ทรท.ป่วน งัด ม.7 ผ่าทางตัน ปาร์ตี้ลิสต์

ทรท.ป่วน งัด ม.7 ผ่าทางตัน ปาร์ตี้ลิสต์

ท่ามกลางกระแสการเมือง ที่ร้อนระอุทั้งกลุ่มผู้ชุมนุมที่กดดัน ฝ่ายค้านก็เปิดประเด็น โจมตีรัฐบาลอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่สังคมก็เรียกร้อง ให้นายกฯลาออกจากตำแหน่ง จนมีกระแสข่าวลือว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ได้เรียกประชุมรัฐมนตรี และแกนนำพรรคไทยรักไทย เป็นการด่วนที่บ้านพิษณุโลก โดยมีคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยานายกฯ เข้าร่วมประชุมด้วย ท่ามกลางข่าวลือเรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณอาจจะ ตัดสินใจเว้นวรรคทางการเมืองนั้น

ทักษิณ เปิดบ้านพิษฯหารือแกนนำ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 13 มี.ค. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ได้เดินทางออกจากบ้านจันทร์ส่องหล้า ซอยจรัญสนิทวงศ์ 69 ไปยังบ้านพิษณุโลก ทั้งนี้ ได้เรียก รัฐมนตรีผู้ใกล้ชิดมาหารือ อาทิ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รอง นายกฯและ รมว.อุตสาหกรรม คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ รมว.เกษตรฯ พล.อ.อ.คงศักดิ์ วันทนา รมว.มหาดไทย นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รมว.คมนาคม นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.มหาดไทย นายเนวิน ชิดชอบ รมช.เกษตรฯ นายภูมิธรรม เวชยชัย รมช.คมนาคม น.พ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกฯ และน.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี โฆษกประจำสำนักนายกฯ โดยมีคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยานายกฯ ตามมาร่วมหารือด้วยในภายหลัง โดยในช่วงสายถึงเที่ยงได้มีรถของบรรดารัฐมนตรีเข้าออกบ้านพิษณุโลกเป็นระยะๆ จน กระทั่งเวลา 13.40 น. พ.ต.ท.ทักษิณได้เดินทางออกจากบ้านพิษณุโลกไปยังท่าอากาศยานกรุงเทพ เพื่อเดินทางไปปฏิบัติราชการและปราศรัยหาเสียงที่ จ.อุบลราชธานี โดย พ.ต.ท.ทักษิณมีสีหน้าอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด

เผยแหล่งอัญเชิญแพร่พระราชดำรัส

พ.ต.ท.ทักษิณได้ให้สัมภาษณ์ที่ท่าอากาศยานกรุงเทพ ก่อนออกเดินทางไป จ.อุบลราชธานีว่า ไม่ได้ เป็นการเรียกประชุม ครม. เพียงแต่ได้นัดไปคุยในการมอบหมายงานเพราะไม่อยู่ 3 วัน ส่วนการร่วมประชุม ครม.ทางวีดิโอคอนเฟอเรนซ์นั้น อาจจะถ่ายทอดมาจาก จ.อุบลราชธานี

พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวถึงกรณีที่โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ได้อัญเชิญพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในช่วงเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 มาออกอากาศในช่วงนี้ว่า เป็นเรื่องที่ดี เพราะทุกคนจะได้เข้าใจว่า การที่ขัดแย้งกันไม่ได้เป็นสิ่งที่ดี เพราะ ว่าไม่มีใครชนะผลสุดท้ายคนที่แพ้มากกว่าคือประเทศชาติกับประชาชน เป็นพระราชดำรัสที่ทุกคนต้องน้อมเกล้าฯรับไป ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลเป็นผู้ประสานให้โทรทัศน์ รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยนำไปออกอากาศใช่หรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณตอบว่า เป็นการประสานมาจากสำนักพระราชวัง และทางราชการก็มีหน้าที่ดำเนินการ เมื่อถามว่า จะทำอย่างไรให้เข้าสู่สันติตามแนวทางพระราชดำรัส พ.ต.ท.ทักษิณตอบว่า ตอนนี้หลายฝ่ายก็พูดคุยกันอยู่ ตอนนี้มีการพูดคุยกันอยู่

เสียงอ่อยไม่ปฏิเสธเส้นทางสู่สันติ

ต่อข้อถามถึงกรณีที่ พล.อ.สุจินดา คราประยูร อดีตนายกรัฐมนตรี เสนอให้ตั้งคณะกรรมการอนุญาโตตุลาการโดยให้นายสันติ ทักราล องคมนตรี เป็นประธานพิจารณายุติปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น พ.ต.ท.ทักษิณตอบเพียงว่า ตอนนี้มีการพูดคุยกันอยู่ เมื่อถามว่าหมายความตอนนี้มีแนวโน้มที่จะมีการหารือร่วมกัน พ.ต.ท.ทักษิณตอบว่า ก็มีการพูดคุยกันอยู่ในหลายๆฝ่ายพูดคุยกันอยู่ แต่แนวทางจะเป็นอย่างไรยังไม่ทราบ แต่ว่ามีการพูดคุยกันอยู่ พรรคพวกตนไปพูดคุยกันอยู่และคอยมาถามแนวทางตนตลอดเวลา และก็เห็นด้วยกับแนวทางสันติวิธีอยู่แล้ว เมื่อถามต่อว่าแนวโน้มจะมีการปิดห้องคุยกันระหว่าง 3 ฝ่ายหรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณตอบว่า เรื่องนั้นยังไม่ทราบถึงขั้นไหน แต่ว่าตอนนี้ระดับรัฐมนตรีของพรรคได้ไปพูดคุยกับบางกลุ่ม ส่วนเวทีของที่ประชุมอธิการบดีทั่วประเทศ (ทปอ.) เสนอก็ถือเป็นอีกเวทีหนึ่ง เมื่อถามว่าแนวทางสู่สันติจะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้หรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณตอบว่า ดีครับ ดีๆน่าจะเป็นอย่างนั้น

รัฐบาลน้อมรับกระแสพระราชดำรัส

น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า รัฐบาลได้น้อมนำกระแสพระราชดำรัสดังกล่าวมายึดถือปฏิบัติ โดยการหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าระหว่างคนไทยที่มีความเห็นแตกต่างกัน และเน้นการจะหันหน้า เข้าหากัน โดยจะมีการปรึกษาหารือ เพื่อช่วยกันทำให้เราสามารถจะหาทางออกที่ดีที่สุดสำหรับสังคมไทย เพื่อทำให้ประเทศไทยก้าวหน้าและพัฒนาต่อไป สำหรับรัฐบาลจะไม่ตีความกระแสพระราชดำรัสไปในทิศทางอื่น ที่นอกเหนือจากที่ได้มีการพระราชทานไว้แล้ว และคิดว่าไม่บังควรที่ผู้ใดจะตีความกระแสพระราชดำรัสไปในทิศทางใดๆทั้งสิ้น เพราะกระแสพระราชดำรัสที่ได้ พระราชทานไว้มีความชัดเจนอยู่แล้วว่า อยากให้คนไทยหันหน้าเข้าหากัน ขณะนี้รัฐบาลเองก็ได้มอบหมายให้ รัฐมนตรีหลายท่าน ทั้งนายพินิจ จารุสมบัติ นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ รมต.ประจำสำนักนายกฯ นายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ รมช.พาณิชย์ นายสุธรรม แสงประทุม กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ได้ประสานกับตัวแทนกับประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ที่จะจัดให้มีการหารือกัน เพราะต้องมีการรับฟังความเห็นของคนอื่นด้วย เพื่อที่จะทำให้ทุกฝ่ายที่มีความเห็นแตกต่างกันได้มีโอกาสหันหน้ามาพูดคุยกัน โดยเมื่อการประสานงานเบื้องต้นได้รูปแบบที่เห็นพ้องต้องกันทั้งสามฝ่ายแล้ว ท่านนายกฯก็พร้อมที่จะเข้าร่วมการเจรจาด้วยตัวเอง

พยายามหาทางหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า

เมื่อถามว่ารัฐบาลยังคงยืนยันที่จะให้ปิดห้องคุยกันใช่หรือไม่ น.พ.สุรพงษ์ตอบว่า ถ้าเป็นหลักการที่เราอยากจะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า หลีกเลี่ยงการโต้วาทีที่ใช้คำว่าดีเบต การมาพูดคุยเพื่อหาทางออกนั้น เราจะต้องพยายามสร้างบรรยากาศของการพยายามหาทางออกกันจริง วันนี้ต้องหยุดความพยายามที่จะโต้วาทีกัน หรือชักจูงกันเพื่อให้คนอื่นเห็นคล้อยตามตัวเอง การที่จะมีการเจรจากันโดยมีคนอื่นร่วมด้วยก็อาจจะเป็นไปได้ แต่หากต้องถึงขนาดถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์ เป็นเงื่อนไขที่สำคัญจริงหรือไม่ การที่บอกว่าจะหาทางออกให้สังคมไทยทำไม ถึงต้องตั้งเงื่อนไขให้มีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์

ที่มาที่ไปของการอัญเชิญกระแสพระราชดำรัสมาเผยแพร่ ไม่ใช่เป็นคำสั่งหรือการร้องขอให้ทางทีวีพูลดำเนินการจากฝ่ายรัฐบาล เพราะไม่ใช่เรื่องที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะอัญเชิญมาได้โดยพลการ หากไม่ได้รับพระบรมราชานุญาต เรื่องนี้คงต้องไปสอบถามทางประธานทีวีพูลเอง น.พ.สุรพงษ์กล่าว

น.พ.สุรพงษ์กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ ในการหารือระหว่างนายกฯกับแกนนำพรรคเมื่อช่วงเที่ยงวันที่ 13 มี.ค. ทางนายพินิจได้มารายงานให้นายกฯทราบ ถึงผลการหารือประสานงานในเบื้องต้นว่าในการพูดคุยมีความคืบหน้าไปพอสมควร โดยทาง ทปอ.จะได้มีการประสานกับฝ่ายค้านและกลุ่มพันธมิตรฯต่อไป

รัฐบาลปิดปากเรื่องพระราชดำรัส

พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกฯ และ รมว. ยุติธรรม กล่าวถึงกรณีที่โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ นำเทปบันทึกภาพพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในเหตุการณ์เดือนพฤษภาทมิฬมาออกอากาศว่า เป็นการเตือนสติทุกฝ่าย ในฐานะรัฐบาลอยากให้เกิดความสันติ ให้ทุกคนมานั่งคุยกัน เชื่อว่าทุกฝ่ายน่าจะคุยกันรู้เรื่อง เพราะอยากเห็นบ้านเมืองมีความสันติ โดยในวันที่ 14 มี.ค. ครม. ก็ยังมาประชุมตามปกติ เพียงแต่นายกรัฐมนตรีไม่อยู่ประชุมด้วย เป็นแผนโรดแมปหาเสียงของนายกรัฐมนตรี ไม่ได้เป็นเพราะกลุ่มผู้ชุมนุมจะเดินทางมาที่ทำเนียบรัฐบาล

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ปฏิเสธที่จะให้ สัมภาษณ์กรณีดังกล่าว โดยบอกเพียงสั้นๆว่า ไม่ทราบๆ และโยนกลับให้ผู้สื่อข่าวไปถามขั้นตอนการนำพระราช ดำรัสมาออกอากาศจากทีวีพูลเอาเอง

นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ รมต.ประจำสำนักนายกฯ ก็ปฏิเสธตอบคำถามสื่อมวลชนในเรื่องนี้เช่นกัน โดยกล่าวสั้นๆว่า พูดไม่ได้ แล้วรีบวิ่งหนีขึ้นห้องทำงานไปทันที

ยอมรับสังคมอยู่ในภาวะตึงเครียด

นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ขณะนี้ตนและรัฐมนตรีหลายคน ได้ไปคุยกับหลายกลุ่ม โดยเฉพาะอธิการบดีจากมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อหาทางออกในปัญหาของบ้านเมืองเวลานี้ ไม่ให้เกิดความรุนแรงขึ้น ทั้งนี้ อยากให้เข้าใจว่ารัฐบาลอยากให้มีการเลือกตั้ง และพร้อมเจรจากับทุกฝ่าย แต่ยังไม่มีความชัดเจนว่า จะมีการเจรจาหารือกันเมื่อใด ขณะนี้สังคมรู้สึกว่าการเมืองบีบรัด เขม็งเกลียว จึงอยากให้ทุกฝ่ายตั้งสติ หาทางป้องกันความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้น ส่วนกรณีที่ทีวีพูลนำเทปพระราชดำรัสมาออกอากาศนั้น ส่วนตัวก็ตีความไม่ถูกและไม่รู้จะตีความอย่างไร แต่ส่วนตัวไม่นิยมอาศัยการอ้างรัฐธรรมนูญในลักษณะแบบนี้ เพื่อแก้ปัญหาทางการเมือง ใครจะชี้แจงอะไรก็ชี้แจงกันไป

นายพินิจ จารุสมบัติ รมว.สาธารณสุข รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานประสานงานการเปิดโต๊ะเจรจา โดยมีที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) เป็นคนกลาง กล่าวว่า ได้เข้าพบ พ.ต.ท.ทักษิณที่บ้านพิษณุโลก เพื่อรายงานความคืบหน้าในการเจรจาหารือในเบื้องต้น โดยนายกฯให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ คณะทำงานเราพร้อมที่จะเจรจา ไม่ว่าทาง ทปอ. จะกำหนดรูปแบบเงื่อนไข หรือจะให้ไปคุยกันที่ไหน ทางเราไม่มีการตั้งเงื่อนไขแต่อย่างใด ทั้งนี้จะเร่งเดินหน้าการเจรจาโดยเร็วที่สุด

แก้วขวัญ ไม่เห็นด้วยกับทีวีพูล

นายแก้วขวัญ วัชโรทัย เลขาธิการพระราชวัง กล่าวภายหลังร่วมการประชุมคณะกรรมการจัดงานนิทรรศการ เฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ว่า ไม่ได้ฟัง ไม่ทราบและไม่ได้ ดูจริงๆ เมื่อถามว่าหลายฝ่ายสงสัยว่าการอัญเชิญพระราชดำรัสดังกล่าว ออกมาจากสำนักพระราชวังหรือไม่ นายแก้วขวัญกล่าวว่า ไม่มี วันนี้ยังไม่ถึงวังเลย มีประชุมตั้งแต่เช้า และโดยส่วนตัวแล้วไม่เห็นด้วยที่จะมีการนำภาพเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬมาเผยแพร่ เพราะก็ปกติดีๆ อยู่แล้ว ทำไมจะไปทำให้ยุ่ง ตนไม่เห็นด้วยกับความรุนแรง เพราะเราคนไทยรักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด

พล.อ.สุจินดา คราประยูร อดีตนายกฯ กล่าวว่า ไม่ทราบว่าเป็นคำสั่งของใคร ที่ให้นำเทปบันทึกภาพออกมาเผยแพร่ แต่คิดว่าไม่มีอะไรที่เสียหาย เพราะคงเป็นการเตือนสติให้คนในชาติมีความรัก ความสามัคคี ตามพระราชกระแสรับสั่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ต้องการให้เกิดความสงบสุข ไม่อยากให้เกิดการทะเลาะกัน ขณะเดียวกันก็มองว่าบ้านเมืองขณะนี้ยังไม่ถึงทางตัน ดังนั้น ต้องหาคนกลางมาไกล่เกลี่ย หากประชาชนยังมีความเห็นไม่ตรงกัน และแตกแยกกันอยู่จะไม่ส่งผลดี

บก.ทหารสูงสุดไม่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้

พล.ท.พลางกูร กล้าหาญ เจ้ากรมกิจการพลเรือนทหาร ในฐานะโฆษกกองทัพไทย กล่าวว่า กองบัญชาการทหารสูงสุดไม่ได้เกี่ยวข้องหรือมีคำสั่งให้ทีวีพูล นำพระราชดำรัสหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ มาออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ เมื่อคืนวันที่ 12 มี.ค. เป็นเรื่องของบอร์ดทีวีพูลในการตัดสินใจ แต่การที่สถานีวิทยุกระจายเสียงในเครือของ บก.ทหารสูงสุด นำเสนอพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวันที่ 20 พ.ค. มาเผยแพร่ก่อนหน้านี้ประมาณ 2 สัปดาห์ เป็น การรวบรวมพระราชดำรัสในหลายวาระ ที่เกี่ยวเนื่องกับความรักสามัคคีของคนในชาติ เป็นไปตามมติของคณะกรรมการปฏิบัติการจิตวิทยาแห่งชาติ (กจว.) ที่มี พล.อ.เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ ผบ.ทหารสูงสุดเป็นประธาน มี ผบ.เหล่าทัพเป็นกรรมการ มองว่าเป็นพระราชดำรัสที่สามารถนำไปใช้ในสถานการณ์ปัจจุบันได้ดี เราก็เผยแพร่ มานานแล้ว ในส่วนที่เราจะทำต่อไปคือการจัดพิมพ์หนังสือพระราชดำรัสเกี่ยวกับทหาร เพื่อแจกจ่ายให้นายทหารสัญญาบัตรทุกคน ตอนนี้ได้รับการอนุมัติแล้ว เตรียมจะ มีการแจกจ่ายในเร็วๆนี้

พงศ์เทพ ให้ใช้มาตรา 7 ปลดล็อก

ทางด้านความคืบหน้าเรื่องการลาออกจากสมาชิกพรรคไทยรักไทย ของ น.พ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ ผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อนั้น วันเดียวกัน นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย กล่าวว่า ตอนนี้ปัญหายังไม่เกิดจึงไม่จำเป็นต้องดำเนินการอะไร ต้องรอดูผลการเลือกตั้งในวันที่ 2 เม.ย.นี้ก่อนว่า พรรคใดจะได้ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อกี่คน อย่างแรกต้องดูว่า กกต.จะประกาศรับรอง ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคไทยรักไทยเท่าใดด้วย จากนั้นฝ่ายบริหารคือรัฐบาลรักษาการจึงจะมาตัดสินใจว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป ทั้งนี้คงนำมาเทียบเคียงกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ตัดสินเรื่ององค์ประชุมของวุฒิสภาด้วย กรณีองค์ประชุมของสภาผู้แทนราษฎรนั้น แตกต่างจากองค์ประชุมของวุฒิสภา เนื่องจากรัฐธรรมนูญระบุให้ต้องมีการเปิดประชุมสภา ผู้แทนราษฎรภายใน 30 วันนับจากวันเลือกตั้ง อย่างไรก็ตามหาก กกต.ประกาศรับรอง ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อของพรรค ไทยรักไทยเพียงแค่ 99 คน ก็อาจจะต้องมีการนำมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญมาใช้ เนื่องจากมาตรา 7 เป็นมาตราที่จะนำมาใช้ในการอุดช่องว่าง ถึงเวลานั้นฝ่ายบริหารก็จะเป็นผู้พิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป ในฐานะที่ฝ่ายบริหารเป็นผู้เสนอให้ออกพระราชกฤษฎีกาเปิดประชุมรัฐสภา

วิษณุ ชี้ใช้มาตรา 7 แก้ปัญหาไม่ได้

ต่อข้อถามว่าหากครั้งนี้ฝ่ายบริหารจะอ้างนำมาตรา 7 มาใช้ จะถือเป็นการปฏิบัติสองมาตรฐานหรือไม่ เพราะเคยไม่เห็นด้วยกับการนำมาตรา 7 มาใช้ในการขอนายกฯพระราชทาน นายพงศ์เทพตอบว่า พรรคไม่เคยปฏิเสธมาตรา 7 เพราะถือว่าเป็นมาตราที่จะนำมาใช้ในการอุดช่องว่าง ในกรณีที่ไม่มีบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญได้ แต่ถ้ากรณีใดที่มีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว ก็ไม่ควรหยิบมาตรานี้มาใช้

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ กล่าวว่า ปัญหาเรื่อง ส.ส.ไม่ครบ 500 คน ต้องก่อให้เป็นปัญหาแน่ ตอนนี้เป็นทุกเรื่อง เป็นปัญหาได้ทุกวัน เมื่อถามว่า เมื่อเป็นอย่างนี้จะสามารถนำเอามาตรา 7 แห่งรัฐธรรมนูญที่ระบุว่าในกรณีที่ไม่มีบทบัญญัติที่กำหนดไว้มาแก้ปัญหาได้หรือไม่ นายวิษณุตอบว่า ไม่ได้หรอก มันต้องหาทางอื่นของมันเอง ส่วนทางออกอื่น จะเป็นอย่างไรยังตอบไม่ถูก คือเราไปนึกกันว่าถ้ามี ส.ส.ไม่ครบ 500 คน ก็ไม่สามารถเรียกประชุมเปิดสภาฯได้ โดยเราไปเทียบกับกรณีของวุฒิสภา เสร็จแล้วก็มีบางคนบอกว่าทำไมต้องเอาไปเทียบแบบนั้น ดังนั้น จึงต้องไปทะเลาะกับศาลรัฐธรรมนูญ โดยในขณะที่ยังไม่มีสภาฯ ก็ต้องเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่จะเป็นผู้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ

ฝ่ายกฎหมาย ทรท.ตามบี้ พระเปรม

นายสุขุมพงศ์ โง่นคำ ผู้สมัครบัญชีรายชื่อพรรคไทยรักไทย ฝ่ายกฎหมายพรรค กล่าวว่า กฎหมายรัฐธรรมนูญไม่ประสงค์ให้ผู้สมัคร ทั้งระบบเขตหรือบัญชีรายชื่อ ลาออกในระหว่างการเลือกตั้งเพื่อป้องกันผู้สมัครแบ่งเขตเหลือเพียง 1 คน หรือผู้สมัครบัญชีรายชื่อมีจำนวนไม่ครบ 100 คน จึงห้ามไม่ให้มีการถอนชื่อออกจากการเป็นผู้สมัคร กรณีของพระเปรมศักดิ์ที่ลาออกจากสมาชิกพรรคและการลาบวช ถือเป็นการถอนชื่อจากผู้สมัครโดยปริยาย ภาษากฎหมายถือว่าเป็นการทำนิติกรรมอำพรางที่ฉ้อฉล และ กฎหมายรัฐธรรมนูญไม่กำหนดให้มีการเลือกตั้ง ส.ส. ในระบบบัญชีรายชื่อใหม่ได้ ปัญหาดังกล่าวยังได้เกิดกับพรรคขนาดเล็กที่ส่งผู้สมัครเพียง 5 คน แต่หากได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อถึง 7 คน ก็จะมีปัญหา แต่กฎหมายรัฐธรรมนูญได้อุดช่องโหว่ ผ่านรัฐธรรมนูญในมาตรา 101 ที่ระบุว่า อายุของสภาเริ่มจากวันเลือกตั้ง ดังนั้น หาก ส.ส.บัญชีรายชื่อไม่ถึง 100 คน ก็ให้ยึดตามจำนวนเท่าที่มีอยู่ ดังนั้นหากพรรคไทยรักไทยได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน ก็เท่ากับมีจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรค 99 คน ส่วนการใช้มาตรา 7 ก็เป็นสิทธิที่จะตีความได้ และหากมีความเห็นที่ขัดแย้งกันก็สามารถส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ

สึกจากพระออกมาก็คงไม่มีใครคบ

นายประชา ประสพดี ผู้สมัคร ส.ส.สมุทรปราการ พรรคไทยรักไทย กล่าวว่า เมื่อพระเปรมศักดิ์บวชแล้ว ก็หวังว่าจะระลึกถึงความชั่วร้ายที่ตัวเองสร้างไว้ บวชแล้วคงจะไปกล่อมเกลาให้จิตใจดีขึ้น เมื่อบวชแล้วคงกลับตัวเป็นคนดีมากขึ้น เพราะกลับมาแล้วคงไม่มีใครคบด้วย อย่าอาศัยผ้าเหลือง การลาออกจากผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อไปได้ข่าวมาว่ามีกระเป๋าหิ้วติดไปด้วยจนเอียงไปข้างหนึ่ง อยู่ในผ้าเหลืองก็คงใช้ไม่หมด ซึ่งพรรคไม่ติดใจที่อาจได้อะไรก้อนใหญ่ติดตัวไปด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคไทยรักไทยด้วยว่า ในช่วงบ่าย วันเดียวกัน นายสมัคร สุนทรเวช อดีตผู้จัดรายการ เช้าวันนี้ที่เมืองไทย ได้เดินทางแวะเข้ามายังที่ทำการพรรคไทยรักไทย โดยนายสมัครได้ให้คนขับรถมารับหนังสือปกแดงชี้แจง การขายหุ้นชินคอร์ป จากฝ่ายประชาสัมพันธ์ของพรรคไทยรักไทย โดยนายสมัครนั่งรออยู่บนรถ จากนั้นได้เดินทางกลับทันทีโดยไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ

สุธรรม แฉคนเดือนตุลาวิ่งล็อบบี้

นายสุธรรม แสงประทุม กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย กล่าวถึงกรณีที่นายวิโรจน์ ตั้งวาณิชย์ อดีตคนเดือนตุลา เรียกร้องให้ลาออกจากสมาชิกพรรคไทยรักไทยว่า นายวิโรจน์เป็นเพื่อนร่วมคุกบางขวางสมัย 14 ตุลา ปกติจะเคารพความเห็นของทุกคน แต่วันนี้แต่ละคนมีภารกิจที่จะทำตามช่องทางที่แต่ละคนเลือก นายวิโรจน์เองก็เคยสนับสนุนที่มาอยู่กับพรรคไทยรักไทย เดือนที่แล้วนายวิโรจน์มาพบเพื่อขอร้องให้พรรคไทยรักไทยสนับสนุน ในการลงเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา กทม. จึงอยากบอกว่าอย่าเอาแต่ได้โดยไม่คำนึงถึงกฎหมายรัฐธรรมนูญ วันนี้กลับมายุให้ลาออกแสดงถึงความกลับไปกลับมา จึงขอให้นายวิโรจน์สำนึกด้วยว่าอย่าเอาแต่ได้ วันหนึ่งจะลง ส.ว.ก็มาขอให้พรรคการเมืองสนับสนุน แต่ได้บอกกลับไปว่าทำไม่ได้เพราะขัดรัฐธรรมนูญ ส่วนกรณีที่พรรคฝ่ายค้านระบุว่าผู้สมัครพรรคเล็ก ถูกจ้างให้ลงสมัคร ส.ส.ในภาคใต้นั้น นายสุธรรมกล่าวว่า ทราบมาจากนายไกรสินธุ์ โตทับเที่ยง ผู้สมัคร ส.ส.ตรัง เขต 1 พรรคไทยรักไทยว่า มีหัวคะแนนของนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย อดีต ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ พาคนไปสมัครพรรคการเมืองเล็ก แล้วมาย้อนรอยตลบหลังให้เกิดความปั่นป่วน ขณะนี้นายทวี สุระบาล ผู้สมัคร ส.ส.ตรัง เขต 2 พรรคไทยรักไทย กำลังไปแจ้งความดำเนินคดีกับผู้สมัครพรรคการเมืองเล็กทั้ง 4 คนแล้ว พร้อมเรียกร้องให้ ผอ.เขตเลือกตั้งดำเนินการอย่างเร่งด่วน

ทักษิณ ปราศรัยอ้อนพี่น้องชาวอีสาน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 15.50 น. วันเดียวกัน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ได้เดินทางถึงสนามบิน จ.อุบลราชธานี โดยมีข้าราชการและประชาชนมาคอยต้อนรับพร้อมมอบดอกไม้ และชูป้ายผ้าให้กำลังใจประมาณ 300 คน จากนั้น พ.ต.ท. ทักษิณได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมและชมสินค้าโอทอป ของกลุ่มพัฒนาสตรีผ้าไทย ต.บุงหวาย อ.วารินชำราบ ท่ามกลางประชาชนที่มาคอยต้อนรับประมาณ 1 พันคน จากนั้นได้เดินทางไปปราศรัยที่สนามกีฬากลาง จ.อุบลราชธานี ท่ามกลางประชาชนที่มาจากหลายจังหวัด เช่น ศรีสะเกษ ยโสธร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี ล้นทะลักสนามประมาณ 7 หมื่นคน โดยได้ปราศรัยตอนหนึ่งว่า วันนี้พี่น้องมากันมาก อยากให้มีการเลือกตั้งหรือไม่ พวกที่สนามหลวงไม่อยากให้มี ทั้งที่ทั่วโลกต้องการให้มีประชาธิปไตย แต่มันมีคนกลุ่มหนึ่งไม่อยากได้ การเมืองไทยไม่เคยเกิดขึ้นแบบนี้มาก่อน เป็นการเมืองที่แปลกมาก ตนมาตามกติกา ชนะการเลือกตั้งขาดมา 2 ครั้ง พอครั้งที่ 3 บอกไม่เอาแล้วกติกาไม่ดี เลยไม่ลงเลือกตั้ง ถามว่าพรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย และพรรคมหาชนรังเกียจอำนาจประชาชนมากนักหรือไง

อยากเดินหน้าแก้ไขปัญหาความยากจน

พวกที่บอกจะไปกู้ชาติ ผมไปกู้มาแล้วใช้หนี้ไอเอ็มเอฟเรียบร้อยแล้ว แต่หัวหน้ากลุ่มผู้ชุมนุมกู้แบงก์ยังไม่คืนเลย จะมากู้ประเทศไปจำนองอีกหรือ มันพูดไม่อายจริงๆ ให้ตายเถอะ กลุ่มที่ออกมาเพราะมีปัญหากับผม นายทุนสนามหลวงทำผิดมีคดีอาญาไว้เยอะ ก็เลยเร่งปิดเกม เพื่อให้พ้นคดีอาญา วันนี้ถ้ารัฐบาลแพ้ก็คือคนจนแพ้ทั้งประเทศ ถ้ามองย้อนอดีตกลับไป จะมีกลุ่มผู้ชุมนุมเดินขบวนขับไล่รัฐบาลตลอด แต่รัฐบาลนี้มีประชาชนสนับสนุนมาก ถ้ายอมลาออกแสดงว่าหักหลังประชาชน วันนี้ (13 มี.ค.) ได้ข่าวว่าจะมีการสร้างสถานการณ์ อยากฝากสื่อมวลชนบอกคน กทม. ผมได้สั่งเจ้าหน้าที่ไว้แล้วว่าอย่าใช้อาวุธ ให้ใช้ความอดทน เมตตาธรรม เก็บหลักฐานของคนก่อความวุ่นวายเอาไว้ เพื่อให้บ้านเมืองเกิดสันติสุข ส่วนกรณีได้มีสำนักพระราชวังได้นำเทปที่พระเจ้าอยู่หัว มีกระแสพระราชดำรัสเมื่อครั้งเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ มาถ่ายทอดทางโทรทัศน์ เพื่อเตือนสติประชาชนไม่ให้เผชิญหน้ากัน เพราะคนที่แพ้มากที่สุดคือประเทศชาติและประชาชน ผมอยากเดินหน้าแก้ไขปัญหาความยากจนของประชาชนต่อไป อีก 3 ปีข้างหน้าความยากจนของประชาชนจะหมดไปอย่างแน่นอน คนอื่นทั้งชีวิตไม่เคยทำมาหากินแก้ปัญหายากจนไม่ได้ หรอก พ.ต.ท.ทักษิณกล่าว

ถามประชาธิปัตย์มีคุณธรรมแล้วหรือ

พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวด้วยว่า วันนี้ปัญหาของประเทศแก้ไม่ยาก แต่ปัญหาใหญ่คือการดึงแข้งดึงขากันเอง วันก่อนพรรคประชาธิปัตย์มาปราศรัยที่ จ.อุบลราชธานี เน้นเรื่องจริยธรรมและคุณธรรม อยากถามกลับไปว่าที่ใช้ข้อมูลเท็จ ล้มนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย มีคุณธรรมหรือ ตนโดนข้างเดียวจนเอียน จนคน กทม.บางส่วนเชื่อไปแล้ว วันนี้พูดไม่ออก ปลื้มใจที่พี่น้องมากันมาก ที่บ้านตอนนี้สายสิญจน์ ผ้ายันต์ พระเครื่องเต็มไปหมด ไม่รู้จะเอาไปเก็บไว้ที่ไหน คนนำมาให้เยอะเพราะเป็นห่วง คนเราจะมีเงินเยอะมากเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถซื้อใจประชาชนได้นอกจากมีผลงาน วันนี้มัวแต่ทะเลาะกันเองแย่งกันเป็นใหญ่ พอประชาชนจะเริ่มได้อะไรบ้างก็มาขัดแข้งขัดขาอีก 2 เม.ย.นี้ ถ้าเลือกพรรคไทยรักไทยไม่ถึงครึ่งของคนมาใช้สิทธิ ตนจะไม่เป็นนายกฯ ดังนั้น ขอให้ไปใช้สิทธิกันเยอะๆ เมื่อเข้าไปรัฐบาลจะเข้าไปแก้รัฐธรรมนูญอย่างรวดเร็ว และแก้ไขกฎหมายอีก 400 ฉบับ ไม่ให้ประชาชนถูกรังแกอีกต่อไป ถ้าพี่น้องดันหลังจะสู้ต่อ 3 ปีพ้นความยากจนแน่ ถ้าอยู่โครงการเอสเอ็มแอลจะได้ทุกปี แต่ถ้าไม่อยู่ก็ตัวใครตัวมัน พวกนั้นไม่รู้นึกว่าบริหารประเทศง่าย เดี๋ยวก็คงไปกู้เงินไอเอ็มเอฟอีก ต้องขอตัวก่อน เพราะไม่ค่อยสบาย เมื่อคืนเป็นไข้หนาวสั่น

ปชป.ชี้นายกฯเริ่มมีอาการทางจิต

ทางด้านความเคลื่อนไหวของพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อเวลา 10.00 น. วันเดียวกัน พรรคประชาธิปัตย์ได้มีการประชุมแกนนำพรรค โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ทำหน้าที่ประธานการประชุม ภายหลังการประชุมกว่า 3 ชั่วโมง นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรค แถลงภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมได้ประเมินความเคลื่อนไหวของนายกฯในช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา พบว่านายกฯอยู่ในสภาวะที่ค่อนข้างสับสน ตึงเครียด จับต้นชนปลายอะไรไม่ค่อยถูก ไม่มีความชัดเจนว่าจะนำพาประเทศให้ผ่านพ้นวิกฤติไปได้อย่างไร โดยนายกฯมีพฤติกรรมที่สับสนอยู่ในตัวคนคนเดียว 3 ลักษณะ คือ 1. ฮึกเหิม กระหยิ่มยิ้มย่อง หลายกรณีที่นายกฯกำลังจะเอารัดเอาเปรียบคนอื่นได้ หลายกรณีที่เห็นว่าใช้อำนาจเบ็ดเสร็จจัดการกับผู้ที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามได้ นายกฯจะพูดจาดูถูกเหยียดหยามตลอดเวลา 2. วิตกกังวล โดยหลายเหตุการณ์นายกฯพยายามแก้ปัญหาไม่ให้มาถึงตัวเอง เพราะแทนที่จะวิตกกังวลว่าผลกระทบจะมาตกกับประเทศชาติ กลับวิตกว่าจะมากระทบกับตัวเองหรือครอบครัวมากกว่าหวาดกลัวว่าอำนาจกำลังจะหมดไป

นายองอาจกล่าวว่า 3. หวาดกลัว โดยกลัวต่อสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น ทั้งเรื่องการตั้งกรรมการขึ้นมาตรวจสอบทรัพย์สิน การซื้อขายหุ้นบริษัทชินคอร์ป หวาดกลัวต่ออำนาจที่กำลังจะหมดไปอย่างรวดเร็ว จะเห็นได้ว่าพฤติกรรมเหล่านี้ ทำให้นายกฯไม่อยู่ในสภาวะผู้นำของประเทศได้อย่างสมบูรณ์แบบ เป็นเรื่องที่น่าวิตกอย่างยิ่ง และเป็นเรื่องที่นายกฯและทีมงานจะต้องไม่ทำให้เกิดขึ้น เพราะจะกระทบต่อภาพโดยรวมของประเทศ ส่วนกรณีข้อเสนอของ พล.อ.สุจินดา คราประยูร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เสนอให้มีการตั้งอนุญาโตตุลาการขึ้นมาช่วยแก้ปัญหานั้น ที่ประชุมพรรคได้มีการหยิบยกขึ้นมาปรึกษาหารือกันว่า ยังไม่มีความชัดเจนในรูปแบบและวิธีการ รวมทั้งจุดมุ่งหมายที่แท้จริงคืออะไร แต่ถือว่าเป็นอีกวิธีการหนึ่งที่พรรครับฟังไว้

นายองอาจกล่าวอีกว่า พรรคได้จัดทำเอกสารชื่อ พรรคประชาธิปัตย์เปิดแนวรบประชาธิปไตย หยุด! ระบอบทักษิณ จำนวน 1 ล้านฉบับ เพื่อแจกให้ประชาชนทั่วประเทศ โดยมีเนื้อหาชี้ให้เห็นว่าระบอบทักษิณเป็นอย่างไร และยังชี้ให้เห็นถึงสาเหตุ ที่พรรคไม่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง ที่จะเป็นการนำผลการเลือกตั้งไปแอบอ้างเอาอำนาจประชาชนไปฟอกตัว จะยิ่งเป็นการทำลายประชาธิปไตย เราต้องช่วยกันหยุดระบอบทักษิณ หยุดเผด็จการใต้เสื้อคลุมประชาธิปไตย ดังนั้น ในวันเลือกตั้งประชาชนจะเลือกพรรคไหนก็ได้ หรือจะไม่ลงคะแนนให้ใครก็ได้

จับตาเลือกตั้งโคตรสกปรก 2 เม.ย.

นายองอาจกล่าวอีกว่า ส่วนการเลือกตั้งในวันที่ 2 เม.ย.นั้น พรรคกำลังติดตามและจับตาการเลือกตั้งสกปรก เพราะการเลือกตั้งจะมีขึ้นหรือไม่ แต่ประชาชนไม่มั่นใจและไม่แน่ใจการทำหน้าที่ของ กกต. เนื่องจากได้มีหลายฝ่ายตรวจสอบพบว่ามีความพยายาม ที่จะทุจริตการเลือกตั้งครั้งนี้ในหลายกรณี น่าจะมีคนใน กกต.บางคนเอื้ออำนวย และก่อให้เกิดการประพฤติปฏิบัติเช่นนั้นได้ เป็นการกระทำที่ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย เสมือนหนึ่งว่ามั่นใจ ในอำนาจที่หนุนหลังและคอยชักใยอยู่ เช่น การส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ จ.ตรัง ของพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า หัวหน้าพรรคนี้ระบุว่าผู้สมัครเป็นสมาชิกพรรคครบ 90 วัน แต่เมื่อตรวจสอบแล้ว กกต.รับรอง และยืนยันว่าไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค ดังนั้น การเลิกตั้งครั้งนี้จึงเป็นการเลือกตั้งสกปรกที่น่าเกลียดที่สุดเท่าที่พบมาในประเทศไทย ดังนั้น ขอให้ กกต.กลางตรวจสอบเจ้าหน้าที่ของ กกต.อย่างเอาจริงเอาจังว่า มีความพยายามเข้าไปร่วมด้วยช่วยเหลือให้เกิดการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่

พระเปรม ไม่ใช่คนสุดท้ายที่ทิ้ง ทรท.

นายองอาจกล่าวอีกว่า ส่วนกรณีของ น.พ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักไทย ลาออกจากสมาชิกพรรคและไปบวชนั้น พรรคคงไม่ไปก้าวล่วงการตัดสินใจครั้งนี้ แต่ที่ผ่านมาได้ยืนยันแล้วว่า เริ่มมีสมาชิกพรรคไทยรักไทยลาออกจากพรรคตั้งแต่คนแรกๆ ว่าจะมีสมาชิกพรรคไทยรักไทยทยอยออกมาอีกเรื่อยๆ วันนี้ก็ปรากฏเป็นจริงแล้ว กรณีของ น.พ.เปรมศักดิ์คงไม่ใช่รายสุดท้ายแน่นอน คงมีสมาชิกพรรคไทยรักไทยอีกหลายคน ที่เริ่มทบทวนว่าจะตัดสินใจอย่างไรเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติมากขึ้นเรื่อยๆ ตราบใดที่นายกฯยังใช้สถานการณ์ทางการเมืองเดินหน้าท้าทายพลังประชาชนอย่างนี้ ส่วนกรณีที่ กกต.ระบุว่า กรณีของ น.พ.เปรมศักดิ์ลาออกไปไม่มีผลต่อการเลือกตั้งนั้น จุดนี้คิดว่าไม่มีใครสามารถตะแบงเป็นอย่างอื่นไปได้ เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดชัดเจนต้องมี ส.ส. 500 คน ถึงเลือกนายกฯได้

นายองอาจกล่าวว่า ถ้าไม่มีการถ่ายเทคะแนนจากพรรคใหญ่ก็คงจะเห็นชัดเจนว่า กำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับบ้านเมือง อยากฝากให้นายกฯพิจารณาประเด็นนี้ด้วยว่า จะเดินหน้าเลือกตั้งต่อไปโดยสูญเสียเงิน 2,000 กว่าล้านบาท หรือคิดว่าควรจะมีทางออกอื่น ในการประหยัดงบประมาณการเลือกตั้ง ในเมื่อสถานการณ์พลิกผันมาขนาดนี้ น่าจะเป็นข้อมูลให้นายกฯได้ทบทวนการแก้ไขวิกฤติได้ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่านายกฯคิดที่จะทบทวนสิ่งเหล่านี้หรือไม่ หรือคิดเพียงแต่จะรักษาอำนาจให้ยืนยงต่อไปแต่เพียงอย่างเดียว

สุวโรช บุก กกต.โวยไม่เป็นกลาง

ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายสุวโรช พะลัง กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ได้เข้ายื่นหนังสือถึง กกต. เพื่อให้ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัคร ส.ส.พรรคเล็ก หลังจากที่ผู้สมัคร ส.ส.ตรังพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า เข้าร้องเรียนพรรคประชาธิปัตย์ว่าถูกหลอกให้มาสมัคร ทั้งๆที่มีคุณสมบัติไม่ครบ จากนั้นได้กล่าวว่า โดยส่วนตัวแสดงความชื่นชม น.พ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ ที่ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทยแล้วไปบวช คิดว่าสิ่งที่ทำเป็นคุณงามความดี เชื่อว่าคนไทยทั้งประเทศมองเห็น ขอให้พระเปรมศักดิ์ ได้ส่วนบุญส่วนกุศลที่บวชครั้งนี้ เมื่อพระเปรมศักดิ์ลาออกจากสมาชิกพรรคแล้ว คุณสมบัติก็หมดไป โดยสภาพของกฎหมาย และไม่สบายใจที่ พล.ต.ต.เอกชัย วารุณประภา เลขาธิ

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์