ติงตำรวจทำคดี”อ๊อฟ”ต้องดูเจตนา

ยัน “อ๊อฟ พงษ์พัฒน์” พูดถึง “พ่อ” เป็นการเทิดทูนองค์พระมหากษัตริย์ ติงตำรวจต้องรอบคอบดูเจตนา

ที่สภาทนายความ ถ.ราชดำเนิน วันที่ 23 ก.ค. นายสัก กอแสงเรือง นายกสภาทนายความ ออกแถลงการณ์เรื่อง การออกหมายเรียกนายพงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง ใจความว่า ตามที่ปรากฏข่าวในสื่อมวลชนว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจเตรียมออกหมายเรียกนายพงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง มาให้ปากคำกรณีมีผู้แจ้งความกล่าวหาว่านายพงษ์พัฒน์หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้แทนพระองค์ ซึ่งต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนยันว่าเป็นเพียงการเรียกมาสอบถามนั้น สภาทนายความ ในฐานะองค์กรวิชาชีพกฎหมาย มีวัตถุประสงค์ส่งเสริม ช่วยเหลือ แนะนำ เผยแพร่และให้คำปรึกษาแก่ประชาชนในเรื่องที่เกี่ยวกับกฎหมาย พิจารณาแล้วเห็นว่ากรณีดังกล่าวสมควรจะได้เผยแพร่ความรู้ดังกล่าวแก่ประชาชน จึงขอแถลงการณ์ดังต่อไปนี้
       
1.กรณีที่มีผู้แจ้งความกล่าวโทษนายพงษ์พัฒน์ กระทำหมิ่นประมาท ประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้แทนพระองค์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อันเป็นความผิดลักษณะ 1 ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร หมวด 1 ความผิดองค์ประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้แทนพระองค์ ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่มาจากพื้นฐานของประวัติศาสตร์อันยาวนานของชาติไทยเกี่ยวกับองค์พระมหากษัตริย์ที่ทรงปกป้องคุ้มครองประชาราษฎร์ จนกระทั่งความสัมพันธ์ระหว่างองค์พระมหากษัตริย์กับประชาชนชาวไทยเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของชาติ ปัจจุบันพระมหากษัตริย์ดำรงฐานะภายใต้รัฐธรรมนูญ มีพระราชอำนาจตามที่กฎหมายบัญญัติเท่านั้น

2.การที่พนักงานสอบสวนจะดำเนินคดีต่อผู้ต้องหาในลักษณะดังกล่าว จำต้องใช้ความระมัดระวังและรอบคอบอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นคดีที่มีความละเอียดอ่อนและมีผลกระทบต่อพระเกียรติยศของพระมหากษัตริย์ พนักงานสอบสวนจึงจำต้องดูเจตนาของผู้ต้องหาสำคัญ ต้องดำเนินคดีอย่างเด็ดขาดกับผู้มีเจตนาหมิ่นประมาท หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์หรือมุ่งทำลายล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ และต้องไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้ที่จงรักภักดีและเทิดทูนองค์พระมหากษัตริย์มิฉะนั้นพนักงานสอบสวนอาจเป็นผู้ทำลายพระเกียรติยศพระมหากษัตริย์ด้วย 


3.กรณีพนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานฝ่ายผู้แจ้งความก่อนจะรวบรวมพยานหลักฐานให้ปรากฏแน่ชัดว่า คำกล่าวโทษมีมูล จึงเรียกตัวผู้ถูกกล่าวโทษตามข้อกล่าวหามาแจ้งสิทธิของผู้ถูกกล่าวหาในฐานะผู้ต้องหาตามกฎหมาย การสอบสวนรวบรวบรวมพยานหลักฐานต้องเป็นไปเพื่อหาข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความผิดที่ถูกกล่าวหา เพื่อให้เห็นความผิดและความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหา
       
4.คำกล่าวของนายพงษ์พัฒน์บนเวทีประกาศรางวัลนาฏราช ตามคำร้องทุกข์กล่าวโทษดังกล่าว เป็นการกล่าวแสดงความรู้สึกในโอกาสที่นายพงษ์พัฒน์ได้รับรางวัลจากบทละครเรื่องพระจันทร์สีรุ้ง โดยได้แสดงความดีใจที่ได้รับรางวัล และกล่าวแสดงความจงรักภักดีต่อองค์พระมหากษัตริย์จากความรู้สึกส่วนตัว โดยใช้คำว่า “พ่อ” และ “ในหลวง” แทนพระมหากษัตริย์ อันเป็นคำกล่าวซึ่งใช้คำสำคัญที่มีความหมายเทิดทูนองค์พระมหากษัตริย์ และใช้กันแพร่หลายมานาน โดยมีการกล่าวว่า การปกครองในสมัยกรุงสุโขทัยเป็นระบบ “พ่อปกครองลูก” นอกจากนี้ หน่วยงานของรัฐและเอกชนหลายแห่งได้เผยแพร่พระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์โดยใช้คำว่าพ่อแทน “พ่อ” แทนพระมหากษัตริย์ เช่น วันพ่อแห่งชาติ ต้นไม้ของพ่อ คำพ่อสอน พ่อของแผ่นดิน พ่อหลวง ทำดีเพื่อพ่อ เป็นต้น คำกล่าวของนายพงษ์พัฒน์ที่ใช้คำว่า “พ่อ” แทนพระมหากษัตริย์มีลักษณะเทิดทูนองค์พระมหากษัตริย์ซึ่งประชาชนยึดถือเป็นพ่อของแผ่นดิน โดยไม่มีข้อความอันใดในเชิงหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์แต่อย่างใด การกระทำของนายพงษ์พัฒน์จึงไม่เป็นความผิดตามข้อกล่าวหา
       
5.พนักงานสอบสวนเป็นหน่วยงานของกระบวนการยุติธรรมที่สร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในสังคมได้ การใช้ดุลพินิจในการสอบสวนต้องใช้ความระมัดระวังและรอบคอบ เพื่อใช้กฎหมายในการอำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชนโดยไม่สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้บริสุทธิ์ ด้วยการออกหมายเรียก หรือเรียกผู้ต้องหามาสอบถามข้อเท็จจริงแต่อย่างใด


เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์