเภอยะหา และอำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พุทธศักราช ๒๔๕๗ มาตรา ๑๑ ห้ามประชาชน ในเขตท้องที่ดังกล่าวออกนอกเคหะสถานในระหว่างเวลา ๒๐.๐๐ นาฬิกา ถึงเวลา ๐๔.๐๐ นาฬิกา ของวันรุ่งขึ้น

อนึ่งสำหรับประชาชนที่มีความจำเป็นในการประกอบอาชีพ หรือปฏิบัติกิจตามประเพณีทางศาสนา ที่จะต้องออกนอกเคหะสถานภายในระยะเวลาก่อนคำสั่งนี้ให้ไปขออนุญาตที่หน่วยทหารภายในเขตพื้นที่รับผิดชอบ เพื่อรับบัตรอนุญาตเป็นการเฉพาะราย ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง


ประกาศกองทัพภาคที่ 4 ฉบับที่ 3


เรื่อง ให้แจ้งการมีบุคคลนอกภูมิลำเนาเข้ามาพักอาศัยอยู่ด้วย และการพกพาบัตรประจำตัวประชาชน

ตามที่ได้มีการประกาศใช้กฎอัยการศึกในเขตพื้นที่ จังหวัดยะลา, จังหวัดปัตตานี, จังหวัดนราธิวาส, อำเภอจะนะ, อำเภอเทพา, อำเภอนาทวี, อำเภอสะบ้าย้อย และอำเภอสะเดาจังหวัดสงขลา เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เวลา ๒๑.๐๕ นาฬิกา เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยให้เกิดกับประชาชน และความมั่นคงของรัฐ

แต่เนื่องจากกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบได้ดำเนินการก่อเหตุร้ายแรงขึ้นในเขตพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยอาศัยบุคคลผู้ที่มิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่ได้เข้ามาก่อเหตุอยู่เสมอ เพื่อเป็นการป้องกันและระงับเหตุจากผู้ก่อความไม่สงบ อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พุทธศักราช ๒๔๕๗ มาตรา ๑๑

จึงให้บุคคลผู้ที่เป็นเจ้าของบ้าน ต้องแจ้งให้หน่วยทหารที่อยู่ในเขตพื้นที่ของตนทราบว่ามีบุคคลที่อยู่นอกภูมิลำเนาเข้ามาพักอาศัยอยู่ด้วยภายในเวลาอันสมควร และให้ประชาชนที่มีภูมิลำเนาหรือเข้ามาในเขตพื้นที่ดังกล่าวต้องพกพาบัตรประจำตัวประชาชน เพื่อประโยชน์ในการตรวจค้นบุคคล ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารหรือตำรวจ โดยขอให้ปฏิบัติตามประกาศนี้โดยเคร่งครัด

มินั้นจะได้รับโทษ ตามกฎหมาย หรือเมื่อมีเหตุผลอันสมควรเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารจะดำเนินการตามพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พระพุทธศักราช ๒๔๕๗ ต่อไป


ประกาศกองทัพภาคที่ 4 ฉบับที่ 4


เรื่องห้ามมิให้บุคคลใดใช้หรือมีเครื่องวิทยุคมนาคม หรือส่วนแห่งเครื่องวิทยุคมนาคม ไว้ในความครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต

ตามที่มีการประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยให้เกิดกับประชาชนทั้งประเทศ แต่เนื่องจากกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบได้ดำเนินการก่อเหตุร้ายแรงขึ้นในเขตพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยอาศัยเครื่องวิทยุคมนาคมหรือส่วนแห่งเครื่องวิทยุคมนาคมเป็นอุปกรณ์ส่วนหนึ่งในการก่อเหตุการณ์ร้าย

เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ทางราชการทหารในการรักษาความสงบเรียบร้อย และความมั่นคงของชาติ กองทัพภาคที่ ๔ มีความจำเป็นที่จะต้องใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พุทธศักราช ๒๕๔๗ เพื่อกำหนดมาตรการในการป้องกันและปราบปราม เพื่อระวังเหตุที่อาจเกิดขึ้นในจังหวัดนราธิวาส,จังหวัดปัตตานี, จังหวัดยะลา, จังหวัดสงขลา และจังหวัดสตูล

จึงมีคำสั่งห้ามมิให้ผู้ใดใช้หรือมีเครื่องวิทยุคมนาคมเป็นอุปกรณ์ ไว้ในครอบครองโดยมิได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต และหรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารเป็นผู้รับรองบุคคลนั้นๆ แล้ว รวมทั้งห้ามมิให้ห้างร้านค้าใด ที่จำหน่ายเครื่องวิทยุคมนาคมหรือส่วนแห่งเครื่องวิทยุคมนาคม มีเครื่องวิทยุคมนาคมไว้ในครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมาย


หรือใช้เพื่อก่อความไม่สงบ


สนับสนุนหรือให้เป็นประโยชน์แก่กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ โดยให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารมีอำนาจทำการตรวจค้น เข้าไปในสถานที่หรือยานพาหนะของบุคคลใดๆ ได้ทุกเวลา และยึดเครื่องวิทยุคมนาคมหรือส่วนแห่งเครื่องวิทยุคมนาคมที่ต้องห้ามหรือมีไว้ในครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เพื่อมิให้เป็นประโยชน์แก่ผู้ก่อความไม่สงบหรือเพื่อเป็นประโยชน์แก่ทางราชการได้

จากเหตุผลและความจำเป็นดังกล่าวในเบื้องต้น จึงแจ้งประกาศมายังเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองเพื่อทราบ และดำเนินการแจ้งให้ส่วนราชการต่างๆ ตลอดจนประชาชนหรือห้างร้านค้าในเขตพื้นที่ประกาศใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พุทธศักราช ๒๕๔๗ ได้รับทราบ โดยให้ผู้ที่มีเครื่องวิทยุคมนาคมหรือส่วนแห่งเครื่องวิทยุคมนาคมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนำส่งแก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง หรือแจ้งจำนวนการมีเครื่องวิทยุคมนาคมหรือส่วนแห่งเครื่องวิทยุคมนาคมที่ไว้ในครอบครองชอบด้วยกฎหมายแก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองท้องที่ นับแต่วันทราบประกาศนี้ ถ้าผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประกาศ

เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารจะทำการควบคุมบุคคลนั้นไว้ ตามอำนาจในกฎหมายว่าด้วยกฎอัยการศึก ทั้งจะดำเนินคดีอาญาแก่ผู้กระทำผิด ซึ่งความผิดที่ต้องได้รับมีอัตราโทษสูงสุด จำคุกไม่เกิน ๕ ปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พุทธศักราช ๒๔๘๙ จึงขอได้โปรดให้ความร่วมมือเพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ดังกล่าวด้วย



ขอขอบคุณ : ข้อมูลข่าวที่มีคุณภาพ

จาก หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์